อนุพันธ์กัญชามีประโยชน์หลายอย่างในการบำบัดมะเร็ง อาจใช้เป็นสารกระตุ้นความ อยากอาหาร กัญชาจะช่วยชะลอน้ำหนักลดในผู้ป่วยมะเร็ง กัญชายับยั้งการเติบโตของเซลมะเร็งในสัตว์ทดลอง แต่ผลยังไม่เป็นที่สรุป และอนุพันธ์กัญชาอีกชนิดคือ cannabidiol ดูจะทำให้มะเร็งโตเร็วขึ้น บางทีกัญชาเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นอาจเป็นประโยชน์ในการป้องกันการโตของมะเร็ง แต่สิ่งที่กัญชาช่วยได้แน่ในการบำบัดมะเร็งคือการป้องกันการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่รับเคมีบำบัด เกือบครึ่งของผู้ป่วยที่รับยาต้านมะเร็งต้องทุกข์จากการคลื่นไส้อาเจียนอย่างแรง ประมาณร้อยละ 25 ถึง 30 ของผู้ป่วยเหล่านี้ ยาแก้อาเจียนทั่วไปใช้ไม่ได้ผล อาการคลื่นไส้อาเจียนไม่เพียงแต่ ไม่น่าพอใจแต่ยังรบกวนประสิทธิภาพการบำบัดรักษาด้วย การอาเจียนอาจทำให้เกิดการฉีกขาด ของหลอดอาหารและซี่โครงหัก ทำให้ไม่ได้รับอาหารเพียงพอ และสูญเสียน้ำ ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุของการติดสารเสพติด 1. ความอยากรู้อยากลอง ทั้งการอยากลองด้วยตัวเอง และการถูกกระตุ้นจากบุคคลภายนอก เช่น เพื่อน หรือคนใกล้ตัวที่ใช้ยาเสพติด 2. ครอบครัว การที่คนในครอบครัวมีการใช้ยาเสพติด หรือ ครอบครัวห่างเหินไม่มีความอบอุ่น ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงสูงที่เกิดการเลียนแบบหรือหันไปใช้ยาเสพติดเพื่อลดช่องว่างในจิตใจ 3. ความเครียด ส่งผลใหหันไปพึ่งพายาเสพติดเพื่อหลีกหนีจากปัญหาเหล่านั้นเป็นการชั่วคราว หรือต้องการบางสิ่งมายึดเหนี่ยวจิตใจทำให้ออ่อนไวไปกับการใช้ยา 4. สิ่งแวดล้อม สถานที่อยู่อาศัยที่เป็นแหล่งค้า และเสพยาเสพติด ทำให้ยาเสพติดถูกซื้อขายง่ายขึ้น หรือมีกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดมากขึ้นในชุมชน ก็นำไปสู่การลอกเลียนแบบ และการชักชวนได้ ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุของการติดสารเสพติด 1. ความอยากรู้อยากลอง ทั้งการอยากลองด้วยตัวเอง และการถูกกระตุ้นจากบุคคลภายนอก เช่น เพื่อน หรือคนใกล้ตัวที่ใช้ยาเสพติด 2. ครอบครัว การที่คนในครอบครัวมีการใช้ยาเสพติด หรือ ครอบครัวห่างเหินไม่มีความอบอุ่น ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงสูงที่เกิดการเลียนแบบหรือหันไปใช้ยาเสพติดเพื่อลดช่องว่างในจิตใจ 3. ความเครียด ส่งผลใหหันไปพึ่งพายาเสพติดเพื่อหลีกหนีจากปัญหาเหล่านั้นเป็นการชั่วคราว หรือต้องการบางสิ่งมายึดเหนี่ยวจิตใจทำให้ออ่อนไวไปกับการใช้ยา 4. สิ่งแวดล้อม สถานที่อยู่อาศัยที่เป็นแหล่งค้า และเสพยาเสพติด ทำให้ยาเสพติดถูกซื้อขายง่ายขึ้น หรือมีกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดมากขึ้นในชุมชน ก็นำไปสู่การลอกเลียนแบบ และการชักชวนได้ หรือหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน คือภาวะที่หัวใจขาดเลือดและออกซิเจนที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจถูกปิดกั้นจากคราบพลัค (Plaque) จนทำให้กล้ามเนื้อที่หัวใจเสื่อมสภาพและตายลงโดยโรคนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
อาการหัวใจขาดเลือด อาการที่มักพบได้ในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้แก่
นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งมีสาเหตุเนื่องจากอาการแน่นหน้าอกและหายใจได้ลำบาก ดังนี้
สาเหตุของหัวใจขาดเลือด โรคนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งทำให้เลือดที่จะไหลเวียนไปยังหัวใจถูกขัดขวาง และเมื่อหัวใจไม่ได้รับเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงอย่างเหมาะสม กล้ามเนื้อหัวใจก็จะเสื่อมสภาพและเริ่มตาย หากไม่ได้รับการรักษาจนความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง หัวใจก็จะหยุดเต้นและเสียชีวิตในที่สุด โดยสาเหตุที่ทำให้เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้อย่างเพียงพอ ได้แก่
นอกจากนี้โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันก็ยังอาจเกิดขึ้นได้หากผู้ป่วยมีความเสี่ยงสุขภาพ โดยความเสี่ยงนั้นแบ่งออกได้เป็น ความเสี่ยงคงที่ ความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ และความเสี่ยงอื่น ๆ ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น
ปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และการรับประทานอาหารอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือดได้มากขึ้น แต่ความเสี่ยงก็สามารถลดลงได้หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่
ความเสี่ยงอื่น ๆ เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ และสามารถส่งผลให้เป็นโรคหัวใจวาย แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงก็สามารถขจัดความเสี่ยงเหล่านี้ออกไปได้
การวินิจฉัยหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ผู้ป่วยและคนใกล้ชิดสามารถสังเกตอาการหัวใจได้เบื้องต้น หากมีอาการแน่น หรือเจ็บหน้าอก และหายใจลำบาก โดยเฉพาะคนที่มีปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้อาการยิ่งรุนแรงขึ้นและเสียชีวิตได้ โดยเมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการซักประวัติถึงอาการ และการรักษาต่าง ๆ ที่จำเป็นในการวินิจฉัย และอาจมีการถามถึงประวัติครอบครัวว่ามีใครเป็นโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันหรือไม่ จากนั้นแพทย์จะทำการสั่งตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีดังต่อไปนี้ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG) เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่สำคัญที่สุด ในการตรวจจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที โดยแพทย์จะติดแผ่นประจุไฟฟ้าไว้ที่แขน ขา และหน้าอก จากนั้นจะวัดคลื่นไฟฟ้า อัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งวิธีการตรวจนี้จะช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และระบุประเภทของโรคนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อแพทย์จะได้ทำการรักษาต่อไป การตรวจเลือด เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยที่ช่วยระบุโรคหัวใจขาดเลือดได้ เพราะเมื่อเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด ก็จะทำให้มีโปรตีนสิ่งแปลกปลอมจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่ตายรั่วไหลลงไปในกระแสเลือดมากกว่าปกติ ยิ่งมีโปรตีนเจือปนในเลือดมากเท่าใดก็บ่งบอกว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เช่น
การใส่สายสวนหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiography) เป็นการตรวจดูความผิดปกติของหัวใจขาดเลือดด้วยการฉีดสารทึบสีเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจ จากนั้นแพทย์จะทำการเอกซเรย์เพื่อดูว่ามีส่วนใดของหลอดเลือดอุดตันหรือตีบบ้างหรือไม่ หากพบความผิดปกติ แพทย์จะรักษาด้วยสอดสายสวนเพื่อเปิดทางให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกมากขึ้น การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) การตรวจหาความผิดปกติของหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อน โดยแพทย์จะใช้อุปกรณ์ส่งคลื่นเสียงเข้าไปกระทบหัวใจออกมาเป็นภาพให้เห็น ซึ่งจะช่วยให้แพทย์เห็นความเสียหายของหัวใจที่เกิดจากการขาดเลือดได้ การรักษาหัวใจขาดเลือด หัวใจขาดเลือดเป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่ ก็จะสามารถยับยั้งความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ และช่วยให้การฟื้นฟูเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น โดยการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจขาดเลือดที่พบ ทั้งนี้ในเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการ ควรโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน ซึ่งหน่วยแพทย์อาจทำการรักษาด้วยวิธีเบื้องต้น ดังนี้
เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจแล้ว แพทย์จะใช้วิธีในการรักษาที่แตกต่างกันไป ในระหว่างการรักษาผู้ป่วยจะต้องดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างสม่ำเสมอและทำตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น เลิกสูบบุหรี่ ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ความดันโลหิตสูง และระดับน้ำตาลในเลือด ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รวมทั้งผู้ป่วยต้องลดความเครียด เพราะความเครียดจะยิ่งทำให้อาการรุนแรงยิ่งขึ้น แม้ว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะช่วยให้อาการโดยรวมดีขึ้น แต่ผู้ป่วยก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์เป็นหลัก ที่แพทย์นิยมใช้ ได้แก่ การใช้ยา แพทย์จะพิจารณาการใช้ยาชนิดใดชนิดหนึ่ง หรืออาจใช้ยาหลายตัวร่วมกันเพื่อรักษาอาการ ยาที่มักใช้ได้แก่
การผ่าตัด บางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดเพื่อช่วยให้เลือดสามารถไหลเวียนไปยังหัวใจได้อย่างเพียงพอมากขึ้น โดยแพทย์มักนิยมใช้วิธีดังต่อไปนี้
ภาวะแทรกซ้อนของหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดส่วนใหญ่สามารถพบกับภาวะแทรกซ้อนได้ ไม่ว่าอาการนั้นจะรุนแรงหรือไม่ ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มีตั้งแต่อาการไม่รุนแรง จนถึงอันตรายและอาจทำให้เสียชีวิตได้ ที่พบในผู้ป่วยมีดังต่อไปนี้ หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) เป็นผลมาจากการที่กล้ามเนื้อหัวใจเสียหาย หรือถูกทำลายเนื่องจากมีเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ ซึ่งความเสียหายนี้จะส่งผลให้กระแสไฟฟ้าที่กระตุ้นการเต้นของหัวใจทำงานผิดปกติตามไปด้วย ซึ่งอาการของภาวะแทรกซ้อนนี้คือ ใจสั่น เจ็บหน้าอก วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย และหายใจลำบาก แต่ถ้าหากรุนแรงก็อาจทำให้กระแสไฟฟ้านั้นไม่สามารถส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของหัวใจได้ จนเป็นเหตุให้เลือดไม่สามารถสูบฉีดได้ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ หากการเต้นของหัวใจห้องล่างผิดปกติ (Ventricular Arrhythmia) ยังอาจนำมาสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest) และทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หัวใจวาย (Heart Failure) เมื่อหัวใจขาดเลือดและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนจะเริ่มตาย และไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ โดยภาวะนี้อาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหรือเรื้อรัง ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการรักษาและฟื้นฟูความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ ภาวะความดันโลหิตต่ำที่มีสาเหตุจากหัวใจ (Cardiogenic Shock) อาการคล้ายกับภาวะหัวใจวาย แต่เป็นอาการที่มีความรุนแรงมากกว่า เพราะจะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ การรักษาเบื้องต้นแพทย์อาจใช้ยาเพื่อเพิ่มความดันโลหิตและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่ในระยะยาวจะต้องผ่าตัดเพื่อทำการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยในการสูบฉีดเลือด เพื่อให้เลือดสามารถไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ๆ ได้อย่างเพียงพอ ผนังกล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาด (Heart Rupture) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงมาก แต่มักพบได้ไม่บ่อยนัก เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจส่วนต่าง ๆ เช่น ผนังกล้ามเนื้อหัวใจหรือลิ้นหัวใจเกิดการปริแตก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายใน 1-5 วันหลังจากเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ภายใน 5 วัน การป้องกันหัวใจขาดเลือด สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้ดีที่สุดก็คือการดูแลรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะจะช่วยให้ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยหลัก ๆ มีวิธีดังนี้
นอกจากนี้ หากสมาชิกในครอบครัวเคยป่วยด้วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ก็ควรที่จะวางแผนรับมือหากสมาชิกคนอื่นเกิดอาการด้วย ควรจดรายละเอียดยาที่ใช้ ยาที่แพ้ และเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยแพทย์ฉุกเฉินไว้ในที่ที่สามารถเห็นได้สะดวก รวมถึงผู้ป่วยควรพกข้อมูลติดต่อของคนใกล้ชิดที่สามารถติดต่อได้ทันทีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน คนในครอบครัวควรช่วยกันดูความผิดปกติ เพราะยิ่งพบเร็วก็จะทำให้รักษาได้อย่างทันท่วงทีมากขึ้น และสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้ |