นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสววรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ปีที่แล้ว กรมศิลปากรซึ่งเป็นหน่วยงานหลักทีเก็บรักษาและสืบทอดศิลปะทุกแขนงประเทศก็กลายเป็นหน่วยงานหลักที่ต้องรับผิดชอบโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนชีวิตข้าราชการกรมศิลปฯทุกคน นั่นคือการจัดสร้างพระเมรุมาศ องค์ประกอบ และรายละเอียดนับหมื่นรายการสำหรับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เพื่อให้งดงามศพพระเกียรติตามโบราณราชประเพณี และหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่เป็นหน้าที่ของอาจารย์พิจิตร นิ่มงาม นายช่างศิลปกรรมอาวุโส และทีมงาน จากสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ก็คือการจัดสร้าง “พระโกศจันทน์” และ “พระหีบจันทน์” งานที่อาจารย์พิจิตร ผู้ซึ่งเพิ่งเกษียณอายุราชการในปีนี้ แต่ยังคงทำงานอยู่เพื่อในหลวงอันเป็นที่รักจนกว่างานพระราชพิธีฯ จะเสร็จสิ้น กล่าวกับเราว่า “ภูมิใจที่สุดที่ได้ทำถวาย... แต่ไม่มีความยินดีเลย” Sereechai Puttes/Time Out Bangkok Sereechai Puttes/Time Out Bangkok พระโกศจันทน์ ปรากฏอยู่ในเอกสารจดหมายเหตุว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายชั้นสูงมาตั้งแต่โบราณกาล โดยตามโบราณราชประเพณี พระศพและพระบรมศพจะถูกบรรจุในพระโกศชั้นใน ครอบด้วยพระโกศอิสริยยศ ประดับตกแต่งด้วยวัตถุมีค่าอย่างสมพระเกียรติ โดยในขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะถวายพระเพลิงบนพระจิตกาธาน พระโกศอิสริยยศชั้นนี้จะถูกเปลื้องออกและเปลี่ยนครอบด้วยพระโกศจันทน์ ซึ่งสร้างจากไม้จันทน์หอมสลักตัดแต่งอย่างวิจิตรบรรจงตามจิตนาการของผู้ออกแบบในแต่ละยุคสมัยให้สมพระเกียรติ พระโกศไม้จันทน์นี้จะถูกเผาไปพร้อมกับพระโกศชั้นใน การใช้ไม้จันทน์หอมสำหรับพระโกศที่ต้องไหม้ไฟในชั้นสุดท้ายนี้ ก็เพื่อให้กลิ่นหอมตามธรรมชาติของไม้จันทน์กลบกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในระหว่างการเผาไหม้ และเนื่องจากถูกเผาไหม้ไปพร้อมกับพระบรมศพ จึงไม่มีพระโกศจันทน์ในสมัยโบราณหลงเหลือถึงปัจจุบัน ต่างกับพระโกศทองใหญ่ พระโกศอิสริยยศที่ตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ดี เมื่อครั้งงานพระราชทานเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชีนีในรัชการที่ 7 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริว่าควรเก็บพระโกศจันทน์ไว้เพื่อเป็นตัวอย่างเชิงการศึกษาและประวัติศาสตร์แก่คนรุ่นหลัง ประกอบกับวิทยาศาสตร์ในการดูแลพระศพได้พัฒนาจนไม่ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ขณะเผาไหม้ ไม่มีความจำเป็นต้องเผาไม้จันทน์เป็นจำนวนมากอีกต่อไป จึงมีการฉีดน้ำเลี้ยงพระโกศจันทน์ไว้เพื่อมิให้ไหม้ไฟ นับแต่นั้นจึงกลายเป็นคตินิยมในงานพระราชพิธีพระศพในกาลต่อมาที่จะเก็บพระโกศจันทน์ และพระหีบจันทน์ (ถ้ามี) ไว้ให้แก่ชนรุ่นหลัง Sereechai Puttes/Time Out Bangkok Sereechai Puttes/Time Out Bangkok เมื่อครั้งงานพระบรมศพสมเด็จย่า สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อปี พ.ศ. 2538 มีการปรับเปลี่ยนพระราชนิยมการพระศพอย่างหนึ่งคือมีการจัดสร้างพระหีบเพื่อบรรจุพระบรมศพฯ ในขณะทีพระโกศยังคงมีอยู่เพื่อตั้งเป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศ จึงมีการจัดสร้างพระหีบจันทน์เพิ่มเติมครั้งงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิสาสราชนครินทร์ ที่มีการบรรจุพระศพลงในพระหีบแทนที่จะเป็นพระโกศ ก็มีการจัดสร้างพระหีบจันทน์ด้วยเช่นกัน สำหรับงานพระราชทานเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็ยังใช้ธรรมเนียมเช่นเดียวกับพระชนนีและพระเชษฐภคินี คือมีการจัดสร้างทั้งพระโกศจันทน์และพระหีบจันทน์ ซึ่งออกแบบโดยนายช่างศิลปกรรม สำนักช่างสิบหมู่ นายสมชาย ศุภลักษณ์อำไพพร โดยนอกเหนือจากลวดลายดอกไม้มงคล ยังเป็นครั้งแรกที่มีการออกแบบให้พระโกศประดับด้วยเทพพนม 64 องค์เพื่อถวายความเคารพแก่พระบรมศพฯ และออกแบบให้พระหีบจันทน์ประดับด้วยครุฑ 132 ตน โดยตามคติความเชื่อโบราณ ครุฑคือพาหนะของพระนารายน์ จึงเปรียบเสมือนเป็นพาหนะนำพาพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งเปรียบเสมืออวตารของพระนารายณ์กลับสู่สรวงสวรรค์ ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่มีการออกแบบเพิ่มการปิดทองลงบนรายละเอียดบางส่วน เพื่อเพิ่มความงดงามให้สมพระเกียรติมากยิ่งขึ้น (ในอดีตใช้เพียงไม้จันทน์เพราะพระโกศจันทน์ต้องออกแบบให้ไหม้ในกองเพลิงได้ง่าย) Sereechai Puttes/Time Out Bangkok Sereechai Puttes/Time Out Bangkok อาจารย์พิจิตรและสองผู้ช่วยมือเอก ใช้ท้องพระโรงกรมศิลปากรเป็นที่ทำงานมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ใช้เวลากว่าแปดเดือนร่วมกับช่างฝีมือช่างสิบหมู่ และอาสาสมัครจากหลากหลายสาขาอาชีพกว่าร้อยคน กลั่นเอาความรักและความจงรักภักดีผ่านผลายนิ้วมือ ใบเลื่อย และอุปกรณ์งานช่าง แปรรูปท่อนไม้จันทน์ยืนต้นตายขนาดยักษ์จากอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้กลายเป็นแผ่นไม้ชิ้นเล็ก บางชิ้นบางเพียงแค่สองมิลลิเมตร กว่า 40,000 ชิ้น เพื่อประกอบรูปร่างขึ้นเป็นพระโกศจันทน์และพระหีบจันทน์ เครื่องประกอบอิสริยยศสุดท้ายตามโบราณราชประเพณีแห่งพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย Sereechai Puttes/Time Out Bangkok Sereechai Puttes/Time Out Bangkok จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี พระบรมโกศ , พระโกศ และ โกศ คือที่ใส่พระบรมศพ พระมหากษัตริย์ พระบรมราชินี และพระบรมวงศ์ กับโกศที่พระราชทานสำหรับศพข้าราชการผู้มีบรรดาศักดิ์สูง ตามคตินิยมของพราหมณ์ที่เชื่อว่า ต้องตั้งพระบรมศพ ,พระศพ และ ศพที่มีบรรดาศักดิ์สูง ในท่ายืน, นั่ง, คุกเข่า หรือกอดเข่าประสานมือ เพื่อส่งดวงพระวิญญาณ /วิญญาณกลับสู่สรวงสวรรค์[1][2] ในสมัยปัจจุบันโกศมักจะเป็นเพียงเครื่องยศเท่านั้นเพราะส่วนมากจะเชิญลงหีบ[ต้องการอ้างอิง] ประเภท[แก้]พระโกศเป็นภาชนะเครื่องสูงมีรูปทรงเป็นกรวยมียอดแหลม อาจแยกตามวัตถุประสงค์การใช้งานเป็น 2 ประเภทคือ พระโกศสำหรับทรงพระบรมศพหรือพระศพ และ พระโกศพระบรมอัฐิหรือพระอัฐิ ซึ่งพระโกศพระบรมศพมี 2 