หน่วยที่ 2 Show การอ่าน
การอ่าน เป็นทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตคนเรามาก ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร เพศใด วัยใด ก็ต้องการที่จะเพิ่มพูนความรู้ของตนเองอยู่เสมอ เพราะการอ่านนั้น นอกจากที่จะอ่านเพื่อเก็บความรู้แล้ว การอ่าน ยังให้ความบันเทิงแก่ชีวิตอีกด้วย โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ซึ่งต้องใช้การอ่านเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน จึงจำเป็นต้องมีหลักการอ่านและทักษะการอ่าน นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีความรักในการอ่าน เพราะถ้ารักการอ่านแล้ว จะทำให้เป็นผู้ที่รู้มาก หรือเป็น “พหูสูต” หลักการอ่านหนังสือนั้น เมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้ว หนังสือแต่ละชนิดจะมีหลักการอ่านที่ไม่เหมือนกัน ต้องพิจารณาถึงจุดมุ่งหมายของการอ่านหนังสือแต่ละประเภท เช่น การอ่านหนังสือตำราวิชาการ จะต้องมีการอ่านอย่างคร่าว ๆ และกลับมาอ่านซ้ำอีกหลาย ๆ รอบ แล้วจึงจะสรุปประเด็น, การอ่านหนังสืออ้างอิง เป็นการอ่านเฉพาะส่วน เพื่อให้ได้คำตอบในสิ่งที่ตนเองอยากรู้ เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นการหนังสือประเภทใด ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อ่านได้ทั้งนั้น ผู้อ่านต้องมีความใจกับสิ่งที่อ่าน และฝึกฝนการอ่าน ตั้งใจอ่านอย่างมีสมาธิแน่วแน่ นำกลวีการอ่านต่าง ๆ มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน จึงจะเป็นกระบวนการอ่านที่มีประสิทธิภาพ
ความหมายของการอ่าน การอ่าน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ ว่าไว้ว่า “ว่าตามตัวหนังสือ, ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง, ถ้าอ่านไม่ออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ, สังเกตหรือพิจารณาดูเพื่อให้เข้าใจ เช่น อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่านใจ ; ตีความ เช่น อ่านรหัสอ่านลายแทง ; คิด, นับ. (ไทยเดิม).” จะเห็นได้ว่า จากความหมายของการอ่านนั้น ต้องการให้ผู้อ่านมีความเข้าใจ, รับรู้เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านไป และการอ่านนั้น จะต้องมีการเก็บความรู้ เพื่อให้รู้ว่าผู้แต่งต้องการสื่ออะไร การอ่าน คือ การรับรู้ความหมายจากถ้อยคำที่ตีพิมพ์อยู่ในสิ่งพิมพ์หรือในหนังสือ เป็นการรับรู้ว่า ผู้เขียนคิดอะไรและพูดอะไร โดยเริ่มต้นทำความเข้าใจถ้อยคำแต่ละคำเข้าใจวลี เข้าใจประโยค ซึ่งรวมอยู่ใน ย่อหน้า เข้าใจแต่ละย่อหน้า ซึ่งรวมเป็นเรื่องราวเดียวกัน การอ่านเป็นการบริโภคคำที่ถูกเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์ การอ่านโดยหลักวิทยาศาสตร์ เริ่มจากการที่แสงตกกระทบที่สื่อ และสะท้อนจากตัวหนังสือผ่านทางเลนส์นัยน์ตา และประสาทตาเข้าสู่เซลล์สมองไปเป็นความคิด (Idea) ความรับรู้ (Perception) และก่อให้เกิดความจำ (Memory) ทั้งความจำระยะสั้น และความจำระยะยาว
กระบวนการอ่าน มี 4 ขั้นตอน คือ – ขั้นแรก การอ่านออก อ่านได้ หรืออ่านออกเสียงได้ถูกต้อง – ขั้นที่สอง การอ่านแล้วเข้าใจ ความหมายของคำ วลี ประโยค สรุปความได้ – ขั้นที่สามการอ่านแล้วรู้จักใช้ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์และออกความเห็นในทางที่ขัดแย้งหรือเห็นด้วยกับผู้เขียนอย่างมีเหตุผล – ขั้นสุดท้ายคือการอ่านเพื่อนำไปใช้ ประยุกต์ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ ดังนั้นผู้ที่อ่านได้และอ่านเป็นจะต้องใช้กระบวนการทั้งหมดในการอ่านที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการถ่ายทอดความหมายจากตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และจากการคิดที่ได้จากการอ่านผสมผสานกับประสบการณ์เดิม และสามารถความคิดนั้นไปใช้ประโยชน์ต่อไป
จุดมุ่งหมายของการอ่าน
ขั้นตอนก่อนลงมืออ่านหนังสือ
ลักษณะของการอ่านที่ดี
สำคัญของหนังสือที่อ่านได้ด้วย นอกจากนี้ การเขียนบันทึกสาระสำคัญ หลังจากการอ่านหรือในขณะการอ่านนั้นจะช่วยทบทวนในสิ่งที่อ่านมาทั้งหมดได้อีกด้วย
ประโยชน์ของการอ่าน
คุณสมบัติของนักอ่านที่ดี
วิธีอ่านหนังสือที่ดี วิธีการอ่านหนังสือที่ดี มีขั้นตอน ดังนี้
1.1 พยายามจับจุดสำคัญของเนื้อหาในย่อหน้านั้น 1.2 พยายามถามตัวเองว่าสามารถตั้งชื่อเรื่องแต่ละย่อหน้าได้หรือไม่ 1.3 ดูรายละเอียดนั้นว่ามีอะไรบ้างที่สัมพันธ์กับจุดสำคัญ มีอะไรบ้างที่ไม่เกี่ยวข้อง และอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องกันอย่างไร 1.4 แต่ละเรื่องติดต่อกันหรือไม่ และทราบได้อย่างไรว่าติดต่อกัน 1.5. วิธีการเขียนของผู้เขียนมีอะไรบ้างที่เสริมจุดสำคัญเข้ากับจุดย่อย
2.1 ดูสารบัญ คำนำ เพื่อทราบว่าในเล่มนั้น ๆ มีเนื้อหาอะไรบ้าง 2.2 ตรวจดูบทที่จะอ่านว่ามีหัวข้ออะไรบ้าง 2.3 อ่านคำนำของหนังสือและบทนำในแต่ละบทด้วย 2.4 พยายามตั้งคำถามแล้วค้นหาคำตอบอย่างคร่าว ๆ
3.1 อ่านทีละบทโดยไม่หยุดจนจบบท อาจจะหยุดเพื่อจดบันทึกใจความสำคัญบ้าง ในบางครั้งก็ได้ 3.2 อ่านบทเดิมอีกครั้ง เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อและประโยคแรกของแต่ละย่อหน้า ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ก็อ่านข้อความในแต่ละย่อหน้าใหม่ ถ้าอ่านประโยคแรกแล้วจำได้ว่า เนื้อความอะไรบ้างที่ผ่านไปยังย่อหน้าอื่นได้ 3.3 จดบันทึก เพื่อตอบคำถามที่ตั้งไว้ตอนแรก
4.1 ต้องการทราบข้อความบางอย่างเท่านั้น เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ความหมายของ คำใดคำหนึ่ง 4.2 ต้องการทราบว่าควรอ่านทั้งหมดหรือไม่ ช่วยให้ทราบคร่าว ๆ ว่าในแต่ละบท เป็นอย่างไร เพราะเป็นการอ่านเฉพาะหัวข้อหรือข้อสรุปเท่านั้น
การที่ผู้อ่านจะเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ดีนั้นจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์เดิมและความรู้ เกี่ยวกับคำศัพท์ที่สะสมไว้ เมื่ออ่านเรื่องใหม่จึงสามารถนำเอาความรู้เดิมมาถ่ายโยงสัมพันธ์กับความรู้ใหม่ เพื่อเพิ่มความเข้าใจในเรื่องที่อ่านได้ดียิ่งขึ้น การสะสมประสบการณ์ความรู้และคำศัพท์นั้นสามารถทำได้โดยการอ่าน ปทานุกรม พจนานุกรม เพื่อรู้ศัพท์ต่าง ๆ และอ่านให้มาก ๆ เพื่อสะสมประสบการณ์และเพิ่มพูนความรู้อยู่ตลอดเวลา
การเตรียมพร้อมเพื่อการอ่าน การอ่านจะดำเนินไปได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และองค์ประกอบที่อยู่ภายใน ร่างกาย การอ่านท่ามกลางบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม จะนำมาซึ่งประสิทธิและประสิทธิผลในการอ่าน ทั้งนี้ควรคำนึงถึง
รบกวนสมาธิออกไป มีอุณหภูมิและแสงสว่างที่เหมาะสม มีโต๊ะที่มีความสูงพอเหมาะและเก้าอี้ที่นั่งสบายไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป
การเลือกสรรวัสดุการอ่าน การเลือกสรรวัสดุการอ่าน ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของการอ่าน เช่น การอ่านเพื่อการศึกษา การอ่านเพื่อหาข้อมูลประกอบการทำงาน การอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน การอ่านเพื่อฆ่าเวลา การรู้จักเลือกวัสดุการอ่านที่มีประโยชน์จะช่วยให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์ตามเป้าหมาย การเลือกสรรวัสดุการอ่านมีความสัมพันธ์กับการเลือกใช้ทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด เช่น
เมื่อเลือกวัสดุการอ่านหรือหนังสือได้แล้ว ก็จะต้องกำหนดว่าต้องการอะไรข้อมูลในลักษณะใดจาก หนังสือเล่มนั้น ขอบเขตของข้อมูลในลักษณะกว้างหรือแคบแต่ลึกซึ้ง ทั้งนี้เพื่อกำหนดรูปแบบการอ่านเพื่อความต้องการต่อไป
วิธีการอ่านที่เหมาะสม การอ่านมีหลายระดับและมีวิธีการต่างๆ ตามความมุ่งหมายของผู้อ่าน และประเภทของสื่อการอ่าน การอ่านเพื่อการศึกษา ค้นคว้าและเขียนรายงาน อาจใช้วิธีอ่านต่าง ๆ เช่น การอ่านสำรวจ การอ่านข้าม การ อ่านผ่าน การอ่านจับประเด็น การอ่านสรุปความ และการอ่านวิเคราะห์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เฉพาะที่เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการ เช่น การอ่านเพื่อค้นหาชื่อในพจนานุกรม และการอ่านแผนที่
อย่างไร แล้วเรียบเรียงเนื้อหาเป็นสำนวนภาษาของผู้สรุป
ลักษณะของนักอ่านที่ดี ผู้ที่จะเป็นนักอ่านที่ดี ควรมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
เคล็ดลับ 10 ประการที่ทำให้เป็นคนอ่านเร็ว
การอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความ คือ การอ่านที่มุ่งค้นหาสาระของเรื่องหรือของหนังสือแต่ละเล่มที่เป็นส่วน ใจความสำคัญ และส่วนขยายใจความสำคัญของเรื่อง ใจความสำคัญของเรื่อง คือ ข้อความที่มีสาระคลุมข้อความอื่นๆ ในย่อหน้านั้นหรือเรื่องนั้นทั้งหมด ข้อความอื่นๆ เป็นเพียงส่วนขยายใจความสำคัญเท่านั้น ข้อความหนึ่งหรือตอนหนึ่งจะมีใจความสำคัญที่สุด เพียงหนึ่งเดียว นอกนั้นเป็นใจความรอง คำว่าใจความสำคัญนี้ ผู้รู้ได้เรียกไว้เป็นหลายอย่าง เช่น ข้อคิดสำคัญ ของเรื่อง แก่นของเรื่อง หรือ ความคิดหลัก ของเรื่องแต่จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใจความสำคัญก็คือสิ่งที่เป็น สาระที่สำคัญที่สุดของเรื่องนั่นเอง ใจความสำคัญส่วนมากจะมีลักษณะเป็นประโยค ซึ่งอาจปรากฏอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของย่อหน้าก็ไดจุดที่พบใจความสำคัญของเรื่องในแต่ละย่อหน้ามากที่สุดคือ ประโยคที่อยู่ตอนต้นย่อหน้า เพราะผู้เขียนมักบอกประเด็นสำคัญไว้ก่อน แล้วจึงขยายรายละเอียดให้ชัดเจน รองลงมาคือประโยคตอนท้ายย่อหน้าโดยผู้เขียนจะบอกรายละเอียดหรือประเด็นย่อยก่อน แล้วจึงสรุปด้วยประโยคที่เป็นประเด็นไว้ภายหลังสำหรับจุดที่พบใจความสำคัญยากขึ้นก็คือ ประโยคตอนกลางย่อหน้า ซึ่งผู้อ่านจะต้องใช้ความสังเกตุและพิจารณาให้ดี ส่วนจุดที่หาใจความสำคัญยากที่สุดคือย่อหน้าที่ไม่มีประโยคใจความสำคัญปรากฏชัดเจน อาจมีประโยค หรืออาจอยู่รวมๆกันในย่อหน้าก็ได้ ซึ่งผู้อ่านจะต้องสรุปออกมาเอง
แนวการอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความให้บรรลุจุดประสงค์ มีแนวทางดังนี้
อย่างถูกต้องรวดเร็ว
ขั้นตอนการอ่านจับใจความ
ให้ความเข้าใจไม่ติดต่อกัน
วิธีการอ่านข้อความง่าย ๆ มีดังนี้
การอ่านกับวิธีจำ ผู้ประสบความสำเร็จทางการศึกษา ในทุกสาขาวิชา จะมีคุณสมบัติที่เหมือนกันข้อหนึ่งคือ รักการอ่าน และ สามารถจับใจความได้เร็ว เพราะการอ่าน เป็นวิธีหาความรู้ใส่ตัวที่ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด ประหยัดที่สุด ทุกครั้งที่จะอ่าน ควรจินตนาการล่วงหน้าถึงเรื่องที่จะอ่านก่อนว่าเกี่ยวข้องกับอะไร การอ่านด้วยวิธีนี้จะทำให้จำแม่น จำเฉพาะเนื้อหาสำคัญ และมองภาพองค์รวมแบบแผนผังได้ (mind mapping) โดยมีศูนย์กลางเริ่มต้นจากส่วนที่สำคัญที่สุด แล้วแตกแขนงไปที่ส่วนประกอบอื่นๆ การอ่านเป็นภาพ จะช่วยให้จำแม่น เช่น ในเด็กเล็กที่อ่าน ก.เอ๋ยกอไก่ หรือ A แอ๊นท์ มด ก็คือ การแปลงอักษรให้เป็นภาพ ทุกครั้งที่นักเรียนท่อง ภาพไก่ กับ ภาพมดจะผุดขึ้นมา ทำให้จำได้ง่ายขึ้น การจำเป็นภาพ เมื่อเวลาเรียกข้อมูลย้อนกลับขึ้นมา ก็จะออกมาเป็นภาพ เปรียบเสมือนการเปิดคลิปวิดีโอ ที่เก็บสะสมไว้ในสมอง แต่ถ้าจำเป็นคำ ก็เหมือนกับการเปิดไฟล์ตัวอักษรที่เก็บไว้ ซึ่งรายละเอียดน้อยกว่ากันมาก ขณะอ่านทุกครั้ง ควรพักเป็นระยะๆ เพื่อหลับตา และจินตนาการถึงภาพที่ได้จากการอ่าน เป็นการเห็นเรื่องที่อ่านโดยใช้ตาใน ซึ่งในทางการแพทย์พบว่า ภาพที่เห็นขณะหลับตา สมองจะเก็บไว้เป็นความทรงจำระยะยาว ข้อมูลบางอย่าง การนำมาเขียนในรูปของแผนผัง แผนภาพ จะเข้าใจง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการจับสลากแบ่งสายในการแข่งขันฟุตบอลโลก จะมีการเขียนเป็นแผนภาพ โยงไปมาเพื่อให้ผู้ชมสามารถจำได้ภายในครั้งเดียว ในการอ่าน ถ้าสามารถนำข้อมูลที่อ่านมาเขียนเป็น แผนภูมิ แผนผัง กราฟ หรือใช้ตารางทางสถิติ จะช่วยให้จดจำได้ง่ายขึ้น การนำข้อมูลในหนังสือเรียน มาทำเป็นภาพ ตารางหรือกราฟ ด้วยตนเอง จะมีประโยชน์มาก ส่วนการอ่านวิชาที่ต้องท่องจำมากๆ อาจจะใช้เทคนิคช่วยจำได้ เช่น ถ้าต้องการจำตัวอักษร ค ต ล ข ร ม โดยห้ามสลับตำแหน่ง การจำโดยตรงจะยากมาก ให้จำเป็นประโยค “คนตัวเล็กขับรถเมล์ ” แล้วจินตนาการภาพรถเมล์ที่มีคนตัวเล็กกำลังขับอยู่ เทคนิคนี้จะทำให้จำได้แม่น ในกรณีที่เป็นภาษาอังกฤษก็เช่นกัน สมมติว่าต้องการจำ ตัวอักษรตัวแรกของหัวข้อที่อ่าน 5 หัวข้อ คือ t,a,m,s,o,f,h ให้นำมาแต่งเป็นประโยค “ There are many sand on father’s head ” แล้วก็นึกถึงภาพพ่อที่มีทรายอยู่เต็มศีรษะ อีกเคล็ดลับ สำหรับการจำตัวเลข ก็คือ ให้แปลงจำนวนตัวเลขเป็นจำนวนพยัญชนะ เช่น ต้องการจำตัวเลขชุดหนึ่ง ได้แก่ 52146233 จะแต่งเป็นประโยคได้ว่า “ There is a bird flying in the sky” จำนวนตัวอักษรของแต่ละคำ คือตัวเลขที่จะจำ แล้วจินตนาการให้เห็นภาพนกกำลังบินบนท้องฟ้า การจำเป็นภาพ แม้จะได้ดูตัวเลขนี้เพียงครั้งเดียว รอบเดียว ก็สามารถจำไปได้หลายปีหรืออาจจะตลอดไป ถ้าต้องการจำชื่อจังหวัดในภาคกลาง ได้แก่ ปทุมธานี ( P ) ลพบุรี ( L ) นนทบุรี ( N ) ราชบุรี ( R ) สุพรรณบุรี ( S ) กาญจนบุรี ( K ) สมุทรสงคราม ( S ) สมุทรสาคร ( S ) อ่างทอง ( A ) สระบุรี ( S ) ชัยนาท ( C ) สิงห์บุรี ( S ) อยุธยา ( A ) เราสามารถนำตัวย่อมาเรียงเป็นประโยค “ L RAK P NAC 5 ส ” (อ่านว่า แอล รักพี่แน็ค 5 ส.) ซึ่งการเรียงประโยคหรือตัวย่อไม่จำเป็นต้องถูกหลักไวยากรณ์ เพียงแต่ขอให้จำได้ก็พอ และลักษณะประโยคของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ ภูมิหลัง ประสบการณ์ ความทรงจำเก่าๆ ระดับการศึกษา ฯลฯ เมื่อจำประโยคได้ ก็ให้นำมาจินตนาการยามว่าง เช่น บนรถเมล์ ตอนพักกลางวัน ฯลฯ ว่า “ แอลรักพี่แน็ค ” หมายถึงจังหวัดอะไรบ้าง และ “ 5ส ” คือจังหวัดอะไร
อ่านย้อนกลับ ตามปกติคนเราจะอ่านหนังสือจากหน้าไปหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเรื่องสั้น หรือนวนิยาย การอ่านบทสรุปหรือตอนจบก่อน เป็นเรื่องที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด แต่ การอ่านเพื่อการเรียนรู้ จะตรงกันข้าม ยิ่งรู้รายละเอียดล่วงหน้ามากเท่าไหร่ จะทำให้ประสิทธิภาพของการอ่านเพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังนั้น เมื่อต้องการจะเริ่มต้นอ่าน ให้มองไปที่ส่วนท้ายของบทความหรือหนังสือก่อน บทสรุปส่วนใหญ่จะอยู่ที่ส่วนท้ายของแต่ละบท แต่ละตอน รวมไปถึง บทคัดย่อ สารบาญ และคำนำของผู้เขียน การเข้าใจเนื้อหาอย่างคร่าวๆ จะทำให้สามารถจับจุดสำคัญของสิ่งที่กำลังจะอ่านได้ บทสรุปที่บันทึกไว้ในสมองล่วงหน้า จะช่วยให้รู้ว่า ส่วนไหนของเนื้อหาที่สำคัญ และควรเน้นอ่านเป็นพิเศษ ผู้บริหารบางคนจะให้เลขา ช่วยสรุปให้ เลขาที่สรุปเก่งๆ เงินเดือนสูงมาก เพราะสามารถแบ่งเบาภาระของผู้บริหารได้ ในการอ่านนวนิยายหรือเรื่องสั้น ถ้าอ่านตอนจบก่อน ความสนุกจะหายไปทันที ซึ่งตรงกันข้ามกับการอ่านหนังสือเพื่อการเรียนรู้ ถ้าอ่านตอนจบก่อน กลับจะทำให้ความสนุกในการเรียนเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อรู้ผล สมองจะพยายามวิเคราะห์หาสาเหตุโดยอัตโนมัติ เช่นในการอ่านนวนิยาย