ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้มีผู้คิดนำเอาละครชาตรีกับละครนอกมาผสมกัน เรียกว่า "ละครชาตรีเข้าเครื่อง" หรือ "ละครชาตรีเครื่องใหญ่" การแสดงแบบนี้บางทีก็มีฉากแบบละครนอก แต่บางครั้งก็ไม่มีฉากอย่างละครชาตรี ดนตรีที่ใช้ประกอบก็ใช้แบบผสม คือใช้เครื่องดนตรีของละครชาตรีผสมวงปี่พาทย์ของละครนอก การแสดงเริ่มด้วยการรำซัดชาตรี แล้วลงโรง จับเรื่องด้วย "เพลงวา" แบบละครนอก ส่วนเพลง และวิธีการแสดงก็ใช้ทั้งละครชาตรี และละครนอกปนกัน การแสดงแบบนี้ยังเป็นที่นิยมมาถึงปัจจุบัน และนิยมมาแสดงเป็นละครแก้บนตามสถานที่ต่างๆ Show
ละครในพบครั้งแรกในหนังสือบุณโณวาทคำฉันท์ พรรณาว่าแสดงเรื่องอิเหนา ตอนลักบุษบาหนีเข้าถ้ำ แสดงว่าละครในแสดงแพร่หลายในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีแสดงในงานสมโภชพระพุทธบาท สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงฟื้นฟูการละครครั้งใหญ่ ดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องประวัติของการละครห้าสมัย ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครใน เพื่อเป็นต้นฉบับสำหรับพระนครขึ้นทั้ง ๔ เรื่องอย่างสมบูรณ์ แต่แบบฉบับการฟ้อนรำไม่ได้เคร่งครัด พึ่งจะมาพิถีพิถันในเรื่องท่ารำและแบบแผน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนเรียกว่า เป็น “ยุคทองของละครใน” คำว่า “ละครใน” สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระราชดำรัสว่า คงจะมาจากคำว่า “นางใน” ละครข้างใน ซึ่งใช้เรียกกันในชั้นแรก แต่ต่อมาเรียกให้สั้นเข้าจนเหลือแต่ “ละครใน” เมื่อละครในเกิดขึ้นและใช้ผู้หญิงในวังเป็นผู้แสดง ละครที่ผู้ชายแสดงอยู่ภายนอกพระราชวังเดิมจึงเรียกกันว่า “ละครนอก” เป็นคำคู่กัน แบบแผนการเล่นละครในกับละครนอกต่างกันมากกล่าวคือ ละครในมุ่งการร่ายรำที่ประณีตงดงามและเพลงที่ขับร้องไพเราะเป็นสำคัญ และมักจะมีบทพรรณาความงดงาม ความวิจิตรพิสดารของสิ่งต่างๆ ในขณะที่ละครนอกไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ มุ่งแต่ความรวดเร็วในการดำเนินเรื่อง และการเล่นตลกคะนองให้เป็นที่สนุกสนาน ทำความบันเทิงให้แก่ผู้ชมละครได้มากที่สุด กระบวนการฟ้อนรำและท่วงทำนองเพลงดนตรีของละครใน จะมีลีลาที่เชื่องช้าและนุ่มนวลกว่าของละครนอกมาก ตัวละครไม่ได้ร้องบทเอง อาจเป็นเพราะเห็นว่าการรำอย่างละครในต้องใช้ความประณีตอ่อนช้อย เหน็ดเหนื่อยมากพออยู่แล้ว ถ้าผู้แสดงจะต้องร้องเพลงด้วยก็จะแสดงศิลปะในการรำได้ไม่เต็มที่ การแสดง ละครใน เนื่องจากผู้แสดงเป็นนางในซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีกิริยามารยาทงดงาม เพราะฉะนั้น ละครในจึงมีความมุ่งหมายอยู่ที่ศิลปะของการร่ายรำต้องให้แช่มช้อย มีสง่า ไม่นิยมแสดงตลก ขบขัน โลดโผน ทั้งยังต้องรักษาแบบแผนจารีตประเพณี เพราะเหตุนี้ ผู้ประพันธ์ละครในจึงต้องพิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำให้สละสลวย ระมัดระวังที่จะไม่ให้มีคำตลาดเข้ามาปน ผู้แสดงละครในนั้นต้องตีบทให้แตก คำว่า ตีบท เป็นภาษานาฏศิลป์ หมายถึง การรำบท การรำบทก็คือการแสดงท่าทางแทนคำพูด เรียกว่า “ภาษาท่า" ในเรื่องแบบแผนของละครใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่าละครในเป็นการนำเอาแบบแผนของการแสดง ๓ อย่างมาผสมกัน กล่าวคือ ได้เรื่องที่เล่นมาจากโขน ได้กระบวนการเล่นและชื่อเรียกว่า “ละคร” มาจากละครผู้ชายที่เล่นกันอยู่เดิมและนำเอาวิธีร้อง วิธีรำ มาจากระบำ ละครในจึงไม่ให้ตัวละครร้องบทเองอย่างละครนอก โดยปกติใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า นิยมตีด้วยไม้นวม เพื่อให้มีกระแสเสียงที่นุ่มนวล เพลงร้องและหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบการร่ายรำจากบทละครที่ปรากฏเป็นหลักฐาน ใช้เพลงร้องไม่มากนักโดยจะดำเนินเรื่องด้วย “เพลงร่ายใน” เป็นหลักใหญ่ การใช้เพลงร้องทำนองต่างๆ ปรากฏมากขึ้นในระยะที่มีละครดึกดำบรรพ์เกิดขึ้นแล้ว และเป็นแบบแผนสืบมาถึงปัจจุบัน มักนิยมแสดงเพียง ๓ เรื่อง คือ อุณรุท รามเกียรติ์ และอิเหนา พิถีพิถันตามแบบแผนกษัตริย์จริงๆ เรียกว่า ยืนเครื่องทั้งตัวพระและตัวนาง (แต่งเลียนแบบเครื่องต้นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์) ในระยะแรกการแสดงละครในจะแสดงภายในพระราชฐานเท่านั้น ในสมัยต่อมาโอกาสที่แสดงละครใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวว่า “การเล่นละครในไม่เล่นรับงานหาเหมือนละครนอก เพราะละครในมักเป็นละครผู้มีบรรดาศักดิ์ ฝึกหัดไว้สำหรับประดับเกียรติยศเป็นแต่แสดงดูกันเอง หรือแสดงในการบำเพ็ญกุศล” ระยะหลังไม่จำกัดสถานที่แสดง การแสดง ละครใน http://oknation.nationtv.tv/blog/assada999/2009/11/20/entry-2 ญี่ปุ่นมีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่และวัฒนธรรมที่สวยงามยาวนาน และพวกเขายังคงสามารถรักษาวัฒนธรรมที่ดีงามนั้นไว้ได้ดี วันนี้ขอพาไปแนะนำวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเป็นญี่ปุ่นที่น่าสนใจ ซัก 30 อย่างด้วยกัน 1 กิโมโน (Kimono)
เราคงคุ้นเคยกันดีกับชุดกิโมโน (Kimono) ซึ่งเป็นชุดแต่งกายประจำชาติของญี่ปุ่น กิโมโนมีลักษณะเป็นเสื้อคลุมขนาดยาวที่มีแขนเสื้อกว้างมาก ใช้สายคาดที่เรียกว่าโอบิ (Obi) รัดเสื้อคลุมให้อยู่กับตัว มีลวดลายที่งดงามบนเนื้อผ้าที่ถักทอมาอย่างประณีต ซึ่งปัจจุบันนี้ชุดกิโมโนไม่เพียงแค่เป็นชุดที่ใส่กันไปร่วมงานเทศกาลและพิธีสำคัญต่างๆ เท่านั้น แต่กลายเป็นแฟชั่นยอดนิยมที่ชาวต่างชาติจำนวนมากให้ความสนใจด้วย 2 พิธีชงชา (Sadou, Chadou)