ชั้น คือชั้นนอกเรียกว่า "ลอง" ทำด้วยโครงไม้หุ้มทองปิดทอง ประดับกระจกอัญมณี และ ชั้นใน เรียก "โกศ" ทำด้วยเหล็ก ทองแดงหรือเงิน ปิดทอง ลองชั้นนอกใช้ประกอบปิดโครงชั้นในสำหรับลอง หรือ พระลอง ที่ประดับอยู่ภายนอกของโกศ ต่อมานิยมเรียกพระลอง เป็นพระโกศแทน จนเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน เช่น เรียกพระลองทองใหญ่ ว่าพระโกศทองใหญ่ เป็นต้น[3] พระโกศและโกศแบ่งตามลำดับยศมีอยู่ 14 อย่าง ดังนี้[1]
แม้พระโกศ/โกศ มีการแบ่งลำดับตามฐานันดรศักดิ์อย่างชัดเจน แต่บางครั้งอาจมีการเลื่อนลำดับชั้นให้สูงขึ้นได้ ตามแต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อาทิเช่น
สำหรับพระโกศทองใหญ่ ซึ่งถือเป็นพระโกศที่ประกอบ พระอิสริยยศ ตามธรรมเนียมการประดับตกแต่งพระโกศ มีความลดหลั่นกันเป็นหลายชั้นตามพระเกียรติยศ พระบรมศพ หรือพระศพ[8] ประวัติ[แก้]การใช้โกศบรรจุพระบรมศพ พระศพ และ ศพขุนนางชั้นผู้ใหญ่มีธรรมเนียมทำกันมานานแล้ว โกศนั้นมีชั้นเชิงแตกต่างกัน การที่ไทยใช้โกศนี้ไม่มีผู้ใดทราบว่าเริ่มแต่สมัยใด สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ตรัสเล่าให้ว่า "น่าจะเป็นแต่สมัยที่ไทยโบราณยังเป็นชนที่ไม่มีถิ่นประจำและเร่ร่อนอยู่ จึงต้องเอาศพของพ่อเมืองขึ้นเกวียนไปด้วย และตั้งในเกวียนตั้งตามแบบโกศง่ายกว่าหีบยาว ๆ" การใช้โกศในไทยปรากฏหลักฐานชัดเจนในสมัยกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงการออกพระเมรุมาศและการบรรจุพระโกศอัฐิในวัดพระศรีสรรเพชญ์[9] ซึ่งโกศทั้งหลายเหล่านั้น น่าจะถูกทำลายตั้งแต่ครั้งการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 หมดแล้ว ส่วนโกศที่เก่าที่สุดที่พบอายุประมาณสมัยกรุงธนบุรี[10] และจากตำนานพระโกศทั้งปวงนี้ตามพงศาวดารบ้าง บอกเล่าบ้าง สันนิษฐานเอาบ้าง เรียงลำดับตามอายุดังนี้[11] ที่ 1 โกศแปดเหลี่ยม มีอยู่ 4 โกศ มีโกศหนึ่งที่เก่าแก่มาก ไม่ทราบว่าสร้างเมื่อใด มีลวดลาย เป็นอย่างเดียวกับช่างครั้งรัชกาลที่ 1 แต่ฝีมือทำนั้นหยาบมาก ด้วยเหตุที่เวลาว่างการทัพศึกมีน้อย และโกศแปดเหลี่ยมนี้ มีลักษณะอย่างเดียวกันกับพระโกศกุดั่น ที่ปรากฏว่าสร้างครั้งแรกในรัชกาลที่ 1 แต่โกศแปดเหลี่ยมมีมาอยู่ก่อนหน้าแล้ว เข้าใจว่าโกศแปดเหลี่ยมนี้เก่าแก่กว่าโกศอื่นทั้งหมด ด้วยทำยอดเป็นหลังคา ที่แปลงมาจามเหมตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า (โกศที่เก่าแก่ที่สุด) ส่วนอีก 3 โกศนั้น สันนิษฐานว่าทำราวรัชกาลที่ 3 หรือ 4 อีกโกศหนึ่งกรมหมื่นปราบปรปักษ์ทำขึ้นในรัชกาลที่ 5 ใช้ประกอบศพหม่อมแม้น ในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ครั้งแรก อีกโกศหนึ่ง กรมหลวงสรรพศาสตร์ศุภกิจ ขอพระบรมราชานุญาตทำถวายในรัชกาลนี้ ใช้ประกอบศพเจ้าจอมมารดาสังวาล เป็นครั้งแรก ที่ 2 โกศโถ มีอยู่ 2 โกศ โกศหนึ่งนั้นเก่ามากลวดลายและฝีมือเหมือนกับโกศแปดเหลี่ยมใบเก่า ใช้มาแต่รัชกาลที่ 1 แล้ว ซึ่งน่าจะประกอบกับฝีมือที่ทำรุ่นเดียวกับโกศแปดเหลี่ยม แต่ทำที่หลังโกศแปดเหลี่ยม ในปัจจุบันใช้สำหรับพระราชทานพระราชาคณะและข้าราชการที่มีบรรดาศักดิ์ ได้รับพระราชทานโกศเป็นชั้นต้น อีกโกศหนึ่งทำขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลังการเป็นผู้ทำ โดยรับสั่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ที่ 3 พระโกศกุดั่น 2 พระโกศ สร้างในรัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2342) ทรงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ และมีการเล่าขานกันว่าพระโกศองค์หนึ่งชำรุดไป สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ทรงค้นได้มาแต่ตัวพระโกศ จึงทรงทำฝาและฐานใหม่ประกอบเข้า เรียกพระโกศองค์นี้ว่า "กุดั่นใหญ่" ส่วนอีกองค์หนึ่งที่สร้างในรัชกาลที่ 1 ที่ไม่ชำรุดเรียก "กุดั่นน้อย" และถือว่าพระโกศกุดั่นใหญ่เกียรติยศสูงกว่าพระโกศกุดั่นน้อย ที่ 4 พระโกศไม้สิบสอง มีตำนานว่าสร้างในรัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2346) ทรงพระบรมศพ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ลอกทองจากพระโกศกุดั่นที่หุ้มไว้แต่เดิม มาหุ้มพระโกศไม้สิบสองแทน นำออกใช้ครั้งแรกประดิษฐานพระโกศไม้สิบสองในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ภายในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ที่ 5 พระโกศทองใหญ่ สร้างในรัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2351) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้รื้อทองที่หุ้มกระโกศกุดั่นมาทำพระโกศทองใหญ่ขึ้นไว้ สำหรับพระบรมศพของพระองค์ แต่เมื่อ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระอาลัยมาก จึงโปรดฯให้เชิญพระโกศทองใหญ่ไปประกอบพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพเป็นครั้งแรก และเป็นประเพณีในรัชกาลต่อมา ที่พระราชทานพระโกศทองใหญ่ให้ทรงพระศพอื่นเป็นพิเศษนอกจากพระบรมศพ[12] ที่ 6 พระโกศพระองค์เจ้า มีอยู่ 2 พระโกศ เรียกกันแต่แรกว่าโกศลังกา สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริให้สร้าง แต่ครั้งยังผนวช เป็นลองสี่เหลี่ยมหุ้มผ้าขาว ยอดเป็นฉัตรระบายผ้าขวา ทรงพระศพพระเจ้าลูกเธอที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ (ก่อนมีพระโกศมณฑปน้อย) ต่อมาโกศนี้ สำหรับทรงพระศพพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 สมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงทรงคิดทำประกอบนอกขึ้น และกรมหมื่นปราบปรปักษ์ทำเติมขึ้นใหม่อีกพระโกศหนึ่ง ที่ 7 พระโกศทองน้อย สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2394) โดยกรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ โปรดให้สร้างขึ้น สำหรับทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เวลาผลัดพระโกศทองใหญ่ ไปตั้งในงานอื่น พระโกศทองน้อยนี้ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล) สร้างเมื่อในรัชกาลที่ 5 อีกองค์หนึ่ง พระโกศทองน้อย ใช้ทรงพระศพ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เป็นพระองค์ล่าสุด ที่ 8 พระโกศมณฑปน้อย สร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ 4 โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ พระโกศนี้หุ้มทองคำเฉพาะงาน ที่ 9 