กรุงเทพคริสเตียน คอนเสิร์ต40.2M viewsสารบัญ Show
วิธีซื้อบัตรเข้างานวันเกิดกรุงเทพคริสเตียน 170 ปี โรงเรียนชายล้วนแห่งแรกของประเทศไทย พร้อมชมการแสดงคอนเสิร์ต 3 วงดัง ซื้อบัตรเข้างานวันที่ 20 สิงหาคม 2565 ที่ไหนได้บ้างเช็กเลยห้ามพลาด! เช็กขั้นตอน วิธีซื้อบัตรเข้างานวันเกิดกรุงเทพคริสเตียน วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2565 ร่วมฉลองครบรอบ 170 ปี ตำนานโรงเรียนชายล้วนที่แรกในประเทศไทย ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2390 โดยงานวันเกิดกรุงเทพคริสเตียนครั้งนี้ สามารถซื้อบัตรเข้าร่วมได้ที่หน้าทางเข้าบริเวณริมถนนประมวล ฝั่งตรงข้ามอาคาร BCC 150 ปี ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ อีกทั้งภายในงานยังมีการแสดงคอนเสิร์ตดนตรีสดจาก 3 วงดังได้แก่ วงโปเตโต้ (POTATO) วงโพลีแคต (POLYCAT) และวงทิลลี่เบิร์ดส์ (TILLY BIRDS) โดยมีรายละเอียดการเข้าชมและราคาบัตรงานวันเกิดกรุงเทพคริสเตียนดังนี้ วิธีซื้อบัตรงานวันเกิดกรุงเทพคริสเตียน ซื้อที่ไหนราคาเท่าไหร่สำหรับวิธีการซื้อบัตรเข้าร่วม “งานวันเกิดกรุงเทพคริสเตียน” สามารถซื้อได้ที่ทางเข้าบริเวณริมถนนประมวล ฝั่งตรงข้ามอาคาร BCC 150 ปี ในวันเสาร์ที่ 20 สิงหาคมนี้ เริ่มตั้งแต่เวลา 07.00 น. จนกว่าบัตรจะหมด ในราคาบัตร 50 บาท จำกัดจำนวนการซื้อบัตรที่ 1 ใบต่อคนเท่านั้น
ภาพจาก BCC170th Anniversary ส่วนกำหนดการแสดงคอนเสิร์ตดนตรีสดในงานวันเกิดกรุงเทพคริสเตียน 170 ปี ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2565 เริ่มโชว์ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ตามตารางดังนี้
ประวัติพอสังเขป กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สำหรับประวัติความเป็นมาของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน คือโรงเรียนชายล้วนแห่งแรกในประเทศไทย ก่อระหว่างปี พ.ศ. 2390-2395 ในช่วงรัชสมัยของของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 5 โดยในตอนนั้นเรียกกันว่าโรงเรียนมิชชันนารีชาย เวานั้นในหลวงรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้คณะมิชชันนารีซื้อที่ดินได้ ขนาดสองแปลงบริเวณด้านหลังวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง)
ภาพจาก BCC170th Anniversary แล้วคณะมิชชันนารีก็ได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ด้านหลังวัดอรุณฯ สร้างบ้านพักอาศัย อีกทั้งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้แหม่มมิชชันนารีทั้ง 3 คน เข้าไปสอนหนังสือให้กับผู้หญิงในพระบรมมหาราชวัง กระทั่งเวลาผ่านไปก็ได้มีการปรับปรุ่งรูปแบบการสอนและตัวอาคารให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับกระแสของกาลเวลาที่เปลี่ยนไป จนเมื่อปี พ.ศ. 2445 โรงเรียนมิชชันนารีชายก็ได้ย้ายไปยัง ต.สำเหร่ และรวมโรงเรียนที่ตำบลกฎีจีนเข้าด้วยกันกลายมาเป็น กรงเทพคริสเตียนไฮสคูล หรือที่รู้จักในเวลาต่อมาว่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2456 ต่อมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (อังกฤษ: Bangkok Christian College ย่อ: ก.ท, BCC) เรียกอย่างย่อว่า กรุงเทพคริสเตียน หรือ คริสเตียน เป็นโรงเรียนเอกชนชายล้วนขนาดใหญ่ ได้รับการสถาปนาขึ้นโดยคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2395 ปัจจุบันโรงเรียนมีอายุ 170 ปี เป็นโรงเรียนราษฎรแห่งแรกของประเทศไทย เป็นโรงเรียนที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย เป็นโรงเรียนโปรแตสแตนท์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ และเป็นโรงเรียนเพียงแห่งเดียวในปัจจุบันที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ปัจจุบันโรงเรียนอยู่ภายใต้การควบคุมของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หรือ ส.ช. [2] โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยตั้งอยู่ เลขที่ 35 ถนนประมวญ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร[3] โรงเรียนมีศิษย์เก่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน ทั้งองคมนตรี 4 คน นายกรัฐมนตรีไทย 2 คน รัฐมนตรีหลายกระทรวง นักร้อง นักแสดง ผู้จัดรายการหลายคน โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยเป็นโรงเรียนในเครือจตุรมิตร ซึ่งประกอบด้วย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย, โรงเรียนเทพศิรินทร์, โรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ประวัติการก่อตั้งโรงเรียนในช่วง พ.ศ. 2394 คณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน (American Presbyterian) ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ให้สามารถซื้อที่ดิน 2 แปลงที่ตำบลกุฎีจีน ใกล้วัดแจ้ง โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เปิดสอนหนังสือให้แก่เด็กผู้ชายครั้งแรก บริเวณหมู่บ้านชาวมอญ เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2395 โดยแหม่มมะตูน ในขณะนั้น ยังไม่มีการตั้งเป็นโรงเรียน จนกระทั่งวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2395 หมอเฮาส์ ได้เริ่มก่อตั้งโรงเรียนที่ตำบลกุฎีจีนแห่งแรก โดยเปิดโรงเรียนประจำในบริเวณสำนักงานคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน ซึ่งเป็นที่ดินที่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้างวัดแจ้ง โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่า "โรงเรียนคริสเตียนบอยสกูลที่กุฎีจีน" ในเวลานั้น ถือว่าเป็นโรงเรียนประจำแห่งแรกของประเทศสยาม ซึ่งได้ใช้เทคโนโลยีการสอน และแบบแผนตามประเทศตะวันตก มีการตรจสุขภาพของเด็กนักเรียนทุกคนก่อนที่จะรับเข้าเป็นนักเรียน เพื่อป้องกันโรคติดต่อ โดยหมอเฮาส์ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทันสมัยมากในสมัยนั้น นอกจากจะมีการสอนให้อ่านและเขียน ยังมีการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วิทยศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และศาสนา โดยมีซินแสกีเอ็ง ก๊วยเซียน เป็นอาจารย์ผู้สอน มีเยาวชนชาวจีนเพียง 8 คน ที่เข้ามาสมัครเป็นนักเรียน [4] ในขณะนั้น เด็กส่วนใหญ่เกิดจากครอบครัวที่ไม่มีกำลังมาก ส่วนใหญ่จึงมีการเรียนการสอนเกิดขึ้นโดยพระสงฆ์ ภายในวัด โรงเรียนจึงได้เริ่มจ้างนักเรียนให้เข้ามาเรียน ด้วยเงิน 1 เฟื้อง (ปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 0.125 บาท) โรงเรียนได้ให้สิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่เข้ามาเรียน เช่น ที่พักอาศัย และในพ.ศ. 2399 ได้เริ่มมีนักเรียนไทยกลุ่มหนึ่ง เข้ามาเรียนที่โรงเรียน และมีบันทึกนักเรียนไทยไว้ทั้ง 5 คน ได้แก่
ใน พ.ศ. 2405 คณะมิชชันนารี ได้ย้ายโรงเรียนจากกุฎีจีน ไปที่สำเหร่ ซึ่งอยู่ทางใต้ในฝั่งธนบุรี และมอบให้ศาสนทูตแมตตูน เป็นผู้อำนวยการ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยได้เปิดโรงเรียนของรัฐบาลแห่งหนึ่งที่ตำบลสวนอนันต์ ได้เชิญท่าน เอส.จี.แมคฟาแลนด์ หรือคุณพระอาจวิทยาคมเป็นผู้อำนวยการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษาเฉพาะบุคคลชั้นเจ้านาย ลูกท่านหลานเธอและบุตรข้าราชการผู้ใหญ่ในราชสำนักเท่านั้น ท่านผู้อำนวยการเห็นว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้น ลำพังท่านเพียงผู้เดียวนั้นยากที่จะดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมายได้ จึงเรียนเชิญอาจารย์จอห์น.เอ.เอกิ้น เข้ามาร่วมงาน กิจการของโรงเรียนราษฎร์แห่งแรกก็ได้ก้าวหน้าไปด้วยดี [5] การรวมตัวของทั้งสองโรงเรียนใน พ.ศ. 2431 หลังจากที่อาจารย์จอห์น.เอ.เอกิ้นร่วมงานกับอาจารย์เอส.จี.แมคฟาแลนด์ ได้ระยะหนึ่ง อาจารย์จอห์น เอ. เอกิ้น ก็ลาออกจากตำแหน่งครูรัฐบาลแต่ด้วยใจรักการศึกษา ท่านก็ได้จัดตั้งโรงเรียนส่วนตัวขึ้น ณ ตำบลวัดกุฎีจีน โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่า บางกอกคริสเตียนไฮสกูล อีกทั้งยังได้เชิญอาจารย์และแหม่มเจ.บี.ดันแลป พร้อมด้วยน้องสาวของท่าน เข้ามาร่วมเป็นอาจารย์ในโรงเรียน ในปีนั้นอาจารย์จอห์น.เอ.เอกิ้น และคณะทั้งสามของท่านได้สมัครเข้าสังกัดของคณะเพรสไบทีเรียนแล้ว ศาสนทูตเอส.อาร์เฮ้าส์ ท่านศาสนทูตเจ.เอม.คัลเบริ์ทซัน ท่านศาสนทูตเอน.เจ.แมคโดนัล และท่านศาสนทูต เจ.แวนได๊ก์ ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของท่าน ณ สหรัฐอเมริกา ทำให้ทางฝ่ายมิชชันในกรุงเทพมหานคร ขาดผู้บริหารด้านการศึกษา ที่ประชุมจึงได้มีมติให้อาจารย์จอห์น เอ.เอกิ้น เป็นผู้ที่จะบริหารงานด้านการศึกษาของมิชชันต่อไป ดังนั้นท่านต้องแบกภารกิจเป็น 2 เท่าคือทั้งงานส่วนตัวที่"บางกอกคริสเตียนไฮสกูล" และโรงเรียนของคณะมิชชันที่สำเหร่ [6] ใน พ.ศ. 2435 ท่านอาจารย์จอห์น.เอ.เอกิ้น ไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน จึงตัดสินใจยกเลิกกิจการโรงเรียนบางกอกคริสเตียนไฮสกูล และมุ่งหน้าปรับปรุงกิจการส่วนรวมของคณะมิชชัน คือดำเนินการบริหารที่สำเหร่แต่เพียงอย่างเดียว เพื่อสร้างงานใหม่ที่ตำบลสำเหร่ โดยได้สร้างอาคารใหม่ใช้เป็นสถานศึกษาสำหรับนักเรียนชาย โรงเรียนบางกอกคริสเตียนไฮสกูล จึงรวมกับ โรงเรียนสำเหร่บอยสกูล เป็น "โรงเรียนสำเหร่บอยส์คริสเตียนไฮสกูล" ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ [7] การย้ายโรงเรียนมาบนถนนประมวญอาคารจอห์น เอ. เอกิ้น สูง 16 ชั้น ใน พ.ศ. 2443 ทางคณะมิชชันนารีเล็งเห็นว่า หากจะขยายการศึกษาให้กว้างไกลออกไปแล้ว ที่ดินตรงตำบลสำเหร่ไม่เหมาะสม จึงมุ่งหมายไปยังที่ดินแปลงใหม่ ณ ฝั่งชายแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นฝั่งกรุงเทพฯ ปัจจุบันและในที่สุดก็ได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งที่บริเวณ ถนนประมวญ ตำบลสีลม อำเภอบางรัก จากเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ด้วยราคา 17,500 บาท แต่ได้รับการลดราคาเนื่องจากถือว่าเป็นการบริจาคในการสร้างโรงเรียนจากพระยาสุรศักดิ์มนตรี 2,500 บาท และสร้างสถาบันการศึกษาขึ้นใหม่เรียกนามว่า "กรุงเทพคริสเตียนไฮสกูล" เปิดทำการสอนเป็นปฐมฤกษ์เมื่อ พ.ศ. 2466 [8] ใน พ.ศ. 2456 มติจากบอร์ดนอกให้เปลี่ยนชื่อโรงเรียน จึงได้สั่งให้เปลี่ยนจากไฮสกูล เป็นคอลเล็จ (College) โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนไฮสกูล จึงเปลี่ยนมาเป็น "กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย" หรือ "Bangkok Christian College" มีชื่อย่อว่า "BCC" [9] ใน พ.ศ. 2463 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เป็นโรงเรียนเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับเกียรติในการรับรองวิทยฐานะ เทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาลจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2563 ใน พ.ศ. 2484 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ย้ายไปเปิดการเรียนการสอน ในซอยพร้อมพงษ์ บนถนนสุขุมวิท บนที่ดินของคุณดำรงค์ จ่างตระกูล โดยไม่คิดค่าเช่า และยังเปิดรับนักเรียน ม.6 พิเศษ แบบสหศึกษาอีกด้วย ในช่วงนี้ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนกรุงเทพสเถียรวิทยาลัย" เป็นการชั่วคราว [10] ผู้อำนวยการ
สถานที่ภายในโรงเรียนอาคารสามหลังแรก (พ.ศ. 2445)อาคารสามหลังแรกของโรงเรียน ประกอบไปด้วย อาคารเหนือเดิม ออฟฟิซ และอาคารใต้เดิม โดยเรียงเป็นรูปตัว U มีอาคารออฟฟิซอยู่ตรงกลาง ปัจจุบันคือที่ตั้งของหอธรรม และลานหน้าอาคารอารีย์ เสมประสาท โดยอาคารทั้งสามหลังแรกได้ถูกรื้อถอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว [12]
อาคาร เอ็ม บี ปาล์มเมอร์ สูง 4 ชั้น อาคาร เอ็ม บี ปาล์มเมอร์ หรือ อาคาร 2 (พ.ศ. 2508)อาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ เป็นอาคารเรียนสมัยใหม่ สูง 4 ชั้น โดยได้นำงบประมาณการก่อสร้าง มาจากที่ดินบ้านกล้วย โดยอาคารนี้ เป็นการสร้างอาคารทั้งหมด 4 อาคาร ติดต่อกันเป็นทางยาว เมื่อสร้างเสร็จ ถูกขนานนามว่า เป็นอาคารเรียนที่มีความสวยงาม และทันสมัยที่สุดในประเทศไทย [13] เมื่อปี พ.ศ. 2552 ได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก อาคาร 2 ซึ่งเป็นชื่อเรียกอาคารแบบเก่า เป็น อาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ เนื่องจากการทุบอาคาร 1 และการมาของอาคารจอห์น เอ. เอกิ้น และในปัจจุบัน อาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์เป็นที่ตั้งของห้อง 00, ห้องส่งเสริมระเบียบวินัยมัธยมศึกษาตอนต้น, โรงอาหาร, ห้องเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1-3, ห้องเรียนโครงการ IEP , ห้องพักครูม.1-3, ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ 3 ห้อง, ห้องกิจกรรม และห้องแนะแนว อีกทั้งยังมีสวนสวนพฤกษศาสตร์ที่ชั้น 2 ซึ่งอาจารย์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เยี่ยมชมในโครงการ BCC Model อีกด้วย หอธรรม โบสถ์ดีไซน์เรือโนอาห์ หอธรรม (พ.ศ. 2514)เป็นหอประชุมที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของโรงเรียน และยังเป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียนอีกด้วย หอธรรมเริ่มการสร้างเมื่อปี 2511 จากดอกเบี้ยที่โรงเรียนได้รับจากการขายที่ดินบ้านกล้วย ถูกออกแบบโดย Dr. Amos Chang เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2514 เพื่อใช้ในศาสนพิธีของโรงเรียน ซึ่งเป็นแบบคริสต์ศาสนานิกายโปรแตสแตนท์ และการประชุมสำคัญต่างๆ ของโรงเรียน รูปร่างของหอธรรมนั้น ผู้ออกแบบใช้แนวคิด "เรือโนอาห์" ซึ่งเป็นเรือที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ทางคริสต์ศาสนาในส่วนพันธสัญญาเดิม