เครือข่ายออนไลน์ (socaial Neywork)
มักปรากฎให้เห็นในลักษณะของการนำมาใช้เพื่อดำเนินหรือกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีตัวบุคคลหรือหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันเป็นเครือข่ายเพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกัน แลกเปลี่ยนแบ่งปันทรัพยากร ข้อมูลข่าวสาร ฯนฯ แต่สื่อสารถึงกันผ่านอินเทอร์เน็ตนั่งเอง Wikipedia (2009) ให้ความหมาย (Social Network) ว่าเป็นโครงสร้างสังคมที่ประกอบด้วยโหนด (Node) ต่าง ๆ เชื่อมต่อกัน ซึ่งแต่ละโหนดที่เชื่อมโยงกันก็อาจมีความสัมพันธ์กับโหนดอื่น
ๆ ด้วย โดยอาจมีระดับของความสัมพันธ์กันมีความซับซ้อนมีเป้าหมาย Show เครือข่ายสังคมออนไลน์(Socaial Neywork) จึงหมายถึงการที่มนุษย์สามารถเชื่อมโยงถึงกัน ทำความรู้จักกัน สื่อสารถึงกันได้ ผ่านอินเทอร์เน็ต ในรูปแบบการให้บริการผ่านเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงระหว่างกันบุคคลต่อบุคคล ไปจนถึงบุคคลกับบุคคลไว้ด้วยกันนั่นเองโดยเว็บไซต์เหล่านี้จะมีพิ้นที่ให้ผู้คนเข้ามารู้จักกัน มีการให้พื้นที่บริการเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อ อำนวยความสะดวกในการสร้างเครือข่าย สร้างเนื้อหาตามความสนใจของผู้ใช้ รวมทั้งการเชื่อมโยงบริการทางอินเทอร์เน็ตที่ผู้ใช้คุ้นเคย เช่น e-mail, messenger, wed-bolg หรือ wed board blog เข้าไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นชุมชนที่ทำให้ผู้ใช้สามารถแชร์ข้อมูลตัวตนและทุก ๆ สิ่งที่ สนใจ เชื่อมโยงเข้ากับคนในเน็ตเวิร์กด้วย วิธีการต่าง ๆ ซึ่งเกิดความสนใจก็เชื่อมต่อกลับ ซึ่งนอกจากติดต่อกับเพื่อนโดยตรงแล้วยังสามารถทำการติดต่อกับเพื่อนของเพื่อนนั้นได้อีกด้วยดังภาพ ประโยชน์เครือข่ายสังคมออนไลน์1. สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้ 2. เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคาถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคาตอบได้ช่วยกันตอบ 3. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว 4. เป็นสื่อในการนาเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น 5. ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสาหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า 6. ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น 7. คลายเครียดได้สาหรับผู้ใช้ที่ต้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนุกๆ 8. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้ ประเภทเครือข่ายสังคมออนไลน์บริการที่มีลักษณะ Social Network สามารถแบ่งประเภทออกได้ 6 ประเภท ดังนี้
2. ประเภทเผยแพร่ผลงาน (Creative Neywork) เครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้
เป็นสังคมสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแสดงออกและนำเสนอผลงานของตัวเอง สามารถแสดงผลงานได้จากทั่วทุกมุมโลก จึงมีเว็บไซต์ที่ให้บริการพื้นที่เสมือนเป็นแกลเลอรี่ (Gallery) ที่ 3. ประเภทความสนใจตรงกัน (Interested Network) เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ทำหน้าที่เก็บในสิ่งที่ชอบไว้บนเครือข่าย เป็นการสร้าง ที่คั่นหนังสือออนไลน์ (Online Bookmarking)
มีแนวคิดเพื่อให้ผู้ใช้ 4. ประเภทร่วมกันทำงาน (Collaboration Network) เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ต้องการความคิด ความรู้ และการต่อยอดจากผู้ใช้ที่เป็นผู้มีความรู้ เพื่อให้ความรู้ที่ได้ออกมามีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและ 5. ประเภท Peer to peer (P2P) เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์แห่งการเชื่อมต่อกันระหว่างเครื่องผู้ใช้ด้วย 6. ประเภทโลกเสหมือน (Gaming/Virtual Reality) เครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้มีลักษณะเป็นเกมออนไลน์ (Online games)
ซึ่งเป็นเว็บที่นิยมมากเพราะเป็นแหล่งรวบรวมเกมไว้มากมาย มีลักษณะเป็นวิดีโอเกมที่ผู้ใช้สามารถเล่นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เกมออนไลน์นี้มีลักษณะเป็นเกม 3 มิติที่ผู้ใช้นำเสนอตัวตนตามบทบาทในเกม ผู้เล่นสามารถติดต่อ แนวโน้มการใช้สื่อเครือข่ายสังคมออนไลน์แนวโน้มที่สำคัญของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ก็คือการปรับเปลี่ยนจากการเป็นเพียงแค่สถานที่ในการแสดงความคิดเห็น ระบายความในใจ หรือปรับทุกข์ เป็นช่องทางที่ผู้บริหารในระดับต่างๆ จะใช้ในการสื่อสารกับทั้งพนักงานและลูกค้า ที่สำคัญ ก็คือช่องทางในการสื่อสารดังกล่าวจะทำให้เปลี่ยนจากการสื่อสารทางเดียวเป็นการสื่อสารแบบสองทางซึ่งเปิดโอกาสให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน หรือลูกค้าได้มากขึ้น จากสถิติพบว่าปัจจุบันมีคนกว่า 600 ล้านคนทั่วโลกที่ใช้ Facebook เป็นประจำ และกว่า 300 ล้านคนที่ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อวัน อยู่บน Facebook นอกจากนี้ อีกแนวโน้มหนึ่งที่น่าสนใจก็คือกลุ่มประชากรที่อายุเกิน 40 ปีเริ่มใช้ Facebook กันอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น นอกจาก Facebook แล้ว อีกประมาณ 200 ล้านคนที่ใช้ Twitter อยู่เป็นประจำ และอีกประมาณ 100 ล้านคนที่ใช้ LinkedIn (เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่จับกลุ่มคนทำงานเป็นหลักครับ) แนวโน้มสำคัญที่พบในปีที่ผ่านมา คือบรรดาผู้นำต่างๆ ทั้งผู้นำระดับประเทศ (เห็นได้จากบรรดานักการเมืองต่างๆ ของไทย) และผู้นำองค์กรชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็น IBM, PepsiCo, Apple, Microsoft หรือแม้กระทั่งคณบดีของ Harvard Business School ต่างก็ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์กันอยู่เป็นประจำ โดยการใช้ประโยชน์หลักๆ นั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องของการสื่อสาร การส่งข่าวคราวต่างๆ ครับ เนื่องจากปัจจุบันทุกคนสามารถโพสต์ข้อความลงบนเครือข่ายเหล่านี้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ และสามารถแบ่งปันข้อความ หรือสารเหล่านี้ให้กับทั้งพนักงาน และลูกค้าได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านสื่อสารมวลชนใดๆ รวมทั้งผู้รับเองก็เกิดความรู้สึกที่ดีเนื่องจากได้รับสารโดยตรงจากผู้ส่งสาร นอกจากนี้ในเชิงของการบริหารองค์กร เครือข่ายสังคมออนไลน์ยังช่วยทำให้องค์กรมีลักษณะที่แบนราบลงอีกด้วย เนื่องจากในสังคมออนไลน์นั้นทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ หรือแบ่งตามตำแหน่งแต่ประการใด ซึ่งผู้ที่อาจจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในองค์กรจากเครือข่ายสังคมออนไลน์จะหนีไม่พ้นกลุ่มผู้บริหารระดับกลางครับ เนื่องจากในหลายๆ องค์กรผู้บริหารระดับกลางมักจะทำหน้าที่ในการส่งสาร หรือสื่อสารจากผู้บริหารระดับสูงไปยังระดับต้น หรือจากระดับต้นไปยังระดับสูง ดังนั้น เมื่อมีเครือข่ายสังคมออนไลน์เกิดขึ้น ผู้บริหารและบุคลากรในแต่ละระดับสามารถที่จะสื่อสารถึงกันได้ตรงและเร็วขึ้น ทำให้ผู้บริหารระดับกลางต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองไปให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมในการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป นอกเหนือจากเรื่องของการบริหารจัดการแล้ว เครือข่ายของสังคมออนไลน์ยังทำให้รูปแบบของการทำการตลาดเปลี่ยนไป ท่านผู้อ่านลองสำรวจชั้นหนังสือทางด้านการจัดการต่างๆ แล้วจะพบว่าปัจจุบันหนังสือการทำการตลาดผ่านทางเครือข่ายเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Twitter ผุดขึ้นมายังกับดอกเห็ด บริษัทจำนวนมากที่ปรับกิจกรรมและงบประมาณทางด้านการตลาด จากการทำการตลาดรูปแบบเดิมสู่การทำการตลาดผ่านทางสังคมออนไลน์มากขึ้น ล่าสุดมีการจัดอันดับแบรนด์ที่ถือว่ามีพลังมากที่สุดบน Facebook กันด้วยครับ โดยวัดจากจำนวนคนที่มากดเป็น Fan ในหน้าของแต่ละแบรนด์ โดยในปีที่ผ่านมาแบรนด์อันดับต้นๆ ได้แก่ Facebook, YouTube, Coca-Cola, Starbucks, Oreo, Disney, Skittles, RedBull, MTV และ Converse สำหรับของเมืองไทยนั้นยังไม่ได้มีการสำรวจดูนะครับ ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการใดที่มี fan ใน Facebook มากที่สุด แต่กรณีของต่างประเทศที่ผมนำมาเสนอนั้นเป็นหลัก 20-30 ล้านเลยครับ คราวนี้ลองมาดูสถิติต่างๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์กันบ้างนะครับ ในรอบปีที่ผ่านมามีการส่งข้อความผ่านทาง Tweeter 50 ล้านข้อความต่อวัน ในขณะที่ในแต่ละเดือนจะมีการใช้เวลาอยู่บน Facebook รวมแล้ว 700 Billion นาที เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง Facebook กับ Google แล้ว พบว่าจำนวนคนที่เข้าเว็บ Facebook ในปีที่ผ่านมาเริ่มจะมากกว่า Google ในขณะที่กว่าร้อยละ 95 ของบริษัทต่างๆ ที่ใช้ LinkedIn ในการรับสมัครและสรรหาพนักงานใหม่ และการเข้าบรรดาเว็บเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ โดยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แนวโน้มที่สำคัญสำหรับเรื่องของ Social Media ในปีหน้านั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นการมุ่งเน้นและบูรณาการของ Social Media ในด้านต่างๆ มากขึ้น บริษัทต่างๆ ที่ใช้ Social Media เพื่อการประชาสัมพันธ์นั้น ในปีหน้าคงจะไม่ได้ทำเพื่อการประชาสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว แต่คงจะมีการบูรณาการให้เข้ากับการทำงานในทุกๆ ด้าน นอกจากนี้จากพัฒนาการของ Tablet ที่มีรุ่นใหม่ๆ ออกมามากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้การเชื่อมต่อกับทางสังคมเครือข่ายออนไลน์เป็นแบบตลอดเวลาและสะดวกยิ่งขึ้น อีกแนวโน้มที่สำคัญ คือเรื่องของ Location-Based Networking ที่ในปีที่ผ่านมาทาง Foursquare ได้สร้างปรากฎการณ์ในเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างโดดเด่น ในปีนี้คงจะเห็นการเข้ามาเล่นในเรื่องนี้อย่างเต็มตัวจากทางฝั่ง Facebook เองมากขึ้น ก็ขอฝากเป็นแนวโน้มเล็กๆ น้อยๆ นะครับ เอาไว้ต้นปีหน้าเรามาดูกันอีกทีว่าแนวโน้มเหล่านี้จะเป็นจริงมากน้อยเพียง เว็บไซต์ที่ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์
1.1 Blog 1.2 ไมโครบล็อก Micro Blog)
ผู้ให้และผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์
1.1 สร้างและประกาศตัวตน (Identity Network)
1.2 สร้างและประกาศผลงาน (Creative Network)
1.3 ความชอบหรือคลั่งไคล้ในสิ่งเดียวกัน (Passion Network)
1.4 เวทีทำงานร่วมกัน (Collaboration Network)
1.5 ประสบการณ์เสมือนจริง (Virtual Reality)
1.6 เครือข่ายเพื่อการประกอบอาชีพ (Professional Network) ลิงด์อิน (LinkedIn) 1.7 เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันระหว่างผู้ใช้ (Peer to Peer : P2P)
2.1 กลุ่ม Generation Z กลุ่มผู้มีอายุอยู่ระหว่าง 6-10 ปี ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเองผ่านเกมออนไลน์ 2.2 กลุ่ม Generation Y และ Generation D (Digital) ผู้มีอายุระหว่าง 15-30 ปี จะใช้เพื่อความบันเทิงและการติดต่อสื่อสารระหว่างกลุ่มเพื่อน 2.3 กลุ่ม Generation X ผู้มีอายุระหว่าง 30-45 ปี ใช้เป็นเครื่องมือทาง การสื่อสารการตลาด การค้นหาความรู้ การอ่านข่าวสารประจำวัน ภัยจากการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เนื่องด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างกันของมนุษย์มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปตามความความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะในปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากนิยมใช้บริการเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) เป็นช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสาร แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูล และทำกิจกรรมต่างๆบนโลกออนไลน์ เป็นจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้ใช้งาน Facebook และ Twitter ในประเทศไทยที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้มิจฉาชีพมีความพยายามที่จะสร้างภัยให้แก่ผู้บริโภคเครือข่ายสั่งคนออนไลน์ต่างๆ มากขึ้น ซึ่ง Impersonation นับเป็นภัยหนึ่งที่ผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์จะมีโอกาสประสบเจอ Impersonation คืออะไร? Impersonation คือ ภัยที่เกิดขึ้นจากการที่มิจฉาชีพสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ปลอมเพื่อหลอกลวงให้ผู้อื่นเชื่อว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ดังกล่าวเป็นของผู้นั้นจริง โดยผู้ที่ทำการลอกเลียนแบบเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น จะพยายามสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้มีรูปลักษณ์คล้ายกับของผู้ที่ถูก Impersonation ส่งผลให้ผู้ใช้บริการคนอื่นเข้าใจผิดว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของผู้ที่ถูกทำ Impersonation และอาจส่งกระทบในทางลบต่อผู้ที่ถูกทำ Impersonation ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ จะทำอย่างไรเมื่อประสบภัย Impersonation ?จากที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เราทราบถึงรายละเอียดของภัย Impersonation ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ สำหรับในหัวข้อนี้จะแนะนำถึงวิธีการปฏิบัติเมื่อท่านตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นผู้ที่ถูกกระทำ Impersonation ตามรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ใน Twitter การที่มีคนติดตาม (Follow) ระบบจะมีกล่องข้อความแจ้งให้เราทราบ โดยผู้ใช้ไม่ควรยกเลิกการแสดงข้อความดังกล่าว เพราะจะเป็นหลักฐานว่ามีใครบ้างที่ติดตามเรา ซึ่งโดยปรกติแล้ว ผู้ที่กระทำ Impersonation จะทำการติดตามผู้ที่ถูกกระทำ Impersonation เพื่อสังเกตพฤติกรรมและคอยติดตามลักษณะการพูดคุยและการดำเนินชีวิตประจำวันบนโลกออนไลน์ของบุคคลดังกล่าว ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานได้ 2. ควรดำเนินการเก็บรวบรวมหลักฐานทันที เมื่อทราบว่ามีผู้กระทำ Impersonation โดยอ้างอิงชื่อเราเป็นอันดับแรก 3. หลังจากดำเนินการเก็บรวบรวมหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ควรจะแจ้งให้ผู้ใช้อื่นที่ติดตามเราในเครือข่ายทราบว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ดังกล่าวไม่ใช้ตัวตนของเราพร้อมแจ้งให้ทราบว่าการสนทนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการสนทนาของเรา 4. ดำเนินการแจ้งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ยกตัวอย่างเช่น สำนักงานกำกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และให้หน่วยงานดังกล่าวดำเนินการออกหนังสือในการยื่นคำร้องขอ IP Address จากทางบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อเป็นหนึ่งในหลักฐานในการสืบหาตัวผู้กระทำผิดและเป็นหลักฐานในการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
|