ถ้ารู้ก่อนแล้วว่าพระเอกจะถูกลอบสังหารจนเสียชีวิตในตอนจบ เมื่อย้อนกลับมาอ่านอย่างวิเคราะห์จากต้นเรื่อง สมองจะพยายามมองหาเงื่อน วิเคราะห์ถึงบุคลิก นิสัยใจคอ บุคคลใกล้ชิด สิ่งแวดล้อม หาเหตุและปัจจัย ที่จะทำให้พระเอกต้องมาเสียชีวิตในบั้นปลาย อย่างละเอียด ทำให้จับส่วนสำคัญได้ สามารถปะติดปะต่อเรื่องราว ได้อย่างชัดเจน และขณะอ่าน สายตาจะสะดุดที่บทของพระเอกเป็นหลัก ส่วนตัวประกอบอื่นๆ จะแยกย่อยออกไป เช่นเดียวกับการอ่านหนังสืออื่นๆ พยายามหาส่วนสำคัญที่สุดหรือพระเอกของเนื้อหานั้นให้ได้ก่อนจากบทสรุป การอ่านนวนิยาย เรื่องสั้นหรือนิทาน เราต้องการรู้ว่า ถ้าเหตุและปัจจัย เป็นแบบนี้ แล้ว ผลสรุปตอนจบ จะเป็นอย่างไร แต่การอ่านเพื่อการเรียนรู้จะตรงกันข้าม คือ ต้องการรู้ว่า ถ้าผลสรุปเป็นแบบนี้ มันมีเหตุและปัจจัย มาจากอะไร สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ง่ายกว่าการอ่านหนังสืออื่น เนื่องจาก มีบทสรุปจากส่วนพาดหัวที่ใช้ภาษาอย่างเร้าใจ ช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสนใจ เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะอ่านข่าวเรื่องอะไร ความสนใจบวกกับการรู้บทสรุปล่วงหน้า ทำให้การอ่านง่ายขึ้น เช่น ข่าวกีฬาที่พาดผลการแข่งขันว่า “ กังหันเชือดคอไก่ 3 -2 ” หมายความว่า ในการแข่งขันฟุตบอลฮอลแลนด์ชนะฝรั่งเศส 3 – 2 เมื่อรู้ผลสรุปก่อนแล้วค่อยอ่านจะทำให้การอ่านข่าวหนังสือพิมพ์เพียงรอบเดียวก็จำรายละเอียดได้ทั้งหมด เพราะเรารู้ผลสรุปก่อน แล้วจึงค่อยอ่านเพื่อหาเหตุปัจจัย ว่าทำไม กังหันเชือดคอไก่ การพูดมีจุดมุ่งหมายที่สําคัญที่สุดคือข้อใดความมุ่งหมายของการพูด ความมุ่งหมายของการพูด คือ การแสดงหรือเสนอข้อคิดเห็นต่อผู้ฟัง และผู้ฟังสามารถรับรู้เรื่องราวและเข้าใจได้ตรงกับความต้องการของผู้พูด ตลอดจนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกว่า พูดได้อย่างใจนึก ระลึกได้ดังใจหวัง
ข้อใดเป็นการพูดสรุปความการพูดสรุปความ คือ การพูดที่ตัดข้อความหรือใจความที่ไม่สำคัญออกไป ให้เหลือเฉพาะส่วนที่สำคัญ โดยใช้ประโยคสั้นๆ เรียบเรียงอย่างถูกต้องและเข้าใจง่าย
ข้อใดเป็นการเตรียมพูดอันดับแรกการเตรียมตัว ในการพูด การเตรียมตัวในการพูด มีหลัก ๗ ประการ คือ ๑. การตั้งวัตถุประสงค์ □ ๒. การวิเคราะห์ผู้ฟัง □ ๓. การเลือกเรื่องที่จะพูด □ ๔. การรวบรวมเนื้อหา □ ๕. การวางโครงเรื่อง □ ๖. การใช้ถ้อยค าภาษา □ ๗. การฝึกพูด
สิ่งใดสำคัญที่สุดในการพูดสรุปความจากเรื่องที่ฟังและดูการพูดสรุปความจากเรื่องที่ฟังและดูเป็นการถ่ายทอดใจความสำคัญจากสื่อที่ได้ฟังและดู และอธิบายได้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร เพราะเหตุใด เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจ โดยใช้ถ้อยคำและอากัปกิริยาท่าทางให้เป็นที่เข้าใจกัน หากผู้เรียนรู้หลักการและแนวทางในการปฏิบัติจะทำให้ผู้เรียนสามารถพูดสรุปความจากเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ฟัง ...
|