ประวัติศาสตร์ คืออะไร ??? Show คำว่า “ประวัติศาสตร์” เกิดจากการสมาสคำภาษาบาลี “ประวัติ” (ปวตฺติ) ซึ่งหมายถึง "เรื่องราวความเป็นไป" และคำภาษาสันสกฤต “ศาสตร์” (ศาสฺตฺร) ซึ่งแปลว่า ความรู้ “ประวัติศาสตร์” ถูกบัญญัติขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเทียบเคียงกับคำว่า “History” อยากและเพื่อให้มีความหมายครอบคลุมมากกว่าคำว่า “พงศาวดาร” (Chronicle) ที่ใช้กันมาแต่เดิม คำว่า history มีที่มาจากคำว่า historia ในภาษากรีก ซึ่งมีความหมายว่าการไต่สวนค้นคว้าหรือวิจัย เดิมเป็นชื่อหนังสือที่เฮโรโตตุส (Herodotus , 484-420 ปีก่อนค.ศ.) นักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงให้คำอธิบายถึงคำว่า “ประวัติศาสตร์” ไว้ว่า 1.อาร์. จี. คอลลิงวูด (R. G. Collingwood) อธิบายว่าประวัติศาสตร์คือวิธีการวิจัยหรือการไต่สวนโดยมีจุดมุ่งหมายจะศึกษาเกี่ยวกับพฤติการณ์ของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในอดีต 2.เอส.คาร์ (E. H. Carr) อธิบายว่าประวัติศาสตร์นั้นก็คือกระบวนการอันต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักประวัติศาสตร์กับข้อมูลของเขา ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาอันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างปัจจุบันกับอดีต (What is history?, is that it is a continuous process of interaction between the present and the past.) 3.เซอร์ ชาร์ลส์ โอมัน มีความเห็นในทำนองเดียวกับ อาร์เอฟ อารากอน ว่า ประวัติศาสตร์ คือ “การตรวจสอบหลักฐานทั้งประเภทเอกสารและวัตถุ เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดต่อเนื่องกันแล้วหาข้อสรุปเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะสามารถได้ข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตได้ แต่เราอาจจะสามารถอธิบายข้อเท็จจริงบางอย่างที่ได้จากการตรวจสอบ และวิเคราะห์หลักฐานเหล่านั้น ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่พอจะยอมรับกันได้” 4.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวถึง ลักษณะสำคัญของคำว่า ประวัติศาสตร์ว่า “ประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาความเป็นมาของมนุษย์ในอดีต ตั้งแต่เมื่อเริ่มมี การจดบันทึกกันด้วยลายลักษณ์อักษร..….” 5.จิตร ภูมิศักดิ์ กล่าวว่า “วิชาประวัติศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยความชัดเจนในการต่อสู้ ทางสังคมมนุษย์ ซึ่งวิชานี้เสมือนตัวอย่างของการต่อสู้ทางสังคมแห่งชีวิตของชนรุ่นหลังการศึกษาประวัติศาสตร์จึงเป็นหัวใจแห่งการศึกษาความเป็นมาของสังคม เป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะไขไปสู่การปฏิบัติอันถูกต้อง” 6.ดร. วิจิตร สินสิริ ทัศนะไว้ว่า “ประวัติศาสตร์ คือบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต เกี่ยวด้วยเรื่องเหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ปรัชญาที่มนุษย์ได้คิดได้สร้างไว้ถือเป็นความเจริญรุ่งเรือง และเป็นรากฐานของความเจริญสมัยต่อๆมา จากแนวคิดทฤษฎีข้างต้นผู้เขียนจึงสรุปได้ว่า ประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้นในเวลาหนึ่ง (อดีต) โดยอธิบายให้ความหมายว่าทำไมถึงเกิด ก่อนหน้านั้นมีเหตุการณ์อะไรปัจจัยอะไร สาเหตุนั้นส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างไร มีอะไรที่ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงอย่างไร จักรกฤษณ์ ศรีน้อย > เขียน ที่มา : สรุปจากคำสอนวิชาปรัชญาและวิธีการทางประวัติศาสตร์ อ.วรรณพร บุญญาสถิตย์ มรภ.พระนคร หนังสือประกอบการเขียน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. (2518). ปรัชญาประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช จำกัด. นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2525). ประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันออก. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์. นิธิ เอียวศรีวงศ์, อาคม พัฒิยะ. (2525). หลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : บรรณกิจ. วงเดือน นราสัตย์. (2550). ประวัติศาสตร์:วิธีการและพัฒนาการ. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ประวัติศาสตร์ไทย ความหมาย ความสำคัญ และวิธีการทางประวัติศาสตร์ความหมายของประวัติศาสตร์ คำว่า “ประวัติศาสตร์” นักวิชาการส่วนมากจะบอกว่า มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ความจริงแล้วไม่ใช่ (อาจจะด้วยความไม่รู้ คือ แปลประวัติศาสตร์มาจากคำว่า History) ต้องแยกภาษาให้ออกก่อนระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ประวัติศาสตร์ เป็นบัญญัติในภาษาไทย ซึ่งบัญญัติขึ้นมาให้แปลคำภาษาอังกฤษว่า “History” ประวัติศาสตร์ คำนี้จริง ๆ แล้ว มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีสันสกฤตสองคำ คือ ประวัติ กับ ศาสตร์ ประวัติ ถ้าเป็นคำบาลีจะเขียนเป็น ปวตฺติ ถ้าเป็นคำสันสกฤตจะเขียนเป็น ปฺรวรฺติ คำว่า ปวตฺติ (บาลี) เขียนแบบไทยจะเป็น ปะวัตติ ตัด ต. เต่าตัวหน้าออก (ตามหลักการบัญญัติคำภาษาบาลีสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย เช่น คำว่า วฑฺฒน จะตัด ฑ. นางมณโฑออกเป็น วัฒน สัญญลักษณ์ ตัด ญ. หญิงตัวแรกออกเป็น สัญลักษณ์ วิมุตติ เป็น วิมุติ เป็นต้น) จึงเป็น ปะวัติ ส่วนคำว่า ปฺรวรฺติ (สันสกฤต) เขียนแบบไทยจะเป็น ประวรรติ (ตัว ร ที่มีจุดอยู่ข้างล่างในภาษาสันสกฤตเรียกว่า ร เรผะ เมื่อนำมาใช้ในภาษาไทยนิยมเปลี่ยนเป็น ร หัน หรือ รร เช่น สฺวรฺค จะเป็น สวรรค์ วรฺธน เป็น วรรธนะ เป็นต้น) ทั้งสองคำแปลว่า “ความเป็นไปหรือความเป็นมา” เอา ประ คำหน้าของสันสกฤตกับ วัติ คำหลังของบาลีมารวมกันจึงเป็น ประวัติ ศาสตร์ เป็นคำสันสกฤต เขียนแบบไทยจะเป็น ศาสฺตฺร (อักษรสันสกฤตไม่มีในแป้นพิมพ์จึงพิมพ์ให้เห็นเป็นตัวอย่างไม่ได้ – คำนี้บาลีจะเป็น สตฺถ) แปลว่า คำสอน ความรู้ อาวุธ เมื่อเอาทั้งสองคำมารวมกัน (ตามหลักภาษาเรียกว่า สมาส) จะเป็น ประวัติศาสตร์ อ่านว่า ประ-หวัด-ติ-สาด แปลว่า ความรู้เรื่องความเป็นไปหรือความเป็นมา แปลว่าเอาความ หมายถึง การศึกษาเรื่องราวในการดำเนินชีวิต ไทยเราบัญญัติให้แปลคำว่า “History” ในภาษาอังกฤษ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ทรงบัญญัติริเริ่มใช้ คำว่า “History” ต่างหากที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า Historia โดยมีรากศัพท์เดิมมาจาก Histor แปลว่า “ถักหรือทอ” ผู้ตั้งคำนี้คือ เฮโรโดตัส (Herodotos หรือ Herodotus) ซึ่งเป็นบิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์ เพราะวิชาประวัติศาสตร์ต้องใช้การค้นคว้า เลือกเฟ้น คัดสรรค์ ตรวจสอบ ด้วยการใช้เวลาและความอุตสาหะเหมือนกับการทอผ้า ความหมายของประวัติศาสตร์ กว้างที่สุดหมายถึง ประสบการทั้งมวลของมนุษยชาติที่ไม่สามารถบันทึกหรือถ่ายทอดได้ทั้งหมด จึงเหลือแต่เพียงหลักฐานหรือการตีความจากการค้นคว้าวิจัยของมนุษย์ยุคหลัง ซึ่งเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของประสบการณ์ในอดีตที่เป็นว่ามีคุณค่าขึ้นมาใหม่ แต่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของประสบการณ์ของมนุษยชาติโดยให้ใกล้เคียงที่สุดกับข้อเท็จจริง ด้วยการค้นคว้าหาหลักฐานตามหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ เช่น โบราณคดี ประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา สังคมวิทยา บรรพชีวินวิทยา เป็นต้น ประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อมีการค้นพบหลักฐานใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น แต่ก่อนเราเรียนรู้ว่า ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดที่ภูเขาอัลไต แต่ต่อมาเมื่อมีการค้นพบแหล่งโบราณคดีใหม่ ๆ เช่น บ้าเชียง ก็เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมประวัติศาสตร์ขึ้นมาอีกว่า ชนชาติไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่ตรงประเทศไทยนี่แหละ (หรือหลายแห่งตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์)
วิชาประวัติศาสตร์มีความสำคัญมากต่อมวลมนุษยชาติ เพราะทำให้มนุษย์ยุคปัจจุบันหรือยุคต่อ ๆ ไป ได้ศึกษาเรียนรู้วิวัฒนาการของชนชาติ วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตของบรรพบุรุษ ความรุ่งเรืองตลอดจนความเสื่อมสลาย สาเหตุแห่งความเสื่อมสลายของอารยธรรมของตนเอง เพื่อนำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสังคม วัฒนธรรมประเพณีให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปแก่อนุชนรุ่นต่อ ๆ ไป ละเว้นการกระทำอันเป็นเหตุแห่งความเสื่อมสลายของวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง พัฒนาสาเหตุที่จะทำให้สังคมวัฒนธรรมประเพณีของตนเองให้เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป เช่น เราศึกษาประวัติศาสตร์การล่มสลายของกรุงศรีอยุธยาครั้งสุดท้ายว่า เกิดมาจากความแตกสามัคคีของชนในชาติ ความเห็นแก่ตัวของชนในชาติ เป็นต้น ก็นำมาปรับปรุงให้เกิดความสามัคคีกัน อีกประการหนึ่ง เราสามารถต่อยอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นก่อน ๆ ไปสู่คนรุ่นหลังได้ ก็ด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์เช่น ชาวยุโรปสมัยก่อนซึ่งชอบคิดเรื่องโลกกลมหรือแบน (ต่างจากคนตะวันออกที่ชอบคิดเรื่องชาตินี้ชาติหน้า) แต่ก่อนสอนกันว่าโลกแบน โลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล ทำให้คนรุ่นหลังค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเรื่อย ๆ จนพบว่า โลกกลม และดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล คนรุ่นก่อนมีการเริ่มสร้างสิ่งที่จะทำให้คนบินได้เหมือนนก โดยการสร้างเครื่องช่วยบินหรือเครื่องบินด้วยการทดลองต่าง ๆ นานา จนสำเร็จ คนรุ่นหลังนำมาต่อยอดจนเป็นเครื่องบินที่เห็นได้ในปัจจุบัน ซึ่งบินได้ทั่วโลกและอาจจะทั่วจักรวาลในยุคต่อ ๆ ไป คนรุ่นก่อนรู้จักผลิตเครื่องจักรทำให้ล้อเกวียนวิ่งได้โดยไม่ต้องใช้สัตว์ลาก โดยการใช้พลังงานความร้อนเกิดไอน้ำดันชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้ล้อเกวียนวิ่งได้ คนรุ่นหลังก็นำมาต่อยอดจนเป็นเครื่องยนต์ของรถยนต์ที่เห็นในปัจจุบันที่วิ่งได้เร็วย่นระยะเวลาลงได้เป็นหลายชั่วโมงหลายวัน สรุป ความสำคัญของประวัติศาสตร์ช่วยให้คนรุ่นหลังนำความรู้ที่คนรุ่นก่อน ๆ นำมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ลดละเลิกพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่คนรุ่นก่อนทำแล้วเป็นเหตุให้เกิดการเสื่อมสลายของสังคมและวัฒนธรรม ก็จะทำให้สังคมวัฒนธรรมของตนเองเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป
วิธีการทางประวัติศาสตร์ คือกระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อให้ได้ความรู้และคำตอบที่เชื่อว่าสะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตได้ถูกต้องมากที่สุดซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร ดังนั้นจึงต้องมีกระบวนการศึกษาและการใช้เหตุผลในการตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐาน และนำไปใช้อย่างถูกต้องทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สะท้อนข้อเท็จจริง ที่แตกต่างจากนิทาน นิยาย หรือเรื่องบอกเล่าที่เลื่อนลอย การศึกษาประวัติศาสตร์เริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานหลัก 5คำถามคือ "เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต" (What), "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่" (When), "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน" (Where), "ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น" (Why), และ "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร" (How) วิธีการทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่
ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์ จะช่วยให้มนุษย์เกิดสำนึกในการค้นคว้า และสืบค้นข้อมูลที่เชื่อมโยงอดีตและปัจจุบันอันสร้างความภูมิใจและกระตุ้นความรู้สึกนิยม ในชาติหรือเผ่าพันธุ์ตลอดจนตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม ที่บรรพบุรุษสั่งสมไว้, ประวัติศาสตร์ช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากอดีต เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับปัจจุบันองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาประวัติศาสตร์จะทำให้เข้าใจถึงปัญหา สาเหตุของปัญหาและผลกระทบจากปัญหา, การศึกษาประวัติศาสตร์ ก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่หลากหลายซึ่งสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปกำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินนโยบาย ให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งปัจจุบันและอนาคต, วิธีการทางประวัติศาสตร์ทำให้ผู้ศึกษาสั่งสมประสบการณ์และทักษะในการวิเคราะห์ไต่สวน และแก้ปัญหา ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการศึกษาศาสตร์แขนงอื่น ๆคุณสมบัตินี้นับเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาคุณภาพประชากรในสังคม ที่เจริญก้าวหน้าและมีพัฒนาการสูง ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์นั้นจะต้องมีคุณสมบัติต่าง ๆ ประกอบด้วย
รายละเอียดวิธีการทางประวัติศาสตร์มีขั้นตอนการศึกษาดังนี้ ลำดับขั้นตอนที่สำคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์คือ 1. การตั้งคำถามเพื่อกำหนดหัวข้อการศึกษาซึ่งคำถามสำคัญมีดังนี้ใครทำอะไรที่ไหนเมื่อไรทาไม/อย่างไร 2. การค้นคว้า/รวบรวมข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ 3. การวิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้แก่การวิพากษ์ภายนอกและการวิพากษ์ภายใน 4. การตีความหลักฐานเพื่อให้รู้ว่าหลักฐานข้อมูลที่แท้จริงคืออะไร 5. การสังเคราะห์ข้อมูลคือการรวบรวมและเรียบเรียงข้อเท็จจริงต่างๆ 6. การเรียบเรียงและนาเสนอผลการศึกษาตามระเบียบวิธีการทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์แบ่งออกตามลำดับความสำคัญเป็น 2 ประเภทคือ 1. หลักฐานชั้นต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิ (Primary Source) คือหลักฐานที่เกิดร่วมสมัยกับเหตุการณ์เช่นคาบอกเล่าของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจารึกจดหมายเหตุบันทึกเป็นต้น 2. หลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ (Secondary Source) คือหลักฐานที่จัดทาขึ้นภายหลังเหตุการณ์เช่นพระบรมราชานุสาวรีย์ตำนานบทความหนังสืองานนิพนธ์ ตัวอย่างของหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร 1. จารึกคือการบันทึกเรื่องราวไว้บนวัสดุที่มีความคงทนถาวรเช่นศิลาโลหะถือเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่มีอายุยาวนานที่สุดที่พบในประเทศไทยเช่น “จารึกเยธัมมา” จารึกที่เขางูเป็นต้น 2. จดหมายเหตุคือการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเวลานั้นมักบอกเวลาตามลำดับเหตุการณ์เป็นหลักฐานสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย 3. พงศาวดารเป็นบันทึกที่ราชสำนักจัดทำขึ้นซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ตามลำดับเหตุการณ์และยุคสมัยถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีความแม่นยาของข้อมูลเป็นที่ยอมรับโดยนักประวัติศาสตร์ ตัวอย่างหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร 1. หลักฐานทางโบราณคดีคือหลักฐานวัตถุสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เช่น อาวุธเครื่องประดับภาชนะหลักฐานชนิดนี้มีความสำคัญต่อนักประวัติศาสตร์ในการตรวจสอบหลักฐานประเภทเอกสารแน่ชัดขึ้น 2. หลักฐานทางศิลปกรรมเช่นสถาปัตยกรรมประติมากรรมจิตรกรรมที่สะท้อนให้เห็นพัฒนาการของมนุษย์ในอดีตเช่นรูปแบบการสร้างบ้านเรือนการผลิตสิ่งของเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา 3. หลักฐานประเภทโสตทัศน์เช่นภาพถ่ายแผนที่แผ่นเสียงภาพยนตร์เป็นหลักฐานที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์มีวิธีการตรวจสอบหลักฐานได้โดยการวิพากษ์หลักฐานซึ่งมีวิธีการ2ขั้นตอนคือ 1. การวิพากษ์หลักฐานภายนอกเป็นการตรวจสอบถึงลักษณะโดยทั่วไปของหลักฐานเช่นใครเป็นผู้แต่งเวลาที่เขียนลักษณะการเขียน 2. การวิพากษ์หลักฐานภายในเป็นการตรวจสอบที่เน้นการวิเคราะห์ในส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระของเอกสารนั้นๆว่ามีความถูกต้องเพียงใด
คำว่าประวัติศาสตร์มาจากไหนคำว่า ประวัติศาสตร์ ซึ่งเราแปลมาจาก History นั้น อ.ปรีดี พนมยงค์ เคยเสนอว่าควรจะแปลว่า “วิวรรตการ” เพื่อสะท้อนความหมายที่แท้จริงว่าเป็นการศึกษาเรื่องของสังคมในลักษณะพัฒนาการจากอดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งกินความถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย
สิ่งใดบ้างที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์ประวัติศาสตร์ หมายถึง เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำ หรือสร้างแนวความคิดไว้ทั้งหมด รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์ ตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือธรรมชาติที่มีผลต่อมนุษยชาติ
บิดาแห่งประวัติศาสตร์เป็นผู้บัญญัติศัพท์คำที่ว่า ถักหรือทอ คือใครแปลว่า ถัก, ทอ เฮโรโดตุส (Herodotus) นักปราชญ์ชาวกรีกเป็นคนแรกที่นำศัพท์นี้มาดัดแปลง เรียกชื่อ เรื่องราวที่ตนได้สืบค้นเรียบเรียงขึ้นว่า Historiai และได้รับยกย่องจากนักประวัติศาสตร์ ว่าเป็นบิดาแห่ง
ผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาประวัติศาสตร์เรียกว่าอะไรhistorian. (n) นักประวัติศาสตร์, See also: ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
|