พระโกศมณฑปใหญ่ สร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2406) โดยกรมขุนราชสีหวิกรม เอาแบบมาแต่พระโกศมณฑปน้อย ทรงพระศพกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ ด้วยเหตุที่กรมพระพิทักษ์เทเวศร์พระรูปใหญ่โต พระศพลงลองพระโกศสามัญไม่ได้ ต้องทำลองสี่เหลี่ยมขึ้นโดยเฉพาะ พระโกศมณฑปใหญ่นี้ต่อมาสร้างขึ้นอีกองค์หนึ่ง แต่จะสร้างขึ้นเมื่อใดไม่ทราบแน่ ที่ 10 โกศเกราะ สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2406) สำหรับศพเจ้าพระยานิกรบดินทร ด้วยท่านอ้วน ศพลงลองสามัญไม่ได้ ต้องทำลองสี่เหลี่ยม เรียกว่า "โกศเกราะ" เพราะลายสลักเป็นเกราะรัด ที่ 11 โกศราชนิกุล โปรดฯ ให้กรมขุนราชสีหวิกรมสร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2406) พระราชทานให้ประกอบศพพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) ท่านแรก ที่ 12 พระโกศทองเล็ก โปรดฯ ให้กรมหมื่นปราบปรปักษ์สร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2430) ทรงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ เป็นทีแรก แล้วได้ใช้ทรงพระศพเจ้านายต่อมา ที่ 13 พระโกศทองรองทรง โปรดฯให้กรมหมื่นปราปรปักษ์สร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2443) พระโกศองค์นี้นับเหมือนพระโกศองค์ใหญ่ สำหรับใช้แทนที่พระโกศทองน้อย เวลาที่จะต้องหุ้มทองคำ เพื่อจะไม่ให้ต้องหุ้มเข้าและรื้อออกบ่อยๆ สถานที่ที่ตั้งโกศ[แก้]เมื่อบรรจุพระศพลงพระโกศตามลำดับชั้นของโกศแล้ว จึงจะเชิญพระโกศทรงพระศพ ขึ้นประดิษฐานบนสถานที่ต่าง ๆ ตามพระอิสริยยศและเกียรติยศของโกศนั้น ๆ เป็นสำคัญ โดยแบ่งเป็นการประดิษฐานพระศพภายในพระบรมมหาราชวัง และ การประดิษฐานพระศพนอกพระบรมมหาราชวัง โดยการประดิษฐานในพระราชวังแต่เดิมจะประดิษฐานบนพระแท่นสุวรรณเบญจดลภายในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท หอธรรมสังเวช หอนิเพธพิทยา หออุเทศทักษิณา ต่อมาในรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้รื้อหอทั้งสามลงแล้วไปปลูกใหม่บริเวณริมกำแพงแก้ว โดยในปัจจุบันการประดิษฐานพระศพจะประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ศาลาสหทัยสมาคม (สำหรับพระศพ/ศพพิเศษ) โดยไม่ได้ประดิษฐานพระศพบนหอต่างๆ อีก แต่จะเชิญออกไปประดิษฐานยังพระที่นั่งหรือศาลาอื่นแทน อาทิ พระที่นั่งทรงธรรม ศาลามรุพงษ์ ศาลาบัณรศภาคย์ ฯลฯ โดยพระศพที่ประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทจะประดิษฐานเฉพาะพระบรมศพของสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราช และพระศพเจ้านายฝ่ายในเท่านั้น เว้นแต่ พระบรมศพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ส่วนการประดิษฐานพระศพนอกพระราชวังนั้น จะเป็นเจ้านายฝ่ายหน้าเสียส่วนใหญ่และจะเป็นเจ้านายที่ออกวังไปแล้วหากเจ้านายฝ่ายในบางพระองค์ที่สิ้นพระชนม์ยังวังของเจ้าพี่-เจ้าน้องก็อาจจะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประดิษฐานพระศพยังวังนั้นๆ ได้เช่นกัน แต่ละสถานที่จะมีลำดับเกียรติต่างกัน ดังนี้
ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
|