Positioning คือ การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์เพื่อแสดงจุดยืนของผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าเป้าหมายเห็น อธิบายให้ง่ายกว่านั้น Positioning หรือตำแหน่งผลิตภัณฑ์คือการวางตัวของแบรนด์ว่าอยากให้คนมองว่าสินค้านี้เป็นอย่างไร มีจุดยืนอย่างไร อยู่ระดับใด สินค้ามีไว้เพื่อใคร และสินค้าของแบรนด์อยู่ตรงไหนเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น Show
ซึ่งการจะวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ หรือ Positioning ได้นั้นก็จะต้องพิจารณามาจากกลุ่มเป้าหมาย (Targeting) ที่ได้เลือกไว้ในขั้นตอนที่ 2 ในการเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของกลยุทธ์ STP โดยกลยุทธ์ Positioning หรือ การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์สามารถแบ่งได้เป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่
อย่างไรก็ตาม Positioning ไม่ใช่เรื่องของการเลือกกลุ่มเป้าหมาย แต่เป็นการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราได้เลือกไว้แล้วก่อนหน้านี้ จากนั้นนำไปเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของเรา ว่าเรามีด้านใดที่คล้ายกัน มีอะไรที่เด่นกว่า และมีอะไรที่ด้อยกว่า EmotionalEmotional คือ จุดยืนด้านอารมณ์ Positioning แบบ Emotional คือ จุดยืนเน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน ภาพลักษณ์ของสินค้า บรรยากาศ และอารมณ์ร่วมกับสินค้า โดยส่วนมากสินค้าที่มี Positioning แบบ Emotional คือ สินค้าที่ผู้ซื้อมักมองว่าเป็นสินค้าหรู สินค้าที่ใช้แล้วดูดีเมื่อถูกคนอื่นมอง สินค้าที่ใช้แสดงออกทางฐานะ หรือ สินค้าที่ใช้เพื่อเป็นรางวัลของชีวิต ส่งผลให้ลูกค้ามักจะไม่สนใจเรื่องราคาของสินค้าที่วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์แบบ Emotional มากนัก ตัวอย่างเช่น นาฬิกาหรู รถยนต์หรู ร้านอาหารราคาแพง โรงแรมที่มีบริการเสริมมากมายเพื่อการพักผ่อนเต็มที่ คอนโดระดับพรีเมี่ยมใจกลางเมือง Positioning แบบ Emotional เป็นวิธีในการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับสินค้าและบริการที่ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมาก FunctionalFunctional คือ จุดยืนด้านการใช้งาน เป็นการวางจุดยืนของผลิตภัณฑ์ หรือ Positioning เกี่ยวกับคุณภาพของสินค้าหรือบริการ อย่างเช่น ฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ความคุ้มค่าที่ได้รับ (อาจจะไม่ดีที่สุดแต่คุ้มราคาก็ได้) ซึ่งส่วนมากจะมาในลักษณะของสินค้าคุณภาพสูง สินค้าและบริการที่วาง ตำแหน่งผลิตภัณฑ์ แบบ Functional มักจะเป็นสินค้าและบริการทั่วไปที่เน้นการใช้งาน ตัวอย่างเช่น
จุดขายของ Positioning แบบ Functional หรือจุดยืนด้านการใช้งาน คือ สรรพคุณของสินค้า DifferentiationDifferentiation คือ จุดยืนด้านความแตกต่าง เป็นการวาง Positioning ด้วยการสร้างความแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนกับคู่แข่ง ซึ่งความแตกต่าง (Differentiation) อาจจะได้ทั้งความแตกต่างเกี่ยวกับ Emotional และ Functional ประโยชน์ของจุดยืนด้านความแตกต่าง (Differentiation) คือ การที่ไม่ต้องแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นเนื่องจากสินค้าแบบ Differentiation ยังเป็นสินค้าใหม่ในตลาด และการที่ไม่มีสินค้าทดแทน (หรือมีน้อย) ทำให้สามารถตั้งราคาที่สูงได้ ตัวอย่างเช่น Tesla รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า จะเห็นว่าในยุคแรกที่ Tesla ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน คู่แข่งของ Tesla ในระยะแรกน้อยมาก การตลาดไม่ได้หมายถึง ‘การแสดงความเป็นอันดับหนึ่ง’ เสมอไป ถ้าเรามองว่าเป้าหมายของธุรกิจคือการขายของให้ลูกค้า และลูกค้าอยากจะซื้อสินค้าที่แก้ปัญหาให้กับตัวเองได้ หน้าที่ของการตลาดก็คือการแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าสินค้าของเราเหมาะสมกับการแก้ปัญหาให้ลูกค้ามากที่สุด ลูกค้าสามารถซื้อเสื้อผ้าที่ไหนก็ได้ ลูกค้าก็ย่อมอยากซื้อเสื้อผ้าที่ ‘ลูกค้าคิดว่า’ มีขนาด ‘พอดี’ กับตัวเองมากกว่าเสื้อผ้าของคนอื่น marketing is battle of perceptions Positioning คืออะไรPositioning หรือ การจัดวางตำแหน่งสินค้า คือการบริหารจัดการมุมมองที่ลูกค้ามีต่อสินค้าของบริษัท เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสามารถแยกแยะสินค้าของเราออกจากสินค้าคู่แข่งในตลาดได้ และการวิจัยตลาดกับกลุ่มเป้าหมายจะบอกให้เรารู้ได้ว่าลูกค้าตอบรับกับอะไรดีที่สุด หลักการ Positioning หรือการจัดวางตำแหน่งสินค้าเป็นหลักการที่มีมานานแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นเครื่องมือการตลาดที่ยังทรงพลังและมีค่าให้เราศึกษาอยู่ทุกวันนี้ จุดหมายของการตลาดก็คือการทำให้สินค้าของเราโดดเด่นหรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘แตกต่าง’ แต่ในโลกที่คุณสมบัติทุกอย่างของสินค้าสามารถถูกลอกเลียนแบบได้ สิ่งที่นักการตลาดค้นพบก็คือ เราก็สามารถปรับมุมมองของกลุ่มลูกค้าเราได้เช่นกัน รองเท้า Nike ก็อาจจะเป็นรองเท้าคู่นึงถ้าไม่มีโลโก้บริษัทติด มือถือ iPhone ก็คงไม่ได้ต่างจากมือถือรุ่นอื่นเท่าไรถ้าไม่ได้มีโลโก้ของ Apple ติด คำว่า branding และ positioning อาจจะมีความหมายที่ไม่เหมือนกันแต่ผลลัพธ์ในเรื่องของการตลาดนั้นก็ต่างกันไม่มาก Unique Positioning คือPositioning หรือการจัดวางตำแหน่งของเราคงไม่มีประโยชน์อะไรมาก ถ้าตำแหน่งของสินค้าของเราไม่แตกต่างไปจากเจ้าอื่นๆ ร้านมินิมาร์ทก็ยังคงเป็นร้านมินิมาร์ทถ้าเราไม่ได้มีความแตกต่าง (Unique Positioning) ย้อนกลับไปจะยุคหลายร้อยปีก่อน ในสมัยที่ทุกคนยังเป็นชาวนา แล้วทุกคนก็สามารถผลิตสินค้าเหมือนกันออกมาขายได้ … ในยุคสมัยนั้น ส้มก็คือส้ม แตงโมก็คือแตงโม สินค้าไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้ผลิตแต่ละคน และความไม่แตกต่างนี่เองก็สร้างปัญหาให้กับทางธุรกิจและกับลูกค้า ธุรกิจที่ไม่สามารถขายสินค้าที่แตกต่างได้ก็ไม่สามารถทำกำไรได้ ลูกค้าที่มีความต้องการแบบเฉพาะทางก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าความต้องการตัวเองไม่ถูกตอบรับจากธุรกิจ จนกระทั่งค้นพบว่า ส้มทุกลูกไม่ได้เหมือนกัน ส้มบางลูกหวานกว่าส้มอื่น ส้มบางลูกมีวิตามินซีสูงกว่าส้มอื่น แตงโมมีทั้งสีแดงและสีเหลือง แตงโมบางลูกก็มีน้ำชุ่มฉ่ำกว่าลูกอื่น คุณสมบัติที่ไม่เหมือนกันของสินค้าที่คล้ายๆกันนี้ทำให้เกิดตำแหน่งสินค้าในมุมมองของลูกค้า ยิ่ง unique positioning ของเราเยอะ เราก็ยิ่งสร้างความแตกต่างได้เยอะ อย่างไรก็ตามข้อเสียของการมี positioning เยอะก็คือเราต้องใช้งบในการสื่อสารและอบรมลูกค้าเยอะเช่นกัน เราอาจจะต้องเสียเงินหนึ่งก้อนเพื่อบอกลูกค้าว่าสินค้าเราราคาถูก และเสียเงินอีกหนึ่งก้อนเพื่อบอกว่าสินค้าเราคุณภาพดี unique positioning เปรียบเทียบได้กับตัวเมืองในสมัยสงคราม เรามีเมืองเยอะทรัพยากรก็เยอะ แต่ก็ยิ่งทำให้เราตกเป็นเป้าหมายการโจมตีจากคู่แข่งได้เยอะจากหลายทิศทางเช่นกัน (ตำแหน่งตลาด เป็นคำที่ถูกใช้เปรียบเทียบด้วยคำศัพท์ด้านการสงครามเยอะ) ประโยชน์ของการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ [Benefits of Positoning]#1 สร้างความแตกต่างสาเหตุหลักที่ทุกธุรกิจควรจะมี Positioning ก็คือการสร้างความแตกต่างในสายตาของลูกค้า ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูงและคู่แข่งทุกคนพยายามที่จะลอกเลียนแบบคนที่ทำได้ดีเสมอ ลูกค้าก็จะมองว่า ‘สินค้า’ นั้นสามารถ ‘ซื้อที่ไหนก็ได้’ และ ‘ซื้อจากใครก็ได้’ เพราะผู้ขายผู้ผลิตทุกคนสามารถสร้างสินค้าได้ในมาตรฐานใกล้เคียงกันหมด แต่ถ้าเราสามารถนำหลักการของการจัดวางตำแหน่งมาใช้ เราก็สามารถสร้างตำแหน่งสินค้าในใจให้กับลูกค้าได้ และลูกค้าก็จะเข้าใจว่าสินค้าของเรามีความแตกต่างและโดดเด่น หมายความว่าเราจะสามารถตอบโจทย์ข้อแรกและโจทย์พื้นฐานที่สุดของการตลาดได้ ซึ่งก็คือ ‘การสร้างความแตกต่าง’ #2 การสร้างแบรนด์แบรนด์กับตำแหน่งสินค้าเป็นสองคำที่เราได้ยินด้วยกันบ่อยๆ เพราะตำแหน่งสินค้าที่ดีจะช่วยสร้างแบรนด์ให้เรา และแบรนด์ที่ดีก็จะทำให้ตำแหน่งสินค้าของเราชัดเจนมากขึ้น แบรนด์เป็นสิ่งที่มาหลังจากเราสร้างตำแหน่งสินค้าที่แข็งแรงแล้ว การจัดตำแหน่งสินค้าหมายความว่าเรารู้แล้วว่าสินค้าเราต้องอยู่ในตำแหน่งไหนถึงจะถูกใจลูกค้ามากที่สุด สินค้าเราต้องสร้างคุณค่าให้ลูกค้าได้อย่างไร สินค้าเราควรจะทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกอย่างไร และสินค้าเราทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์การใช้และการซื้อได้อย่างไร ตำแหน่งการตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาและถูกขัดเกลาเรื่อยๆไปตามเวลาก็จะกลายเป็นแบรนด์ให้แข็งแรง #3 การต่อยอดสินค้าการจัดตำแหน่งสินค้าก็คือการหานิยามว่ากลุ่มเป้าหมายลูกค้าของคุณคือใคร และการสร้างความไว้วางใจระหว่างธุรกิจของคุณกับกลุ่มลูกค้าของคุณ เมื่อไรที่คุณมีความไว้วางใจจากลูกค้าคุณก็จะรู้ว่าลูกค้าคือใครและลูกค้าต้องการอะไร แล้วถ้าคุณสามารถตอบโจทย์ทั้งสองอย่างได้คุณก็จะรู้ว่าทิศทางของบริษัทที่ต้องการก้าวไปต่อไปคืออะไร ลูกค้าที่เชื่อใจในตำแหน่งสินค้าของคุณก็จะเชื่อในสินค้าอื่นๆที่คุณนำออกมาขาย (ข้อแม้ก็คือว่าสินค้าชิ้นต่อไปก็ยังต้องตรงกับตำแหน่งสินค้าและกลุ่มลูกค้าเดิม) ซึ่งแปลว่าการขยายกิจการของคุณนั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้นเพราะลูกค้าเข้าใจแล้วว่าสินค้าและบริการของคุณทำอะไรและเหมาะสำหรับลูกค้าแบบไหน (Apple จะออกนาฬิกา หูฟัง หรือที่ตั้งหน้าจอคอม คนก็ซื้ออยู่ดี) #4 การสร้างลูกค้าประจำและลูกค้าที่ภัคดีตำแหน่งสินค้าที่ดีจะสร้าง ‘ตัวตน’ ให้กับธุรกิจสินค้าของคุณ และเมื่อไรที่ธุรกิจของคุณมีตัวตนลูกค้าก็จะรู้สึกว่าธุรกิจของคุณเป็นสิ่งที่เข้าหาได้ง่าย ตัวตนในที่นี้อาจจะหมายถึงอะไรกว้างๆ เช่นการเป็น Application มือถือที่มีไว้เรียกแท็กซี่ (Uber) หรือการเป็นร้านขายของที่มีสินค้าทุกอย่างที่เราอยากจะได้ (Lazada) หรืออาจจะหมายถึงอะไรที่เรียบง่ายกว่านั้น เช่นคุณเป็นเครื่องดื่มสำหรับคนที่ต้องการพลังงานอย่างเร่งด่วน (กระทิงแดง) ถ้าคุณสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในจิตใจลูกค้าสำหรับแต่ละตำแหน่งสินค้าของคุณ ลูกค้าก็จะได้นึกถึงสินค้าของคุณก่อนอันดับแรกเวลาที่ลูกค้ามี ‘ความอยากซื้อ’ (เปรียบเหมือนคนหิวน้ำแล้วนึกถึงน้ำเปล่าตราสิงห์) อันดับหนึ่งในใจของลูกค้านี่แหละที่จะทำให้เกิดการซื้อซ้ำ ทำให้มีลูกค้าประจำ และทำให้ลูกค้าอยากจะบอกต่อแนะนำผู้อื่นให้ซื้อสินค้านี้เช่นกัน #5 ความง่ายในการสื่อสารและในการขายเวลาคนถามว่าอยากกินสุกี้กินที่ไหนดีคำตอบก็คือไปกิน MK ถ้าถามว่าอยากกินบิงซูที่ไหนคนส่วนมากก็คงจะแนะนำ After You ตัวอย่างสองบริษัทนี้แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งสินค้าในใจของลูกค้านั้นมีความสำคัญต่อการสื่อสารและการขายแค่ไหน Category Positioning ก็คือการที่เราจัดตำแหน่งสินค้าหรือบริษัทเราให้เป็นตัวแทนของทั้งชนิดสินค้านั้นๆ เพื่อที่จะสร้างความง่ายในการที่จะให้ลูกค้าเห็นภาพบริษัทของเราและสินค้าของเรามีตัวตนอยู่เพื่ออะไร ถ้าคุณยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าธุรกิจของคุณทำอะไรภายในประโยคสั้นๆ 1 ประโยค (พูดภายใน 20 ถึง 30 วินาที) ธุรกิจของคุณก็คงยังไม่มีความชัดเจนพอที่จะสร้างตำแหน่งสินค้าในสายตาลูกค้าได้ ทำไมธุรกิจต้องมี Brand PositioningBrand positioning คือการสร้างตัวตนให้กับธุรกิจของคุณ ซึ่งตัวตนธุรกิจที่ดีก็ควรจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้ ถ้ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราต้องการความเรียบง่ายความสะดวกสบายตำแหน่งของแบรนด์ของเราก็ควรจะตอบโจทย์ความต้องการนี้ ถ้าลูกค้าต้องการความละเอียดอ่อนความสวยหรูตำแหน่งของแบรนด์เราก็ต้องตอบโจทย์ส่วนนี้เช่นกัน บางครั้งตำแหน่งสินค้ากับผลประโยชน์ของสินค้าอาจจะไม่ได้จำเป็นต้องตรงกันเสมอไป ตัวอย่างเช่นสินค้าแบรนด์รังนก แบรนด์รังนกคนส่วนมากเข้าใจว่าเป็นสินค้าที่ดื่มเพื่อทำให้สุขภาพดี แต่ตำแหน่งสินค้าที่คนส่วนมากใช้กันก็คือการซื้อไว้เป็นของขวัญวันเกิดวันปีใหม่ เพื่อให้เป็นของฝากคนอื่นมากกว่าการใช้กินเอง สินค้าที่มีความชัดเจนในตำแหน่งก็ย่อมที่จะสามารถตั้งราคาได้แพงกว่าสินค้าอื่นๆที่ลูกค้าอาจจะไม่ได้เห็นค่ามากเท่า มือถือสมาร์ทโฟนอย่างของ Apple ในสายตาของหลายคนก็ถือว่าเป็นมือถือที่มีคุณภาพดีที่สุด ใช้งานง่ายที่สุด และแน่นอนว่าคนก็พร้อมที่จะซื้อมือถือนี้อยู่เรื่อยๆถึงแม้ว่าราคาจะแพงกว่ามือถือเจ้าอื่นก็ตาม ตำแหน่งแบรนด์ที่ดีต้องใช้การลงทุนมหาศาล หลายบริษัทยอมลงทุนมหาศาลเพื่อ ‘กรอกข้อความ’ ซ้ำไปซ้ำมาให้ลูกค้าจำให้ได้ แต่ตำแหน่งแบรนด์ก็เหมือนกับดาบสองคมเช่นกัน หากวันไหนที่สินค้าและอุตสาหกรรมของคุณถูกแทรกแซงโดยเทคโนโลยีใหม่ (คิดถึงบริษัท Nokia กับ Fuji Film) ตำแหน่งแบรนด์บางอย่างที่เราทุ่มเทเงินมหาศาลก็จะกลับมาทำร้ายเราเพราะมุมมองของลูกค้าต่อเราอาจจะไม่เปลี่ยน…แต่พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปแล้ว วิธีการวางตําแหน่งผลิตภัณฑ์มีอะไรบ้างการจัด ‘ตำแหน่งสินค้า’ ในมุมมองของลูกค้า ก็คือการเล่นกับมุมมองความคิดของคนครับ ซึ่งก็หมายความว่าตราบใดที่ลูกค้ายังใช้สมองและยังใช้อารมณ์ในการตัดสินใจและเรียบเรียงข้อมูลอยู่ ความเป็นไปได้ของตำแหน่งสินค้าก็มีไม่สิ้นสุด ในมุมมองของนักการตลาดแล้วตำแหน่งของสินค้าที่ดีก็คือตำแหน่งของสินค้าที่ลูกค้าพร้อมที่จะควักกระเป๋าตังค์ออกมาจ่ายเงินให้กับเรา พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือตำแหน่งอะไรก็ได้ที่ลูกค้าเห็นค่าและทำให้เราแตกต่าง วิธีการวางตําแหน่งผลิตภัณฑ์ที่นักการตลาดนิยมใช้การมีดังนี้ครับ
โดยรวมแล้วตำแหน่งสินค้าที่บริษัททั้งหลายจัดวางกันก็มีดังนี้ อย่างไรก็ตามอิสระในการจัดตำแหน่งสินค้าของแต่ละธุรกิจก็ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าเห็นคุณค่าของตำแหน่งนี้มากแค่ไหน ในสมัยก่อนที่รถยนต์ของบริษัท Ford ผลิตแค่สีดำเท่านั้น Positioning สินค้าของคู่แข่งที่น่าจะขายดีก็อาจจะเป็น ‘รถสีขาว’ ก็ได้ ตลาดอาจจะเริ่มที่ตลาดชานม แต่ตอนนี้แต่ละบริษัทก็มีจุดขายพิเศษส่วนตัว เช่น ชานมหวานน้อย ชานมเกาหลี ชานมใต้หวัน ชานม brown sugar ชานมไข่มุกคาราเมล ‘Any color you like, as long as its black’ – Ford, 1909 Repositioning คืออะไรRepositioning คือการจัดวางตำแหน่งสินค้าใหม่ ส่วนมากมักจะถูกใช้เวลาตำแหน่งสินค้าเก่าไม่สามารถสร้างกำไรหรือโตต่อไปได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่นเวลาที่บริษัทเราถูกคู่แข่งขโมยตลาดไป สาเหตุที่การจัดวางตำแหน่งสินค้าใหม่เป็นสิ่งที่ยากก็เพราะว่าเมื่อใดที่ลูกค้ามีความคิดหรือมุมมองต่อสินค้าของเราแล้วมันก็ยากที่จะปรับเปลี่ยนตำแหน่งนี้ได้ บางคนก็เรียกสิ่งนี้ว่า ‘การรีแบรนด์ธุรกิจ’ (Rebranding) การรีแบรนด์กับการจัดวางตำแหน่งสินค้าใหม่เป็นแนวคิดที่มีความเหมือนกันตรงที่ว่าเราต้องปรับเปลี่ยนมุมมองของลูกค้าให้ได้ อย่างไรก็ตามการรีแบรนด์อาจจะมีส่วนที่เราต้องออกแบบโลโก้ใหม่ ออกแบบสินค้าใหม่ หรือบางทีก็เปลี่ยนชื่อบริษัทไปเลยก็มี หรือถ้าบริษัทนึงถูกอีกบริษัทนึงซื้อหุ้นไป บางครั้งการรีแบรนด์ก็อาจจะเป็นแค่การนำแบรนด์ 2 บริษัทมารวมกัน มาเรื่องการจัดวางตำแหน่งสินค้าใหม่ (Repositioning) อีกรอบ หากธุรกิจหรือสินค้าคุณเข้าข่ายดังนี้อาจจะต้องคิดเรื่องการจัดวางตำแหน่งสินค้าใหม่
สุดท้ายนี้กับการจัดวางตำแหน่งสินค้าสุดท้ายนี้คุณก็ต้องกลับมาดูการจัดวางตำแหน่งสินค้าของคุณอีกรอบว่าเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณหรือเปล่า หาคนมีงบการตลาดมากหน่อยก็อาจจะลองทำการสำรวจตลาดดูว่ามุมมองของลูกค้ากับมุมมองที่คุณอยากจะให้ลูกค้าเห็นคุณนเหมือนกันหรือต่างกันมากแค่ไหน ตำแหน่งทางการตลาดคืออะไรMarket Positioning
การวางตำแหน่งทางการตลาด คือ การรับรู้ในตัวแบรนด์หรือสินค้าในตลาดที่เราอยู่ ในสายตาของผู้บริโภค แบรนด์ของเราเป็นแบรนด์พรีเมี่ยม แบรนด์ไฮเอ็น หรือเป็นแบรนด์ปกติทั่วไป สินค้าเราอยู่ในเซ็คเตอร์ไหนของตลาด เช่น สินค้าเราเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในประเภทสินค้าไขมันต่ำ สินค้าเราเป็นสินค้าออร์แกนิก
ตำแหน่งในการตลาด มีอะไรบ้างผู้จัดการฝ่ายโฆษณา (Advertising Manager) ... . ผู้จัดการแบรนด์ (Brand Manager) ... . ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเนื้อหา/ ผู้จัดการ SEO (Content Marketing Manager/ SEO Manager) ... . นักเขียนคำโฆษณา (Copywriter) ... . ผู้จัดการฝ่ายการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Manager) ... . นักวางแผนงานอีเวนท์ (Event Planner) ... . ผู้ระดมทุน (Fundraiser). ตําแหน่งผลิตภัณฑ์ หมายถึงอะไรตําแหน่งผลิตภัณฑ์ (Product Position) หมายถึง การรับรู้เกี ยวกับผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภค หรือกลุ่มเป้าหมาย ซึงการรับรู้เป็นการรับรู้ในคุณสมบัติหรือประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เช่น รสชาติ ความสะอาด ความสะดวก ความสบาย และการรับรู้ในสิงทีไม่เกียวกับคุณสมบัติหรือประโยชน์ ของผลิตภัณฑ์แต่เป็นการรับรู้ในคุณค่าทางด้านอารมณ์ความรู้สึก ซึง ...
นักการตลาดทำงานที่ไหนสำหรับผู้เพิ่งก้าวเข้าสู่อาชีพนักการตลาดจะทำงานอยู่ในส่วนส่งเสริมการตลาดการขาย กิจกรรมส่งเสริมการตลาด ตรวจตลาดเพื่อทำการวิจัย โดยมีค่ายานพาหนะให้ ทั้งนี้แล้วแต่เงื่อนไขสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ มีสวัสดิการให้ตามกฎหมายแรงงาน ส่วนโบนัส และผลประโยชน์อื่นๆ ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ สำหรับนักการตลาดที่มีความสามารถในการวิเคราะห์การ ...
|