Show 20 ก.พ. 2020 4,679 views สังคมเดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยความเครียด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังฝืดเคืองและความไม่แน่นอนของเสถียรภาพทางการเมืองไทย ทำให้คนวัยทำงานเกิดความเครียดได้ง่าย โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในสังคมเมือง ผลที่ตามมาคือโรคทางจิตต่างๆ เช่น โรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ ไบโพลาร์ เป็นต้น อย่าปล่อยให้ตนเองตกเป็น 1 ในผู้ป่วยเหล่านั้น ถึงแม้เราจะเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ได้แต่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้จิตใจอ่อนแอจนกลายเป็นผู้ป่วยได้ด้วยตนเอง วันนี้มาพบกับ 10 วิธีสร้างความสุขตามคำแนะนำจากกรมสุขภาพจิตกัน โดยกรมสุขภาพจิตได้ทำแบบสำรวจจากข้อมูลสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2558-2560 พบว่าผู้ใช้บริการมากที่สุดคือกลุ่มวัยทำงาน อายุ 22-59 ปี จำนวน 105,967 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 62 ของผู้ใช้บริการทั้งหมด169,728 ครั้ง อันดับ 1 ร้อยละ 36 คือเรื่องการกินยารักษาอาการป่วยทางจิตใจ ,อันดับ 2 ร้อยละ 28 คือความเครียดหรือวิตกกังวล เช่นกังวลเกี่ยวกับอนาคต เรื่องคนอื่น เรื่องทั่วๆไป , อันดับ 3 ร้อยละ 10 เรื่องปัญหาสารเสพติด และเพื่อช่วยประชาชนไทยให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นกรมสุขภาพจิตจึงออกประกาศแนะนำวิธีสร้างความสุขง่ายๆรายวันให้แก่ตนเองในการทำงาน
มีข้อแนะนำ 10 ข้อดังนี้ ยึดหลักความพอเพียงในการดำเนินชีวิต พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ผลวิจัยยืนยันว่าคนทำงานที่มีความสุขจะเพิ่มผลผลิตมากกว่าคนทำงานที่ไม่มีความสุขถึงร้อยละ 20 และนี่ก็คือ 10 วิธีสร้างความสุขง่ายๆจากกรมสุขภาพจิต ดังนั้นใครกำลังจิตตกอยู่สามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้กันดูได้ แต่สำหรับคนที่สภาพจิตใจดีอยู่หากทำตามแนวทางนี้ก็จะยิ่งทำให้จิตใจคุณแข็งแรงยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามใครคิดว่าตนเองกำลังจิตตกและไม่สามารถเยียวยาได้ด้วยตนเองแล้ว ขอแนะนำให้ปรึกษากรมสุขภาพจิต สายด่วน 1323 ขอบคุณข้อมูลจาก www.sanook.com 1. ยอมรับความจริงก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าเหตุการณ์โศกเศร้าที่เผชิญอยู่เป็นความจริง เกิดขึ้นจริง ๆ และไม่ควรปิดกั้นการแสดงออกถึงความรู้สึกเศร้าโศก ทว่าก็ควรแสดงออกอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งควรพูดคุยกับคนรอบข้าง เพื่อสร้างกำลังใจและแรงจูงใจซึ่งกันและกัน ประคับประคองความรู้สึกให้ผ่านพ้นความเศร้าไปให้ได้ 2. อยู่อย่างมีสติจงดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความมีสติ หมั่นสังเกตปฏิกิริยาทางจิตใจและพฤติกรรมของตัวเองและคนรอบข้างให้ดี หากมีอาการคิดวนเวียน วิตกกังวล ไม่อยากพบเจอใคร หมกมุ่นกับความคิดของตัวเอง นอนไม่หลับ ฝันร้าย หรือมีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่น เริ่มพูดพึมพำกับตัวเอง เห็นภาพหลอน หูแว่ว หรือมีความคิดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ ควรรีบมาพบจิตแพทย์ 3. ระบายความรู้สึกออกมาบ้างการได้ระบายความเศร้าโศกเสียใจหรือความรู้สึกหม่น ๆ ในใจให้กับคนรอบข้างและคนใกล้ชิดบ้างจะช่วยให้ความรู้สึกเศร้าผ่อนคลายลงบ้างไม่มากก็น้อย นอกจากนี้การได้ปรับทุกข์ซึ่งกันและกันยังจะช่วยให้ต่างฝ่ายต่างเยียวยาจิตใจซึ่งกันและกันด้วยความเข้าอกเข้าใจอีกด้วย 4. พาตัวเองออกจากสิ่งที่ทำให้รู้สึกเศร้าถ้าความรู้สึกซึมเศร้าถาโถมจนเกินจะรับได้ไหวอีกต่อไป ควรกันตัวเองออกจากปัจจัยที่ทำให้เศร้า เช่น พยายามไม่รับข้อมูลข่าวสารใด ๆ ไม่ดูรูปภาพหรือคลิปวิดีโอที่ดูกี่ครั้งก็ร้องไห้ และควรพักใจอยู่นิ่ง ๆ กับตัวเองสักพัก 5. พยายามคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ที่มีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียหากรู้สึกคิดถึงคนที่เราเพิ่งสูญเสียไป ให้เปลี่ยนความคิดถึงไปในทิศทางบวก เช่น คิดถึงช่วงเวลาที่ดี ๆ คิดถึงภาพความสุขและรอยยิ้มของคนที่จากไป ให้เป็นความทรงจำที่ดี ๆ และพยายามดำเนินชีวิตของตัวเองอย่างปกติ 6. หมั่นฝึกสมาธิในกรณีที่รู้สึกแย่ในขั้นที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ให้หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกจิตใจให้สงบ และเรียกคืนสติให้กับตัวเอง 7. ปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับคนที่มีอาการเสียใจหนักมากจนเป็นลมล้มพับ หรือรู้สึกเหมือนจะล้ม ให้หายใจลึก ๆ ช้า ๆ พยายามอย่าตื่นตระหนก พาตัวเองออกมาอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ดื่มน้ำเย็น และหาผ้าเย็นมาเช็ดเนื้อเช็ดตัว พร้อมทั้งดมยาดมด้วย ซึ่งการปฐมพยาบาลดังกล่าวนี้สามารถนำไปใช้ดูแลผู้อื่นที่มีอาการเศร้าโศกเสียใจจนคุมสติและร่างกายไม่อยู่ได้ด้วย ที่มา : คลินิกศิริราช, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |