รู้จัก “ความรุนแรงแผ่นดินไหว” ซึ่งไม่ใช่แรงสั่นสะเทือน Show สมัยเด็กๆ พวกเราคงเคยได้ฟังนิทานเรื่องลูกหมูสามตัว ซึ่งนอกจากคติสอนใจเรื่องความวิริยะอุตสาหะในการสร้างบ้านของลูกหมูแต่ละตัว อีกหนึ่งข้อควรคิดที่นิทานเรื่องนี้ได้แอบซ่อนเอาไว้คือประสิทธิภาพหรือความสามารถของสิ่งปลูกสร้างในการต้านทานแรงจากภายนอกที่เข้ามากระทบ ในขณะที่หมาป่าพยายามเป่าลมเพื่อพังบ้านด้วยแรงเท่าๆ เดิม บ้านของลูกหมูแต่ละหลังกลับต้านทานแรงลมได้ดีไม่เท่ากัน บ้านของพี่ใหญ่ถูกลมเป่าครั้งเดียวก็จอด ในขณะที่บ้านของน้องเล็กถึงจะถูกต้องกี่ครั้งก็ยังรอด ผลลัพธ์ของการจอดหรือรอดในเรื่องนี้สามารถแสดงออกได้ในรูปแบบของ มาตราความรุนแรง (intensity scale) ปกติมาตราความรุนแรงสามารถใช้กับภัยพิบัติอื่นๆ ก็ได้เช่น ระดับความรุนแรงของพายุหมุนเขตร้อนแบ่งย่อยเป็น 5 ระดับ ตาม มาตราเฮอร์ริเคนแซฟเฟอร์-ซิมป์สัน (Saffir-Simpson Hurricane Wind Scale) แต่ที่นิยมนำไปใช้มากที่สุดคือ มาตราความรุนแรงของแผ่นดินไหว อย่างที่เราคุ้นหูกันว่า มาตราเมอร์คัลลี่แปลง (Modified Mercalli Intensity Scale) ความรุนแรงแผ่นดินไหว (Earthquake Intensity) หมายถึง ระดับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนที่มีต่อคน สิ่งของ อาคารและสภาพแวดล้อม ซึ่งถึงแม้ว่าระดับแรงสั่นสะเทือนจะพอๆ กันแต่ถ้าความเปราะบางหรือความอ่อนไหวของสิ่งปลูกสร้างในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันความรุนแรงก็จะแตกต่างกันไปด้วย ตัวอย่างเช่นเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ในประเทศญี่ปุ่นและประเทศปากีสถาน แต่ความรุนแรงแผ่นดินไหวของญี่ปุ่นอาจจะต่ำกว่าของปากีสถานทั้งนี้ก็เพราะโดยภาพรวมของสิ่งปลูกสร้างของญี่ปุ่นสามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวได้ดีกว่าปากีสถาน โดยรูปแบบการนำเสนอความรุนแรงแผ่นดินไหวนิยมใช้เลขโรมันเป็นตัวแทน และอธิบายแต่ละระดับเป็นคำพูดที่เข้าใจง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน ทั้งนี้ก็เพราะความรุนแรงแผ่นดินไหวเป็นมาตราที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงง่าย ง่ายกว่าข้อมูลตัวเลขของ แรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว (ground shaking) ซึ่งปัจจุบันหลายภูมิภาคก็มีมาตราความรุนแรงแผ่นดินไหวเป็นของตัวเองและใช้คุยกันเฉพาะในแต่ละพื้นที่ ที่เห็นยังใช้กันอยู่ก็มีอย่างน้อย 4 มาตรา มาตราภูมิภาคยุโรปมาตราภูมิภาคยุโรป (European Macroseismic Intensity Scale หรือ EMS-98 Scale) ตั้งขึ้นเป็นทางการในปี พ.ศ. 2531 โดยหน่วยงาน European Seismological Commission (ESC) และนิยมใช้คุยกันในภูมิภาคยุโรปเป็นหลัก
มาตรากรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศญี่ปุ่นมาตรากรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศญี่ปุ่น (Japan Meteorological Agency Seismic Intensity Scale หรือ JMA Scale หรือ Shindo Scale) เป็นมาตราความรุนแรงแผ่นดินไหวที่นิยมใช้ในประเทศญี่ปุ่นและไต้หวัน ซึ่งพัฒนาจากข้อมูลผลการตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวมากกว่า 600 เหตุการณ์ โดยเริ่มต้นจากระดับ 0 ถึงระดับ 7
นอกจากนี้ ในประเทศญี่ปุ่นยังมี มาตราโอโมริ (Omori Intensity Scale) ที่นำเสนอโดยฟุซากิชิ โอโมริ (Omori F.) นักแผ่นดินไหวชาวญี่ปุ่น โดยสร้างจากข้อมูลอัตราเร็วสูงสุดบนพื้นดินและมี 7 ระดับเหมือนกับมาตรากรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่นิยมใช้แล้วในปัจจุบัน มาตรารอสซึ่-ฟอเรลปี พ.ศ. 2426 คุณรอสซี่ (Rossi M.S.C.) นักแผ่นดินไหวชาวอิตาลี และคุณฟอเรล (Forel F.A.) ชาวสวิตเซอร์แลนด์ นำเสนอมาตราความรุนแรงที่มี 10 ระดับ การบอกระดับความรุนแรงของมาตรานี้จะขึ้นต้นด้วยคำว่า “R.F.” และตามด้วยระดับความรุนแรงที่เป็นเลขโรมัน เช่น R.F. V หมายถึง ระดับ 5 ในอดีตมาตรานี้เป็นที่นิยมอย่างมาก แต่หลังจากมีการนำเสนอมาตราเมอร์คัลลี่ มาตรานี้จึงลดความนิยมลง
มาตราเมอร์คัลลี่เป็นอีกหนึ่งมาตราที่ถูกนำเสนอในปี พ.ศ. 2426 โดยคุณเมอร์คัลลี่ (Mercalli G.) นักภูเขาไฟชาวอิตาลี ได้ปรับปรุงและพัฒนามาจากมาตรารอสซึ่-ฟอเรล เดิม ให้มีความเหมาะสมกับยุคสมัย (นั้น) มากยิ่งขึ้น และตั้งชื่อว่า มาตราเมอร์คัลลี่ ต่อมามาตรานี้ก็ถูกปรับแก้อีกหลายต่อหลายครั้ง ทั้งจากคุณคานคานี่ (Cancani A.) นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี และคุณซีเบิร์ก (Sieberg A.H.) นักธรณีฟิสิกส์ชาวชาวเยอรมัน จนท้ายที่สุดมาหยุดที่คุณริกเตอร์ (Richter C.F.) บิดาของหน่วยวัดแผ่นดินไหว ซึ่งได้ปรับโฉมมาตราเมอร์มัคลลี่เสียใหม่ให้เหมาะสมกับยุคสมัย (นี้) แล้วตั้งชื่อมาตราใหม่นี้เป็น มาตราเมอร์คัลลี่แปลง (Modified Mercalli Intensity Scale หรือ MMI scale) มี 12 ระดับความรุนแรง ซึ่งช่วงแรกใช้กันเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาแต่ต่อมากลายเป็นมาตราที่โด่งดังและนิยมใช้กันทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายมาตราที่เคยนิยมใช้และถูกพับเก็บไปในอดีต เช่น มาตราเมดเวเดพ (Medvedev Scale) หรือที่รู้จักอีกชื่อว่า มาตราจีโอเฟียน (GEOFIAN Scale) นิยมใช้ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960 มาตราเมดเวเดพ-สปอนฮอเออร์-คาร์นิก (Medvedev-Sponheuer-Karnik Intensity Scale หรือ MSK-64) ที่แพร่หลายทั่วภูมิภาคยุโรปในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 แต่เนื่องจากมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับมาตราเมอร์คัลลี่แปลง ซึ่งมาแรงมากในยุคนี้ ทำให้มาตราเหล่านี้จึงเริ่มเสื่อมถอยลง แต่ก็ยังพอพบเห็นว่าใช้กันอยู่บ้างในบางประเทศ เช่น ประทศอินเดีย อิสราเอล รัสเซีย เป็นต้น อย่างที่บอกไปในตอนต้น ทีระดับแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวระดับหนึ่ง บางพื้นที่อาจจะต้านทานแรงสั่นนั้นได้อย่างสบายๆ ในขณะที่บางพื้นที่อาจจะเสียหายรุนแรง ขึ้นอยู่กับระดับของแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว + ความอ่อนไหวหรือเพราะบางของชีวิตและทรัพย์สินมนุษย์ ดังนั้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในแต่ละเหตุการณ์นอกจากระดับแรงสะเทือนในแต่ละพื้นที่ที่จะถูกตรวจวัดโดยเครื่องมือตรวจวัดแล้ว ความรุนแรงแผ่นดินไหวก็เป็นอีกหนึ่งข้อมูลสำคัญที่จะถูกสำรวจและรายงานออกมา ทั้งนี้เพื่อให้มองเห็นภาพรวมของความรุนแรงหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในแต่ละเหตุการณ์ ถึงแม้ว่าความรุนแรงแผ่นดินไหว จะเป็นมาตราที่ประเมินคร่าวๆ จากความเสียหายหรือผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่ด้วยความที่ใช้คำพูดพื้นๆ ไม่สลับซับซ้อน มาตราความรุนแรงแผ่นดินไหวจึงมีประโยชน์อย่างมากต่อการสื่อสาร โดยเฉพาะกับชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ด้านแผ่นดินไหวมากนัก ดังนั้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหว แม้แต่ยายมี นางมา ก็สามารถเป็นเครื่องวัดแผ่นดินไหวได้ (โดยไม่รู้ตัว) คำบอกเล่าจากชาวบ้านช่วยให้นักแผ่นดินไหววิทยาสามารถวิเคราะห์แรงสั่นสะเทือนในแต่ละที่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งข้อมูลจากสถานีตรวจวัดเพียงอย่างเดียว (ซึ่งก็มีอยู่จำกัด) ดังนั้นมาตราความรุนแรงแผ่นดินไหวจึงเป็นอีกหนึ่งข้อมูลการตรวจวัดที่สำคัญสำหรับการศึกษาและเตรียมการรับมือกับแผ่นดินไหวที่จะเกิดครั้งใหม่อีกในอนาคต
สันติ ภัยหลบลี้ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร |