อย่างไรก็ตาม กองทุนเงินทดแทนเป็นส่วนที่นายจ้างจ่ายเงินสมทบและให้ความคุ้มครองเฉพาะจากการทำงานเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่านายจ้างทุกกิจการจะต้องจ่ายเงินสมทบให้กองทุนเงินทดแทน เพราะบางกิจการก็ได้รับการยกเว้น เช่น
ต่างจากกองทุนประกันสังคมอย่างไรโดยทั่วไปแล้วลูกจ้างส่วนใหญ่จะรู้จักกองทุนประกันสังคมมากกว่า เพราะเป็นกองทุนที่ผู้ประกันตนในมาตรา 33 นายจ้าง และรัฐบาลเป็นคนจ่ายเงินสมทบ โดยกองทุนประกันสังคมจะให้ความคุ้มครองผู้ประกันตนใน 7 กรณี ที่ไม่ได้มาจากการทำงาน ได้แก่
ตัวอย่างเช่น พนักงานบริษัทเกิดอุบัติเหตุจักรยานล้มจนขาหัก ก็สามารถใช้บัตรประชาชนยื่นขอใช้สิทธิประสังคมในการเข้ารักษากับโรงพยาบาลที่เลือกไว้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายภายใต้เงื่อนไขของประกันสังคม ดังนั้น ความแตกต่างระหว่างกองทุนเงินทดแทน กับ กองทุนประกันสังคม มีอยู่ 2 ส่วนหลัก คือ ผู้ที่จ่ายเงินสมทบ กับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองนั่นเอง เช็คสิทธิประโยชน์กองทุนเงินทดแทน 2565 www.sso.go.th ประกันสังคมแจ้งลูกจ้างไม่ต้องกังวลใจ กองทุนเงินทดแทนพร้อมช่วยเหลือลูกจ้างทุกคนในกรณีเกิดเรื่องร้ายจากการทำงานเช็คสิทธิประโยชน์กองทุนเงินทดแทน 2564 สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th แจ้งลูกจ้างไม่ต้องกังวลใจ กองทุนเงินทดแทนพร้อมช่วยเหลือลูกจ้างทุกคนในกรณีเกิดเรื่องร้ายจากการทำงาน
กองทุนเงินทดแทน คือ กองทุนที่จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้าง ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตายหรือสูญหาย สูญเสียอวัยวะ หรือสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของร่างกาย อันเนื่องมาจากการทำงานให้แก่นายจ้าง โดยไม่คำนึงถึง วัน เวลา และสถานที่ แต่จะดูสาเหตุที่ทำให้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย โดยนายจ้างเป็นผู้จ่ายเงินสมทบรายปีให้สำนักงานประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ จากกองทุนของประกันสังคม-กองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดข้อมูลเกี่ยวกับ สิทธิประโยชน์จากประกันสังคม โดยระบุว่า รู้สิทธิไว ได้ประโยชน์เร็ว กับ 2 กองทุนของประกันสังคม กองทุนประกันสังคม 1. กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย (ไม่เนื่องจากการทำงาน) ผู้ประกันตนต้องนำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ - ได้รับการรักษาพยาบาล โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเมื่อเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ - ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ร้อยละ 50 ของค่าจ้างจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน เว้นแต่โรคเรื้อรัง ไม่เกิน 365 วัน กรณีทันตกรรม ได้รับค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นไม่เกิน 900 บาทต่อปี (กรณีถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูนและผ่าตัดฟันคุด) 2. กรณีคลอดบุตร ผู้ประกันตนต้องนําส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนวันคลอดบุตร ผู้ประกันตนหญิง - ได้รับค่าคลอดบุตรเหมาจ่ายจํานวน 15,000 บาท โดยไม่จํากัดจํานวนครั้ง - เงินสงเคราะหการหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจาง เฉลี่ย 90 วัน ไม่เกิน 2 ครั้ง ผู้ประกันตนชาย - ได้รับเฉพาะค่าคลอดบุตรเหมาจ่าย จํานวน 15,000 บาท โดยไม่จํากัดจํานวนครั้ง ค่าฝากครรภ์ จํานวน 1,500 บาท โดยไม่จํากัดจํานวนครั้ง 3. กรณีทุพพลภาพ ผู้ประกันตนต้องนําส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทํางาน กรณีทุพพลภาพระดับความสูญเสียไม่รุนแรง (ประเมินการสูญเสีย ตั้งแต่ร้อยละ 35 ขึ้นไป แต่ไม่ถึงร้อยละ 50) ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างรายวันตลอดระยะที่ไม่สามารถทํางานได้ ไม่เกิน 180 เดือน กรณีทุพพลภาพระดับความสูญเสียรุนแรง (ประเมินการสูญเสีย ตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป) ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน ตลอดชีวิต - รักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย - รักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด 4. กรณีตาย ผู้ประกันตนต้องนำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือนก่อนถึงแก่ความตาย ได้รับค่าทำศพ 50,000 บาท และเงินสงเคราะห์กรณีตาย ดังนี้ จ่ายเงินสมทบ ตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือน รับเงินสงเคราะห์ ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าเฉลี่ย 4 เดือน จ่ายเงินสมทบ ตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไปรับเงินสงเคราะห์ ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าเฉลี่ย 12 เดือน 5. กรณีสงเคราะห์บุตร ผู้ประกันตนต้องนำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือนก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ได้รับเงินสงเคราะห์บุตร เหมาจ่ายเดือนละ 800 บาท ต่อบุตร 1 คน 6. กรณีชราภาพ เงินบํานาญชราภาพ (จ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน) ได้รับเงินบํานาญชราภาพ ร้อยละ 20 ของค่าเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ที่ใช้เป็นฐานในการคํานวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง ถ้าจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตรา เงินบํานาญชราภาพ ขึ้นอีก ร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบทุก 12 เดือน เงินบําเหน็จชราภาพ (จ่ายเงินสมทบไม่ถึง 180 เดือน) - จ่ายเงินสมทบตํ่ากว่า 12 เดือน ได้รับเงินบําเหน็จชราภาพเท่ากับจํานวนเงินสมทบเฉพาะส่วนของผู้ประกันตน - จ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป ได้รับเงินบําเหน็จชราภาพเท่ากับจํานวนเงินสมทบ ที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายสมทบ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน 7. กรณีว่างงาน ผู้ประกันตนต้องนําส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน ถูกเลิกจ้าง ได้รับเงินทดแทนในระหว่างการว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 180 วัน ลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง ได้รับเงินทดแทนในระหว่างการว่างงานในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน ผู้ประกันตนต้องขึ้นทะเบียนและรายงานตัวกรณีว่างงาน ผ่านระบบ https://e-service.doe.go.th ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ถูกเลิกจ้าง หรือลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง และรายงานตัวตามกําหนดนัดเพื่อมิให้เสียสิทธิในการรับเงินทดแทน กองทุนเงินทดแทน - กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย - กรณีทุพพลภาพ - กรณีสูญเสียสมรรถภาพ - กรณีตายหรือสูญหาย จะได้รับอะไรบ้าง - ค่ารักษาพยาบาล จนสิ้นสุดการรักษา (ในสถานพยาบาลของรัฐ) - ค่าทำศพ ได้รับค่าทำศพจำนวน 50,000 บาท - ค่าทดแทนรายเดือน เมื่อลูกจ้างมีการหยุดงาน - สูญเสียสมรรถภาพ ทุพพลภาพ ตายหรือสูญหาย - จะได้ค่าทดแทน ร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันสังคมได้ที่ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง |