จำนวนมากมายเหล่านี้ไม่เพียงบอกว่า โลกของเรากว้างใหญ่ขนาดไหน แต่มันกำลังบอกว่า เราในฐานะมนุษย์ ‘หลากหลาย’ เพียงใด ทว่าในความหลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ เพศ ความเชื่อ สีผิว และภาษา ที่เราต่างเคยชินว่ามันเป็นตัวการแบ่งแยก ‘เขา’ และ ‘เรา’ ให้เป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นชนวนของความขัดแย้งหลายๆ กรณีตลอดรายทางประวัติศาสตร์ มองลึกลงไปในเชิงชีววิทยา เราจะพบว่า มนุษย์ทั่วโลกมีเพียง 4
เผ่าพันธุ์หลักเท่านั้นคือ 1. นิกรอยด์ 2. คอเคซอยด์ 3. มองโกลอยด์ และ 4. ออสเตรลอยด์ แถมวิธีการแบ่งก็เป็นเพียงการแบ่งจากลักษณะเส้นผมเท่านั้น ขณะที่หากมองย้อนไปเราจะพบว่า ทั้งกฎหมายและบรรทัดฐานบางอย่างในบางสังคม ได้ทำให้คนบางกลุ่มกลายเป็น ‘ทาส’ และอีกกลุ่มกลายเป็น ‘นาย’ จากเรื่องสีผิว ทั้งที่อริสโตเติล นักปรัชญากรีกยุคโบราณ บอกว่า “มันไม่มีหลักฐานใดเลยทางชีววิทยาที่แบ่งแยกความแตกต่างระหว่างทาสกับอิสรชนออกจากกัน” ขณะ ยูวาล โนอา ฮารารี เสนออีกแง่มุมหนึ่ง
แต่ไปในทิศทางเดียวกันไว้ในหนังสือ Sapiens : A Brief History of Humankind อันโด่งดังของเขาว่า “ระหว่างคนผิวสีและคนขาวมีความแตกต่างทางชีววิทยาบางอย่าง เช่น สีผิว ลักษณะเส้นผม แต่มันไม่มีหลักฐานใดแสดงถึงความแตกต่างทางด้านเชาวน์ปัญญา หรือศีลธรรม” ในโลกทุนยุคใหม่ การวิจัยบางชิ้นพบว่า ความหลากหลายของพนักงานในบริษัทสามารถเพิ่มผลกำไรได้มากถึง 19% ก็เหมือนกับที่ อเล็กซานดรา ไรช์ แห่งดีแทค บอกกับเราตอนสัมภาษณ์เพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของคอลัมน์ในนิตยสาร a day
BULLETIN ฉบับ 579 ว่า ความท้าทายของเธอในฐานะซีอีโอคือการสร้างพื้นที่ของการสนทนาที่ก่อให้เกิดการนำเสนอไอเดียที่หลากหลายผ่านการโต้เถียงและวิพากษ์วิจารณ์ นั่นก็เพราะความหลากหลายจะนำมาซึ่ง ‘ความเป็นไปได้ใหม่ๆ’ ผ่านความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น (Empathy) เพราะ ‘การเคารพความหลากหลาย’ ของผู้อื่นให้เป็น จะนำมาซึ่งสังคมที่สงบสุข, ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) จากมุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่างของแต่ละคน ซึ่งสุดท้ายจะทำให้เกิดความสามารถในการผลิต (Productivity)
‘ความหลากหลาย’ ในโลกทุกวันนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องศีลธรรมจรรยาหรือสิทธิมนุษยชน แต่มันคือเครื่องมือนำพาสังคมและเราในฐานะพลเมืองโลกไปสู่ทางออกของปัญหา นั่นก็เพราะไม่ว่าเราจะแตกต่างกันมากมายเพียงไร ท้ายที่สุด เราก็เป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน Empathy: ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น
มันซ่อนอยู่ในนั้น
ในชีวิตประจำวันของเราเอง ทั้งมีเสียงและไม่มี ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว มันแอบอยู่ในทั้งความเพิกเฉยและการโพล่งหัวเราะชอบใจจากมุกเห่ยๆ ของการล้อเลียนเรื่อง ‘เพศสภาวะ’ ของคนอื่น หรือแม้กระทั่งคำทักทายระหว่างกันของคนที่ไม่ได้เจอหน้ามานานเป็นปีๆ ด้วยประโยคสั้นๆ ว่า “อ้วนขึ้นหรือเปล่า” แทนที่จะถามสารทุกข์สุกดิบ คุณก็เคยใช่ไหมที่ต้องเจอกับภาวะอึดอัดแบบนั้น กลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร จะด่าหยาบๆ คายๆ ออกไปก็จะกลายเป็นคนไม่มีอารยะ สุดท้ายก็ต้องยอมปิดปาก ก้มหน้า
และยอมรับว่านั้นเป็นเรื่องของ ‘วัฒนธรรม’ คำถามคือ นั่นเป็นเรื่องของวัฒนธรรมจริงๆ หรือมันเป็นเพียงการขาดความ ‘เคารพ’ ในความหลากหลายของผู้อื่น เป็นภาวะของการไม่เข้าใจในเพื่อนมนุษย์ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของประเด็นที่จะรุนแรงขึ้นยิ่งกว่า ทั้งการมองเพศตรงข้ามทางสายตาราวกับว่าเขาหรือเธอเป็นวัตถุทางเพศ หรือการเหยียดหยาม และก่อให้เกิด Sexual Harassment ทั้งทางวาจาและการกระทำ กระแสสะท้อนความหลากหลาย (Diversity) ในปี 2019 กระแส #MeToo ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนั่นก็ใช่ หรือจะเป็นกรณีเหยียดหยามเพศทางเลือกว่า ‘ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นครู’ ของอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งก็ด้วย นี่เองที่โลกเริ่มขยับตัวครั้งใหญ่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องความหลากหลาย เพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจกันและกัน หรือเกิดความเห็นอกเห็นใจกันและกันมากขึ้น อันจะสังเกตได้จากกระแสต่างๆ ทั้งภาคธุรกิจและสังคมที่พอจะคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นในปี 2019 นี้ เพราะความหลากหลายไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา แต่ความไม่เข้าใจในเพื่อนมนุษย์อย่างถ่องแท้ต่างหากคือเชื้อไฟ… คำขอโทษจากผู้บริหารในองค์กรใหญ่ๆ จะเพิ่มขึ้น ในปี 2018 แบรนด์ดังๆ อย่าง Starbucks, H&M, Victoria’s Secret และอื่นๆ ต่างเคยเจอการถล่มของประชาคมโลกในเรื่องของการโฆษณาที่ไม่เคารพความหลากหลาย หรือการปฏิบัติต่อพนักงานอย่างไม่เป็นธรรม แน่นอนว่าความผิดพลาดยังคงมีให้เห็นในปี 2019 แต่ตอนนี้องค์กรระดับโลกมากมายก็กำลังให้ความสนใจเกี่ยวกับการสร้างองค์กรให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ครอบคลุมและเท่าเทียมกันต่อพนักงานและลูกค้า หรือในไทยเอง องค์กรด้านการสื่อสารอย่างดีแทคที่ให้ความสำคัญในเรื่อง ‘ความหลากหลาย’ มาโดยตลอด ก็กำลังพุ่งเป้าไปกับการเทรนนิงในเรื่องความหลากหลาย การปฏิบัติตัวต่อผู้ร่วมองค์กร การลบอคติที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และมากไปกว่านั้น คือการทำให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนจะครอบคลุมลูกค้าที่มีความหลากหลาย #MeToo อาฟเตอร์เอฟเฟ็กต์ กระแส #MeToo ในปี 2019 ทำให้เกิดความตระหนักรู้มากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องการคุกคามทางเพศ แต่ในทางตรงกันข้ามมันกลับทำให้เกิดความสับสนเช่นกัน 51% ของผู้ตอบแบบสอบถามหนึ่งแสดงให้เห็นว่า การโฟกัสอย่างหนักไปที่เรื่องการคุกคามทางเพศจะทำให้เกิดภาวะกระอักกระอ่วนต่อผู้ชายผู้ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตัวต่อเพศหญิงในองค์กรตัวเองอย่างไร พวกเขาอาจลังเล ไม่แน่ใจว่าควรพูด ประชุม ชวนเพื่อนร่วมงานไปกินข้าวแบบไหน ดังนั้น ทางออกในปี 2019 จึงอาจเป็นการหันหน้าเข้าหากันระหว่างผู้คนแต่ละเพศเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจต่อกันและกันมากขึ้นมากกว่าการแบ่งเขาแบ่งเรา ความหลากหลายในเหล่าผู้นำ บริษัทใหญ่ๆ ระดับโลกอย่าง Netffllix, M&T Bank และ Uber ได้เพิ่มจำนวนของผู้บริหารในองค์กรให้มีความหลากหลายมากขึ้นมาตั้งแต่ปี 2018 และดูเหมือนองค์กรอื่นๆ ก็กำลังจะเดินไปในทิศทางเดียวกันในปีนี้ นั่นก็เพราะมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า การมีผู้นำองค์กรที่มีความหลากหลายจะช่วยซัพพอร์ตเรื่องความสำเร็จในองค์กร เพราะยิ่งมีผู้นำที่มีความหลากหลายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งบอกว่าองค์กรให้ความสนใจและเข้าใจคุณค่าเรื่องความหลากหลายมากขึ้นเท่านั้น วิธีการเพิ่มความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น คำถามก็คือเราจะเพิ่มความสามารถในการเข้าใจผู้อื่นได้อย่างไร โดยเฉพาะในสถานที่ทำงานของตัวเอง กับเพื่อนร่วมงานที่เราไม่ได้สนิทชิดเชื้อถึงขั้นที่จะตบหัวลูบหลังกันได้โดยไม่ตะขิดตะขวง คำตอบง่ายๆ คือ ‘รับฟัง’ ‘สงสัย’ ‘อย่าเพิ่งรีบตัดสิน’ โดย Frieda Edgette โค้ชและผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์การบริหารจัดการองค์กร ได้แนะนำสองวิธีการที่ปฏิบัติง่ายใช้งานได้จริงไว้ ดังนี้ วิธีที่หนึ่ง: 3 สิ่งที่เรามีร่วมกัน เริ่มจากพิจารณาใครสักคนที่มีความแตกต่างจากเรา โดยใช้เวลาสั้นๆ เพียง 60 วินาที เขียนลงไปว่าเขาหรือเธอมีอะไรที่คล้ายเราบ้าง เช่น (1) เราทั้งคู่เป็นมนุษย์เหมือนกัน (2) เราทั้งคู่ต้องการจะเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน (3) เราทั้งคู่ต่างต้องการคำยอมรับจากสังคมเหมือนกัน และเมื่อหมด 60 วินาที ลองอ่านลิสต์ของคุณช้าๆ ก่อนถามตัวเองว่า ‘มันทำให้คุณตระหนักถึงอะไรบ้าง?’ และ ‘มันทำให้มุมมองของคุณต่อคนคนคนนั้นเปลี่ยนไปอย่างไร?’ วิธีที่สอง: ทำสิ่งดีๆ 5 อย่างในหนึ่งวัน อาจจะเป็นคำแนะนำเชยๆ แต่การพยายามแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในเชิงปฏิบัติก็อาจสร้างความแตกต่างได้ เช่น การช่วยเหลือคนข้ามถนน ซื้ออาหารให้แก่คนไร้บ้าน ชมเชยเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องของคุณเมื่อพวกเขาทำงานได้ดี หรือแม้กระทั่งการพยายามคุยกับป้าแม่บ้านในออฟฟิศ เป็นต้น ลองทำสิ่งดีๆ เล็กๆ เหล่านี้ 5 อย่างต่อวัน ไม่ต้องเยอะ ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แล้วลองตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นหรือไม่ Creativity: ความคิดสร้างสรรค์ ความหลากหลายทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร? คำตอบคือ นั่นเพราะในฐานะมนุษย์ที่หลากหลาย เราแต่ละคนต่างมองปัญหาและทางออกของปัญหาผ่านมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งนั่นคือกระบวนการคิดแบบ heuristics หรือวิทยาการศึกษาสำนึก ที่มาจากรากภาษากรีกเดียวกันกับคำว่า ยูเรก้า (eureka) ซึ่งหมายถึง ‘ข้าพเจ้าพบแล้ว’ (I ffiind) หรือแปลให้เข้าใจง่ายอีกทีว่า การควานหาทางแก้ปัญหาโดยไม่มีหลักการตายตัว งานรีเสิร์ชมากมายอย่างน้อย 108 ชิ้นยืนยันว่า ความหลากหลายเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากสำหรับนวัตกรรมใหม่ๆ ศาสตราจารย์ รอน เบิร์ต แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ได้รวบรวมการทดลองจากการสังเกตที่บ่งบอกว่าผู้คนที่มีประสบการณ์หรือภูมิหลังที่แตกต่างของข้อมูล สามารถสร้างไอเดียที่ดีกว่าอย่างสอดคล้องกัน—แล้วเหตุผลสำคัญของผลลัพธ์เหล่านี้ที่ก่อตัวจากความหลากหลาย ประสบการณ์ และมุมมองที่แตกต่างทำงานอย่างไร? ความสัมพันธ์กับคนต่างวัฒนธรรม การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความแตกต่างทางวัฒนธรรมพบว่า การติดต่อกันบ่อยครั้งระหว่างเพื่อนจากอีกหนึ่งวัฒนธรรมมักก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ระหว่างบุคคล โดยผู้เขียนการวิจัยนี้ได้สรุปว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน หรือกระทั่งความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ โดยการเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมอื่นๆ ที่สะดวกสบายขึ้นผ่านความสัมพันธ์” ซึ่งพวกเขาแนะนำว่ากลไกของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ก็คือ ‘ความยืดหยุ่นทางใจ’ ที่สอดคล้องกับการปฏิสัมพันธ์กับคนที่มาจากวัฒนธรรมอื่น หรือเรียกอีกอย่างว่าการ ‘ลดอีโก้’ นั่นเอง การแชร์ความรู้คือคีย์สำคัญ คำเตือนคือ ไม่ว่าจะมีความหลากหลายมากมายเพียงใดในสถานที่ทำงาน ความหลากหลายเพียงลำพังก็ไม่สามารถทำให้เกิดการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้ จนกว่าเราจะทำให้เกิดวัฒนธรรมการแชร์ความรู้ในองค์กร โดยมีงานวิจัยเกี่ยวกับบริษัทโซเชียลเน็ตเวิร์กแห่งหนึ่งที่พบว่า ปริมาณความคิดสร้างสรรค์ที่สูงกว่าจะเกิดขึ้นในกลุ่มการทำงานที่มีการเชื่อมต่อเข้าหากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบุคลากรที่มีความคิดสร้างสรรค์และไอเดียด้านการลงทุนเป็นศูนย์กลางของทีมนั้นๆ เพิ่มความเข้าใจที่มากกว่า การเพิ่มทีมงานที่หลากหลายเข้ามาในกระบวนการคิดวิเคราะห์ มักเพิ่มความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการคิดงานหนึ่งๆ สำหรับกลุ่มเป้าหมาย การเข้าใจว่าในโลกทุกวันนี้เรามีผู้คนที่มีวัฒนธรรม สีผิว หรือความเชื่อที่แตกต่าง คือหัวใจสำคัญในการควานหา insight ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนวัตกรรมหรือความคิดสร้างสรรค์ ก็เหมือนกับที่ไนกี้ได้ออกแบบฮิญาบสำหรับนักกีฬาหญิงมุสลิม ซึ่งมีคุณสมบัติเบาสบาย หายใจได้ไม่ติดขัดแม้ครอบไว้ทั้งศีรษะ นั่นเพราะพวกเขาควานหา insight จากความหลากหลายในทีมงานของตน และพยายามทำความเข้าใจมันนั่นเอง Productivity: ความสามารถในการผลิต “การมีคนทำงานที่หลากหลายกว่าหมายถึงคุณจะมีทักษะที่หลากหลายมากกว่า” นั่นคือคำยืนยันของ Sara Ellison หนึ่งในผู้วิจัยจาก MIT economist เอาเฉพาะแค่จำนวนความแตกต่างทางเพศในทีม ก็มีตัวเลขการสำรวจยืนยันว่าทีมทำงานที่มีจำนวนเพศหญิงและเพศชายเท่ากัน จะสามารถเพิ่มผลกำไรได้มากถึง 41% ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งเรื่องทักษะความเข้าใจในมนุษย์และความคิดสร้างสรรค์ที่เราได้กล่าวไปแล้วก็คือปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ผลผลิตครอบคลุมกับความต้องการของผู้ใช้ที่แตกต่าง ในรอบปี 2018 ที่ผ่านมา กระแสการออกแบบสินค้าให้ครอบคลุมความต้องการของผู้คนที่หลากหลาย ตามหลัก Universal Design นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ Gregg C. Vanderheiden ไดเร็กเตอร์จาก Trace Research and Design Center แห่ง University of Wisconsin-Madison แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Universal Design ไว้ว่า “คือกระบวนการผลิตสินค้า ทั้งอุปกรณ์ สภาพแวดล้อม ระบบ วิธีการที่พร้อมใช้งาน และมีประโยชน์ต่อผู้คนในขอบเขตที่กว้างที่สุด” นี่คือกระแสโลกที่กำลังเป็นไป เพราะเราคือสัตว์สังคมที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งในโลกที่เราใกล้กันมากขึ้นด้วยอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี เราก็จะมีโอกาสที่จะเจอกับผู้คนที่แตกต่างทั้งทางภาษา ความเชื่อ เผ่าพันธุ์ และวัฒนธรรมมากขึ้นในทำนองเดียวกัน จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่หนังเข้าชิงออสการ์อย่าง Black Panther จะใช้นักแสดงเป็นคนผิวสีเกือบทั้งหมด เพื่อประกาศว่าโลกนี้ไม่ได้มีเพียงพื้นที่ของคนผิวขาว และไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ความหลากหลายจะกลายเป็นหนึ่งในโมเดลทางธุรกิจที่ทำให้แบรนด์เครื่องสำอาง Fenty Beauty ของนักร้องสาวริฮันนา รับเงินถล่มทลายถึง 100 ล้านดอลลาร์ฯ หลังเปิดตัวได้เพียง 40 วัน เนื่องจากสินค้าของเธอถูกออกแบบมาเพื่อตอบรับกับสเปกตรัมสีผิวของคนที่หลากหลาย จนกลายเป็นกระแส Fenty Effect ที่ส่งผลครั้งใหญ่ต่อทิศทางของโลกธุรกิจที่พยายามไล่ตะครุบสิ่งที่ความหลากหลายสามารถมอบให้ ทั้งหมดนั้นเริ่มต้นจากทักษะความเข้าใจในมนุษย์คนอื่น (empathy) จนเกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ซึ่งนำไปสู่นวัตกรรม สินค้า และความเป็นไปได้ใหม่ๆ (productivity) สุดยอดผลิตภัณฑ์ที่ตระหนักถึงความหลากหลายเป็นสำคัญ Xbox Adaptive Controller จอยเกมส์จากค่าย Microsoft ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2018 ที่ออกแบบมาเพื่อผู้พิการ โดยออกแบบมาให้ผู้พิการซึ่งมีการเคลื่อนไหวร่างกายจำกัดควบคุมเกมได้อย่างอิสระ ด้วยมุ่งหมายจะกระจายความเพลิดเพลินของการเล่นเกมไปสู่คนทุกกลุ่ม โดยไอเดียนี้ถูกพัฒนามาจากการระดมไอเดียแบบ hackathon ซึ่งก็ใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของผู้คนจนเกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ นั่นเอง OXO Kitchen Tool OXO เป็นบริษัทดีไซน์เครื่องครัวสำหรับทั้งเด็กและคนแก่ ทั้งชายและหญิง ทั้งคนที่ถนัดซ้ายและขวา ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการในการใช้งานที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น เครื่องปั่นสลัดมือเดียวที่เอื้อประโยชน์ให้คุณไม่จำเป็นต้องก้มตัวเพื่อจะอ่านมาตรวัดขนาดถ้วยอีกต่อไป Billie
มีดโกนสำหรับผู้หญิงในแพ็กเกจดีไซน์สวย ที่ออกแบบมาลบล้าง ‘ภาษีสีชมพู’ (pink tax) ที่มีการสำรวจไปเมื่อปี 2016 โดยนิตยสาร ไทม์ และพบว่า ในขณะที่ผู้ชายจ่ายราคามีดโกนในราคาหนึ่ง แต่ผู้หญิงกลับต้องจ่ายมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า เพียงเพราะดีไซน์สีชมพูที่ออกแบบมาจับกลุ่มตลาดผู้หญิงเท่านั้น ทั้งๆ ที่วัสดุหรือฟังก์ชันการใช้งานก็ไม่แตกต่างกัน แถม Billie ยังได้ปล่อยโฆษณาที่เรียกเสียงฮือฮา โดยการฉายภาพผู้หญิงโกนขนของตัวเองแบบเรียลๆ เพื่อบอกว่าการมีขนนั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม Foxleaf Bra
บราเพื่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ที่ออกแบบโดยเภสัชกรอย่าง Sara da Costa จาก Central Saint Martin ร่วมมือกับ Ipsita Roy ด้วยเล็งเห็น insight ที่ว่า ผู้หญิงมากถึง 40% ไม่สามารถทนกับการกินยาทางปากได้ โดยทั้งคู่ได้ออกแบบผืนผ้าชนิดพิเศษรูปใบไม้ที่จะทำให้ผิวหนังซึมซับยาทาม็อกซิเฟน หรือฮอร์โมนรักษาโรคมะเร็งเต้านมผ่านทางตาข่ายขึ้นมา ซึ่งข้อดีอีกประการก็คือผู้ใช้สามารถซักผ้าบราของตนได้อย่างปกติอีกด้วย #RESPECTTHEDIFFERENCE ด้วยเชื่อว่า ‘ความหลากหลาย’ จะนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นไปได้ นวัตกรรมใหม่ๆ และความเข้าใจต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่น ดีแทค องค์กรด้านการสื่อสารโทรคมนาคมอันดับต้นของประเทศไทย จึงร่วมมือกับ a day BULLETIN ผลักดันแคมเปญ เพื่อเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของความหลากหลาย ไม่ว่าจะมีเพศ สีผิว เชื้อชาติ มีความเชื่อ หรือมีสถานะทางสังคมแบบใด การอยู่ร่วมกันด้วยการเคารพความหลากหลายของผู้อื่นคือหนทางที่จะนำไปสู่สังคมที่ดีกว่า เราจึงขอเรียนเชิญผู้อ่านทุกคนร่วมเรียนรู้ในการเคารพความหลากหลายของผู้อื่น ด้วยการประกอบบางส่วนของใบหน้าของคุณเข้ากับใบหน้าของคนอื่น เพื่อยืนยันว่า ไม่ว่าจะแตกต่างกันอย่างไร เราต่างเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ผ่าน respectthedifference.adaybulletin.com อ้างอิง:
|