ว่าด้วยเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ที่พระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้เกิดเพื่อล้างบรรดาความชั่วร้ายบนโลกอันเกิดขึ้น และพระผู้เป็นเจ้าได้สั่งให้โนอาห์ต่อเรือใหญ่สำหรับตนและครอบครัว อีกทั้งสัตว์น้อยใหญ่ อาศัยเรือนี้ในยามน้ำท่วมโลก เมื่อน้ำลด ผู้อยู่บนเรือโนอาห์จึงเป็นผู้รอดชีวิต และสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้ [14] หอธรรมสามารถจุคนได้กว่า 1,500 คน ด้านหลังของหอธรรมเป็นที่ตั้งของห้องศาสนกิจ ห้องธนาคารความดี (BCC Spirit Bank) และห้องประชุม 5 อนึ่ง ไม้กางเขนของฝ่ายโปรแตสแตนท์ จะไม่มีรูปพระเยซูถูกตรึงบนกางเขน ต่างจากไม้กางเขนของฝ่ายโรมันคาทอลิก ด้วยฝ่ายโปรแตสแตนท์ถือเรื่องการไม่นับถือรูปเคารพใดๆ มีเพียงไม้กางเขนที่เป็นสัญลักษณ์ถึงการไถ่บาปของพระเยซูแก่ผู้คนชาวโลกเท่านั้น อาคารอารีย์ เสมประสาท สูง 7 ชั้น อาคารอารีย์ เสมประสาท (พ.ศ. 2525)อาคารอารีย์ เสมประสาท หรือที่เรียกกันว่า "อาคารอารีย์" เป็นอาคารสูง 6 ชั้นครึ่ง ซึ่งสร้างมาเพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น และทดแทนอาคารเหนือ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าถนน ทำให้น้ำท่วมเข้ามาในห้องเรียนได้ง่าย โดยอาคารอารีย์ เสมประสาทเป็นอาคารแห่งแรกในโรงเรียน ที่มีลิฟต์โดยสารสำหรับอาจารย์และบุคลากร ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของห้องเรียนของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2, ห้องพักครู, ห้องทดลองวิทยาศาสตร์, ห้องลูกเสือ, ห้องดนตรีไทย และห้องคอมพิวเตอร์ อาคารสิรินาถ (พ.ศ. 2537)อาคารสิรินาถ หรือ อาคารศูนย์วิทยบริการ เป็นอาคารเรียนยุคใหม่ ซึ่งมีความสูง 16 ชั้น เป็นที่ตั้งห้องเรียนของนักเรียนโครงการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการสอน (EIP) ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6, ห้องพักครู, ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วยห้องทดลองฟิสิกส์ ห้องทดลองเคมี ห้องทดลองชีววิทยา ห้องเก็บสารเคมี และห้องเพาะเนื้อเยื้อ, ห้องคอมพิวเตอร์, ห้องชุมนุมดนตรี, ลานกิจกรรม, ห้องสมุด ดร.สิงห์โต จ่างตระกูล(ห้องสมุดกลาง) และนอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของ ห้องฝ่ายบริหารโรงเรียน, ห้องประชาสัมพันธ์, ห้องการเงิน, ห้องทะเบียน , ห้องอัดเสียง , ห้องประชุมทั้ง 4 แห่ง, สระว่ายน้ำประจำโรงเรียน, ชุดพักอาศัย และห้องพักผู้บริหาร อาคารนี้ เป็นอาคารเรียนเดียวในโรงเรียน ที่ใช้ระบบเดินเรียน ซึ่งนักเรียนที่มีห้องภายในอาคารเรียนนี้ จะไม่มีห้องเป็นของตัวเอง แต่จะมีล๊อกเกอร์เพื่อเก็บหนังสือเรียนและสัมภาระ เพื่อเดินไปเรียนในห้องของอาจารย์ประจำวิชาที่ตนเองเลือกหรือตามตารางที่กำหนดไว้ โดยภายในอาคาร มีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 4 ตัว โดยอาคารนี้สร้างขึ้นในช่วงเฉลิมฉลองพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ พุทธศักราช 2535 โดยได้รับพระราชทานชื่อ "สิรินาถ" จาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อาคารบีซีซี 150 ปี (พ.ศ. 2545)อาคารบีซีซี 150 ปี เป็นอาคารสูง 18 ชั้น ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น ซึ่งสร้างขึ้นบนที่ดินสำนักงานสภาคริสตจักรในประเทศไทยเดิม โดยเป็นอาคารเดียวที่แยกตัวจากบริเวณโรงเรียน มีการสร้างสะพานลอยข้ามถนนประมวญ เพื่ออำนวยความสะดวกกับนักเรียน อาคารนี้ เป็นที่ตั้งของห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6, ห้องเรียนโครงการ IEP, ที่ทำการมัธยมศึกษา (ห้องประชาสัมพันธ์มัธยม), ห้องแนะแนวมัธยมศึกษา, ห้องส่งเสริมระเบียบวินัยมัธยมปลาย, ห้องพักครูของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ, ห้องสมุดมัธยม, ห้องประชุม 6-7, ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วยห้องทดลองฟิสิกส์ ห้องทดลองเคมี ห้องทดลองชีววิทยา, ห้องสถานีดาวเทียมภาคพื้นดิน (สถานีโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย HS0AW), ห้องคอมพิวเตอร์, ห้องศูนย์วิทยาการ, ห้องเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ, ที่จอดรถใต้ดิน, ห้องเก็บอุปกรณ์สำหรับเชียร์และแปรอักษร และหอพักนักเรียนประจำ มีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 6 ตัว ซึ่งเป็นลิฟต์โซนต่ำ 4 ตัว และลิฟต์โซนสูง 2 ตัว อาคารจอห์น เอ. เอกิ้น สูง 16 ชั้น อาคารจอห์น เอ. เอกิ้น (พ.ศ. 2552)อาคารจอห์น เอ. เอกิ้น หรือที่เรียกสั้นๆกันว่า "อาคารเอกิ้น" ตั้งชื่อตามมิชชันนารีชาวอเมริกัน จอห์น แอนเดอร์สัน เอกิ้น ผู้ย้ายโรงเรียนจากสำเหร่ มาที่ประมวญ เป็นอาคารเรียนสูง 16 ชั้น (รวมชั้นลอย หรือ ชั้น M) และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องเรียนนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่3-6 เปิดใช้ส่วนของห้องเรียนเมื่อ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดป้ายอาคารเมื่อวันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2553 อาคารนี้ถูกออกแบบมาให้มีความทันสมัย และสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบถ้วน มีห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์และห้องทดลองวิทยศาสตร์ ที่ชั้น 7, ห้องสมุดปัญญาจารย์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 8, ห้องปฏิบัติการศิลปะและนาฎศิลป์ ตั้งอยู่ที่ชั้น 9, ห้องประชุมใหญ่ ห้องภาพยนตร์ และโถงประชุมที่ชั้น 10 และ 11, โครงการหอประวัติศาสตร์โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (BCC Inspiration Hall) ที่ชั้น 12, และ สนามฟุตซอล,สนามฟุตบอล, สนามบาสเกตบอล ตั้งอยู่ที่ชั้น 13-15 ตามลำดับ โดยอาคารนี้มีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 6 ตัว และลิฟต์บริการ (Service Lift) 1 ตัว และมีทางเชื่อมไปยังอาคาร เอ็ม บี ปาล์มเมอร์ สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงเรียนห้องสมุดห้องสมุดโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ปัจจุบันมีสามแห่ง ได้แก่ อาคารจอห์น เอ.เอกิ้น (ห้องสมุดปัญญาจารย์), อาคารสิรินาถ (ห้องสมุด ดร.