พิธีชงชา หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่าซะโด (Sadou) หรือ ฉะโด (Chadou) แปลว่าวิถีแห่งชา เป็นพิธีกรรมที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่นที่แฝงให้เห็นวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่มีความเรียบง่าย ประณีต และพิถีพิถัน ชาที่นำมาใช้ชงนั้นเป็นชาบดจนเป็นผงละเอียดเรียกว่ามัทฉะ (Matcha) ขั้นตอนการชงคือตักมัทฉะใส่ถ้วย ตักน้ำร้อนจากหม้อต้มใส่ลงไป ใช้ไม้คนจนชาเป็นฟองก็เป็นอันเสร็จ จากนั้นก็ยกถ้วยชาเสิร์ฟให้กับแขก ซึ่งมักจะดื่มคู่กับขนมหวานชิ้นเล็กๆ เพื่อตัดความขมของชา 3 ฮานามิ (Hanami)
เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ กิจกรรมที่ห้ามพลาดเลยคือการไปชมดอกซากุระ เป็นประเพณีการชมดอกไม้ของประเทศญี่ปุ่นที่เรียกว่าฮานามิ (Hanami) ได้รับความนิยมทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวด้วย ทุกคนต่างเฝ้ารอการไปทำกิจกรรมตามจุดชมซากุระในที่ต่างๆ เราจะได้เห็นคนญี่ปุ่นนำเสื่อหรือผ้าไปเพื่อปูพื้นสำหรับนั่ง พร้อมกับอาหารและเครื่องดื่มเพื่อรับประทานและสังสรรค์กันบริเวณใต้ต้นซากุระ ตามจุดชมซากุระแต่ละแห่งก็จะมีการออกร้านกันอย่างคึกคัก และคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาชมความงามและถ่ายรูปดอกซากุระ 4 ชินโต (Shinto)
ชินโต (Shinto) เป็นหลักความเชื่อในการดำเนินชีวิตของชาวญี่ปุ่นมายาวนานตั้งแต่โบราณกาล คำว่าชินโตแปลได้ว่าวิถีแห่งเทพเจ้า ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องการบูชาเทพเจ้าที่เรียกว่าเทพเจ้าแปดล้านองค์ (Yaoyorozu no Kami) เนื่องจากคนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่ามีเทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนสถิตอยู่ในธรรมชาติทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ก้อนหิน 5 เซ็น (Zen)
เซ็น (Zen) เป็นนิกายหนึ่งในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ที่มีความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น มีการผสมผสานแนวคิดของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจากอินเดียและปรัชญาจากลัทธิเต๋าของจีน เซ็นมีรากศัพท์มาจากคำว่าฌาน (Jhana) ที่แปลว่าสมาธิ 6 โทริอิ
นี่คือสิ่งที่เห็นได้เป็นประจำสำหรับคนชอบเที่ยวศาลเจ้าชินโต นอกจากภูเขาไฟฟูจิและดอกซากุระแล้ว สิ่งที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของญี่ปุ่นก็คือโทริอิ (Torii) นี่เอง 7 ซูชิ (Sushi)
ถ้าพูดถึงอาหารญี่ปุ่น หลายๆ คนคงนึกถึงซูชิ (Sushi) ด้วยรูปลักษณ์ที่น่ารับประทานบวกกับรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นทำให้ปัจจุบันซูชิได้รับความนิยมไปทั่วโลก 8 ซาชิมิ (Sashimi)
อีกหนึ่งวัฒนธรรมด้านอาหารของญี่ปุ่นก็คือซาชิมิ (Sashimi) ซึ่งได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติไม่แพ้ซูชิ ซาชิมิเป็นการรับประทานเนื้อสัตว์ดิบไม่ผ่านการปรุงรส ซึ่งจะต่างกับซูชิตรงที่ไม่มีข้าวเป็นส่วนประกอบ ซาชิมิจะเป็นเนื้อสัตว์สดๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อของปลาทะเล นำมาหั่นหรือแล่จนเป็นชิ้นบาง รับประทานง่าย มักจะทานควบคู่กับเครื่องปรุงรสที่ช่วยกลบกินคาวของเนื้อดิบได้ อย่างเช่น โซยุ วาซาบิ ขิงดอง หัวไชเท้าขูดเส้น เป็นต้น 9 วากาชิ (Wagashi)
วากาชิ (Wagashi) เป็นคำเรียกรวมๆ ของขนมหวานดั้งเดิมของญี่ปุ่นทุกชนิด แปลได้ตามชื่อเรียก ซึ่งเป็นการผสมคำว่า wa ที่หมายถึงญี่ปุ่น และ kashi ที่หมายถึงขนมหวาน รวมกันเป็นขนมหวานแบบญี่ปุ่น 10 วาบิซาบิ (Wabi-Sabi)
วาบิซาบิ (Wabi-Sabi) เป็นอีกหนึ่งแนวคิดของศาสนาพุทธนิกายเซ็น (Zen) ประกอบขึ้นจากคำ 2 คำคือ “วาบิ” หมายถึง ความเรียบง่าย สมถะ และคำว่า “ซาบิ” คือความเงียบสงบ ใจที่นิ่ง เป็นปรัชญาที่ทำให้เราเห็นว่า 11 ละครโนห์ (Noh)
โนห์ (Noh) เป็นละครเวทีแบบเก่าแก่ของญี่ปุ่น จุดเด่นคือนักแสดงจะสวม "หน้ากากละครโนห์" เพื่อสวมบทบาทเป็นตัวละครต่างๆ โดยจะแบ่งออกเป็นหน้ากากของผู้ชาย ผู้หญิง เทพเจ้า แต่ละตัวจะมีบทบาทแตกต่างกันออกไปเช่น นักปราชญ์ ปิศาจ คนบ้า และตัวละครในเทพนิยาย และแต่งกายแบบโบราณที่สวยงามขึ้นแสดงบนเวที มีการร้องผสมกันระหว่างเสียงสวดมนต์กับการเล่าเรื่อง และมีการบรรเลงดนตรีสลับด้วยในบางช่วง เรื่องที่นำมาเล่ามักจะมาจากนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ หรือเรื่องราวของนักรบ 12 คาบูกิ (Kabuki)
ละครคาบูกิ (Kabuki) เป็นศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิม ที่คาดกันว่าเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 และได้พัฒนาจนกลายเป็นละครยอดนิยมของผู้คนในสมัยเอโดะ โดยในอดีตจะมีนักแสดงเป็นผู้ชายล้วน ร่ายรำและเล่าเรื่องโดยมีวงดนตรีบรรเลงประกอบ เนื้อเรื่องที่นิยมแสดงจะเกี่ยวกับสังคมซามูไร ตำนานวีรบุรุษ เวทมนต์ เรื่องราวชีวิตของชาวเมือง และเรื่องเศร้า เป็นต้น 13 บุนรากุ (Bunraku)
บุนรากุ (Bunraku) เป็นละครหุ่นแบบเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น การแสดงบุนรากุจะมีการบรรเลงดนตรีประกอบด้วยซามิเซ็น (Shamisen) นักเชิดหุ่นมักจะใส่ชุดสีดำเพื่อให้กลมกลืนกับฉากหลังที่มักมีสีดำ การเชิดหุ่นต้องใช้ฝีมือมากเพราะหุ่นแต่ละตัวจะมีความยาวประมาณ 1-1.5 เมตร ค่อนข้างใหญ่ และมีน้ำหนักมาก 14 ชามิเซ็น (Shamisen)
ชามิเซ็น (Shamisen) เป็นเครื่องดนตรีที่มีชื่อเสียงมากของญี่ปุ่น ใช้ประกอบการแสดงพื้นบ้านหลายชนิด เช่นบุนรากุและคาบูกิ ชื่อชามิเซ็นแปลว่า "สามสาย" เป็นเครื่องสายประเภทพิณที่มีสามสายตามชื่อ ลำตัวเป็นทรงสี่เหลี่ยม และในอดีตนิยมหุ้มด้วยหนังของหมาหรือแมว แต่ในปัจจุบันไม่นิยมทำกันแล้ว 15 คาราเต้
คาราเต้ (Karate) แปลได้ว่า วิถีแห่งมือเปล่า เป็นศิลปะการต่อสู้ประเภทหนึ่งของญี่ปุ่น มีการผสมผสานกันระหว่างการต่อสู้ของชาวโอกินาวะและการได้รับอิทธิพลจากทักษะการต่อสู้แบบจีนที่ใช้ฝ่ามือ วิธีการต่อสู้คือใช้สมาธิดึงพลังจากทั่วร่างกายมารวมให้เป็นหนึ่งก่อนทำการโจมตีโดยใช้มือและเท้าต่อยและเตะเข้าที่ส่วนต่างๆ ของร่างกายคู่ต่อสู้ และอีกสิ่งสำคัญของคาราเต้คือการฝึกจิตใจให้มีความว่างเปล่า สามารถละเว้นจากความปรารถนา ความมีทิฐิและกิเลสต่างๆ ได้ 16 ซูโม่ซูโม่ (Sumo) เป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่น และกีฬายอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติในญี่ปุ่น ที่หลายคนอยากไปดูซักครั้ง 17 คิวโด หรือการยิงธนู (Kyudo)
คิวโด (Kyudo) แปลว่าวิถีแห่งธนู เป็นการยิงธนูที่เกิดจากการฝึกฝนต่อสู้เพื่อสงครามของชาวญี่ปุ่นสมัยก่อน จนพัฒนามาเป็นกีฬาดังเช่นในปัจจุบัน 18 เคนโด้ (Kendo)
เคนโด้ (Kendo) แปลว่าวิถีแห่งดาบ เป็นศิลปะการต้อสู้ป้องกันตัวของคนญี่ปุ่น มีกระบวนท่าการต่อสู้ที่รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด และต่อเนื่อง มีรากฐานมาจากการใช้ดาบของพวกซามูไรในสมัยก่อน และมีหลักฐานว่าฝึกฝนกันมามากกว่าพันปี อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเคนโด้ได้แก่ ดาบไม้ ชุดฝึกที่เรียกว่าเคโคงิ (Keiko-gi) กางเกงฮากามะ (Hakama) และชุดเกราะเครื่องแบบที่ประกอบด้วยเสื้อเกราะหน้าอก หน้ากาก ที่ป้องกันแขน และที่ป้องกันสะโพก 19 ยูโด
ยูโด (Judo) เป็นศิลปะการป้องกันตัวประเภทหนึ่งของญี่ปุ่น แปลได้ว่าวิถีแห่งความยืดหยุ่น มีที่มาจากศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่าจูจุตสึ (Jujutsu) หรือยิวยิตสูนั่นเอง โดยนำมาปรับใช้โดยเน้นการฝึกสมาธิให้แน่วแน่บวกกับการใช้พลังกายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อต่อสู้ให้ชนะ 20 ดารุมะ
ถ้าพูดถึงตุ๊กตาตัวกลมๆ สีแดง มีตาข้างเดียวของญี่ปุ่น น่าจะมีคนนึกออกว่าเป็นตุ๊กตาดารุมะ (Daruma) ซึ่งจัดว่าเป็นเครื่องรางยอดนิยมของคนญี่ปุ่นเลยทีเดียว ดารุมะเป็นตุ๊กตาไม้ ลักษณะกลมคล้ายตุ๊กตาล้มลุก ไม่มีแขนและขา มีคิ้ว มีหนวดเครา แต่ไม่มีลูกตาสีดำ หน้าตาคล้ายคลึงกับพระโพธิธรรม ส่วนใหญ่เป็นสีแดง แต่ก็มีสีอื่นด้วย และมักมีความหมายที่เป็นพรอันเป็นมงคลต่างๆ 21 สาเก หรือเหล้าญี่ปุ่น นิฮงชู (Sake, Nihonshu)
สาเก (Sake) หรือนิฮงชู (Nihonshu) คือเหล้าญี่ปุ่นที่ทำจากข้าว ได้รับความนิยมมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ สามารถดื่มได้ทั้งแบบเย็นหรือนำมาอุ่นให้ร้อนแล้วค่อยดื่มก็ได้ นำไปใช้ในการประกอบอาหารก็ได้ รสชาติของสาเกก็มีหลากหลายมากตั้งแต่หวานไปจนถึงขม เพราะหัวใจของการทำสาเกอยู่ที่เชื้อโคจิ (Koji) ที่นำมาใช้หมักกับข้าว ซึ่งเป็นสูตรลับของแต่ละตระกูล อันนี้ก็แล้วแต่คนว่าชอบรสชาติแบบไหนกัน นอกจากนี้สาเกยังมีชื่อเรียกที่ต่างไปตามฤดูกาลด้วย เช่น ฤดูชมดอกซากุระก็เรียกว่าฮานามิสาเก (Hanami Zake) ชมหิมะตกก็เรียกยูคิมิสาเก (Yukimi Zake) เป็นต้น 22 การเขียนพู่กัน หรือโชโด (Shodou)
การเขียนพู่กัน (Shodou) เป็นศิลปะการเขียนตัวอักษรด้วยลายมือที่สวยงามซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แสดงให้เห็นความงดงามของตัวอักษร ทั้งอักษรคันจิ (Kanji) และตัวอักษรคานะ (Kana) อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบด้วยกระดาษญี่ปุ่นและพู่กัน ซึ่งในอดีตพู่กันมักทำมาจากขนของสัตว์เช่นขนแกะ ขนม้า เป็นต้น โดยจุ่มพู่กันที่ทำจากขนสัตว์ลงในหมึกดำ แล้วเขียนตัวหนังสือลงไป การตวัดพู่กันเขียนนี้ต้องใช้สมาธิความประณีต และใส่ความรู้สึกลงไปในขณะเขียนเพื่อให้ออกมาเป็นผลงานศิลปะที่มีความหมาย 23 สวนญี่ปุ่น (Teien หรือ Nihon-Teien)
สวนแบบญี่ปุ่น (Teien หรือ Nihon-Teien) ได้รับอิทธิพลมาจากสวนของจีนที่เข้ามาพร้อมกับการเผยแผ่พุทธศาสนา การจัดสวนจึงเริ่มต้นจากในวัด ต่อมาก็ได้รับเอาความเป็นสวนแบบเซ็น มาผสมผสานและสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง การจัดสวนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการจัดองค์ประกอบของภูมิทัศน์โดยในสวนจะต้องมีน้ำตก ลำธาร สระน้ำ หรือเกาะกลางน้ำและสะพานข้าม มีพืชพันธุ์ต่างๆ หินประดับ ตะเกียงหินตั้งตามจุดต่างๆ และทางเดินชมสวน 24 โอมาโมริ
โอมาโมริ (Omamori) มีความหมายว่าปกป้องคุ้มครอง เป็นเครื่องรางของศาลเจ้าในญี่ปุ่น มีหลายรูปแบบ ทั้งแบบดั้งเดิมที่เป็นถุงผ้าขนาดเล็กซึ่งน่าจะคุ้นตากันดี และปัจจุบันยังมีทำเป็นสติ๊กเกอร์ พวงกุญแจ สายคล้องมือถือ และอีกหลายแบบที่เหมาะกับวิถีชีวิตคนสมัยใหม่ คนที่มาไหว้ขอพรที่ศาลเจ้ามักซื้อเอาไปพกติดตัวเพื่อเสริมสิริมงคล 25 ไฮกุไฮกุ (Haiku) คือบทกวีญี่ปุ่น มาจากบทกวีดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เรียกว่า ไฮไค (Haikai) หรือ เร็งกุ (Renku) ไฮกุมีมานานกว่า 400 ปีแล้ว และมีบทบาทมากในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 หนึ่งบทกลอนประกอบด้วยคำกลอนรวมทั้งหมด 17 พยางค์ เขียนแบ่งเป็น 3 วรรค วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคที่สอง 7 พยางค์ และวรรคที่สาม 5 พยางค์ตามลำดับ พรรณนาถึงสภาพจิตใจ จิตวิญญาณและความรู้สึกที่ลึกซึ้ง เนื้อหาเน้นความเรียบง่าย ไม่ยึดติดตามแบบแผน มีความอิสระไร้ข้อจำกัด เป็นไปตามกระแสธรรมชาติเรื่อยๆ และมีความสั้นกระชับ 26 คารุตะ
หลายๆ คนอาจจะเคยผ่านตามาบ้างในละครหรือการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีฉากเล่นไพ่คารุตะ (Karuta) คารุตะนั้นที่จริงแล้วมาจากคำภาษาโปรตุเกสที่หมายถึง "ไพ่" และญี่ปุ่นเองก็มีคารุตะหลากหลายชนิด 27 โอริงามิ
ถ้าพูดถึงการละเล่นญี่ปุ่น โอริงามิน่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกที่คนจะนึกถึง 28 โชงิ หรือหมากรุกญี่ปุ่น (Shogi, Japanese Chess)
โชงิ (Shogi) คือหมากรุกญี่ปุ่น เป็นเกมกระดานที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่โบราณจนกระทั่งปัจุบันก็ยังมีผู้นิยมเล่นกันเยอะ โชงิเริ่มได้รับความสนใจเล่นกันมากในสมัยเฮอันเรียกว่าเฮอันโชงิ (Heian Shogi) และแพร่หลายในสมัยเอโดะ จนมีการก่อตั้งชมรมโชงิขึ้น อุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นโชงิคือกระดานขนาด 9×9 ช่อง และตัวหมากทั้งหมด 40 ตัว หมากแต่ละตัวจะมีตัวอักษรคันจิเขียนกำกับไว้ด้านบน ลักษณะการเล่นเหมือนจำลองการทำสงคราม โดยผู้เล่น 2 ฝ่ายทำสงครามกัน โดยที่แต่ละฝ่ายก็จะมีขุนพล ทหาร แม่ทัพ และตัวหมากต่างๆ ทำการสู้รบเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะในศึก 29 อิเคบานะ (Ikebana)
อิเคบานะ (Ikebana) เป็นศิลปะของการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น เน้นความเรียบง่ายและความเป็นธรรมชาติเป็นหลัก พัฒนามาจากการจัดดอกไม้ถวายในพิธีกรรมต่างๆ การจัดอิเคบานะจะไม่ใช้ดอกไม้เยอะ จัดลงในภาชนะรูปทรงต่างๆ ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้จัดว่าจะให้มีทรงสูง เป็นพุ่มดอกไม้ หรือเป็นอิเคบานะขนาดเล็ก แล้วจัดให้มีความสมดุลโดยนำกิ่งไม้ ใบไม้ รากไม้ ต้นหญ้ามาใช้เป็นองค์ประกอบในการจัดรวมกับดอกไม้ด้วย โดยหนึ่งในเป้าหมายคือการทำให้มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด ในช่วงของสมัยใด ที่เกิดละครรำดั้งเดิม 3 ประเภทสมัยอยุธยามีละคร 3 ประเภทคือ ละครชาตรีซึ่งเป็นละครดั้งเดิม ละครนอกที่แก้ไขมาจาก ละครชาตรี และละครในเป็นละครของผู้หญิง มีบทละครสำหรับแสดงละคร 22 เรื่อง เช่น มโนห์รา คาวี อิเหนา อุณรุท รามเกียรติ์ ดาหลัง สมัยธนบุรี
ละครใดจัดอยู่ในประเภทละครรำประเภทของละครรำ. ละครชาตรี เล่นเรื่อง มโนห์รา. ละครใน เล่นเรื่อง รามเกียรติ์ อุณรุท อิเหนา. ละครนอก เล่นเรื่อง ไกรทอง โคบุตร ไชยเชษฐ์ คาวี สังข์ทอง เป็นต้น. การแสดงละครเกิดขึ้นในสมัยใดละครในพบครั้งแรกในหนังสือบุณโณวาทคำฉันท์ พรรณาว่าแสดงเรื่องอิเหนา ตอนลักบุษบาหนีเข้าถ้ำ แสดงว่าละครในแสดงแพร่หลายในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีแสดงในงานสมโภชพระพุทธบาท
ละครรําเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลใดเป็นละครที่ปรับปรุงขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้แบบอย่างมาจากละครของชาวตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้นำเอาผู้รำมาประกอบบทร้องและบทขับเสภากลายเป็นเสภารำ และเสภาตลก มีเครื่องประกอบจังหวะพิเศษคือ
|