สิงห์โต จ่างตระกูล) และอาคารบีซีซี 150 ปี (ห้องสมุดมัธยม) ภายในแยกหมวดหมู่หนังสืออย่างชัดเจน รวมทั้งหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ สำหรับนักเรียนเพื่อให้รับรู้ข่าวสารต่างๆ พร้อมด้วยระบบยืม-คืน คอมพิวเตอร์พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับนักเรียนเพื่อใช้สืบค้นหาข้อมูลและหาความรู้ระหว่างช่วงเวลาพักและหลังเลิกเรียน ห้อง Conference Room ซึ่งจะเปิดสารคดีและภาพยนตร์ต่างๆในระหว่างเวลาพักและหลังเลิกเรียน มุมยืมซีดีภาพยนตร์และโปรแกรม มุมถ่ายเอกสาร พร้อมกล้องวงจรปิดภายในห้องสมุดเพื่อรักษาความปลอดภัยและป้องกันการขโมยหนังสือ สถานที่ที่เคยเป็นห้องสมุดโรงเรียนเก่า ได้แก่ อาคาร 1 และ อาคารมูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทยเดิม ซึ่งอาคารทั้งสองแห่ง ได้ถูกรื้อถอนเป็นที่เรียบร้อย สนามฟุตบอลสนามฟุตบอลเดิม มีความยาวขนานกับถนนสาทรเหนือ ตั้งฉากกับถนนประมวญ ซึ่งอยู่ระหว่างอาคารเหนือ อาคารวิทยศาสตร์ และตึกใต้เดิม แต่หลังจากที่มีการสร้างอาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ สนามฟุตบอล ได้เปลี่ยนทิศทางมาตั้งฉากกับถนนสาทรเหนือ ขนานกับถนนประมวญ โดยเมื่อปี พ.ศ. 2553 โรงเรียนได้ปรับปรุงสนามฟุตบอลครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจากสนามหญ้าดิน เป็นสนามหญ้าเทียม เนื่องจากสนามฟุตบอลดินเมื่อฝนตกสนามจะเต็มไปด้วยดินและโคลน เมื่อนักเรียนเข้าไปทำกิจกรรม หญ้าบางส่วนอาจมีความเสียหาย และใช้เวลานานในการปลูกหญ้า ลานชงโคเป็นลานอเนกประสงค์ ตั้งอยู่ระหว่างอาคารเอ็ม บี ปาล์มเมอร์ และอาคารสิรินาถ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ มีโต๊ะและเก้าอี้ไม้สำหรับนั่งพักและรับประทานอาหาร พร้อมด้วยเวทีเล็ก ซึ่งในเวลาพักจะมีการจัดกิจกรรมสำหรับนักเรียน มีสนามเปตองเล็กๆ ข้างๆลานชงโค ภายในลานชงโค มีสถาปัตยกรรมเซรามิค โดยอาจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในสามผลงาน ที่ยังเหลืออยู่ในภายในโรงเรียน โรงอาหารโรงอาหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เคยตั้งอยู่ตรงข้ามหอพักนักเรียนประจำเก่าเมื่อก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ได้ย้ายไปใต้อาคาร 2 เมื่อมีการรื้อถอนอาคารเดิมทิ้ง และหลังจากอาคาร 2 ได้สร้างเสร็จ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ชั้น 1 อาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ เป็นโรงอาหารเปิดโล่ง มีร้านอาหารร่วม 20 ร้าน ซึ่งมีทั้งข้าว, ก๋วยเตี๋ยว, เบเกอร์รี่, ผลไม้, เครื่องดื่ม และไอศกรีม พร้อมโต๊ะรับประทานอาหารซึ่งมีการนำแผ่นพลาสติกใสมากั้นแบ่งโต๊ะเป็น 4 ส่วนในช่วงสถานการณ์โควิด 19 สวนน้ำตกเป็นสวนสวยที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ซึ่งถูกปรับปรุงจากบริเวณรกเดิม ให้มีความสวยงาม ตั้งอยู่ระหว่างโรงอาหาร และ Book Store Book Storeร้านขายเครื่องเขียน และอุปกรณ์ประกอบการเรียนต่างๆ ตั้งอยู่ในลานชงโค สะพานลอยเชื่อมอาคารบีซีซี 150 ปีเป็นทางเดินยกระดับซึ่งเชื่อมระหว่างอาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ ไปสู่อาคารบีซีซี 150 ปี โดยเป็นสะพานลอยข้ามถนนประมวญ ซึ่งมี 3 ทางขึ้น-ลง เพื่อความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกนักเรียน ที่จะสามารถเดินเปลี่ยนห้องไปทุกอาคารได้ โดยที่ไม่ต้องลงไปเดินบนชั้นพื้นดิน ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงนายกรัฐมนตรี
องคมนตรี
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
อัยการสูงสุด
สมาชิกวุฒิสภา
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ด้านวิชาการ
นักธุรกิจ
เมือง
นักกีฬา
บุคคลในวงการบันเทิง
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
พิกัดภูมิศาสตร์: 13°43′14″N 100°31′23″E / 13.720589°N 100.523095°E |