การออกแรงกายเพื่อให้หัวใจแข็งแรงนั้น คือ การออกกำลังเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน หลักในออกกำลังกายยึดตามหลัก “ F I T T ” ของ ACSM (American College of Sports and Medicine) Show
ขั้นตอนการออกกำลังกาย ประกอบด้วย 3 ส่วน ที่สำคัญ
นอกจากหลักการและขั้นตอนการออกกำลังกายที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงขณะออกกำลังกาย คือ อาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นขณะออกกำลังกาย ได้แก่ เวียนศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน หายใจไม่สะดวกหรือหายใจเร็วเกินไป เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น เหงื่อออกมากผิดปกติ มือเท้าเย็นซีด เมื่อเกิดอาการเหล่านี้ควรงดออกกำลังกายทันที หมายถึง การเคลื่อนไหวของร่างกายที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อลายและการหดตัวนี้ต้องมากพอที่จะทำให้มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยความแตกต่างระหว่างการออกกำลังกายและกิจกรรมทางกาย คือ การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทางกาย โดยการออกกำลังกายเป็นกิจกรรมทางกายที่มีลักษณะทำซ้ำไปซ้ำมาตามโครงสร้าง หรือแบบแผนกิจกรรมที่ได้กำหนดไว้แล้ว ทั้งนี้มักมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะปรับปรุงสมรรถนะทางกายให้ดีขึ้นหรือคงสภาพสมรรถนะที่มีอยู่เอาไว้ มีระดับความหนักและมีการเคลื่อนไหวนานเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพ องค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น องค์กรอนามัยโลก (WHO) สถาบันเวชศาสตร์ (IOM) สถาบันเวชศาสตร์การกีฬาแห่งอเมริกา (ACSM) สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (AHA) และสมาคมโรคเบาหวานแห่งอเมริกา (ADA) แนะนำให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นโรค ควรออกกำลังกายในระดับปานกลางอย่างน้อย 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นเวลา 30-60 นาที/ครั้ง เพื่อที่จะได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้นประโยชน์ของการออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอในปริมาณที่มากพอจะทำให้มีสุขภาพดี ป้องกันโรคเรื้อรังได้ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง นอกจากนั้น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังทำให้ป้องกันโรคซึมเศร้า ช่วยให้จิตใจแจ่มใสขึ้น ลดความเครียดจากชีวิตประจำวันด้านระบบไหลเวียนเลือดการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยทำให้ชีพจรขณะพักลดลง ร่างกายมีความสามารถในการจับออกซิเจนมากขึ้น และการออกกำลังกายที่มีแรงต้านจะช่วยเพิ่มมวลกระดูกในเด็กและวัยรุ่นหรือช่วยชะลอทำให้มวลกระดูกลดลงช้ากว่าคนทั่วไป ทำให้ร่างกายมีรูปร่างดีขึ้น การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ หมายถึงการออกกำลังกายที่ส่งเสริมให้มีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นโดยเน้นการฝึกออกกำลังกาย 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. การออกกำลังกายแบบเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Training) การออกกำลังกายแบบเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (ACSM, 2010) หมายถึงการออกกำลังกายที่มุ่งเพิ่มขนาดและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดใดมัดหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำไปทีละกลุ่มกล้ามเนื้อ อาศัยแรงต้านต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อเป็นตัวช่วย วิธีออกกำลังกายชนิดนี้เช่นการยกน้ำหนัก (Weight Training) โดยอาจจะใช้ตัวเองเป็นน้ำหนักเช่นการดันพื้น หรือใช้อุปกรณ์เช่น บาร์เบลเป็นน้ำหนัก เป็นต้น คำแนะนำการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจาก วิทยาลัยเวชศาสตร์การกีฬาแห่งอเมริกัน และสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกัน (ACSM and AHA, 2007) ได้แนะนำให้ทุกคนออกกำลังกายแบบสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อวันละอย่างน้อย 10 ท่า แต่ละท่าทำซ้ำ 15 ครั้ง สัปดาห์หนึ่งอย่างน้อย 2-3 วัน 2. การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (ACSM, 2010) เป็นการฝึกความอดทนของระบบไหลเวียนเลือดและหายใจ เป็นส่วนประกอบที่ทำให้ร่างกายสมดุล คือความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ทำซ้ำๆ กับ ความหนัก ปานกลาง-สูง ในระยะเวลานานต่อเนื่องกัน เพื่อยกระดับอัตราการเต้นของหัวใจและการทำงานของปอดให้สูงขึ้นที่ระดับความหนักที่เหมาะสมเรียก “overload” การฝึกความอดทนของระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจ ด้วยความหนักที่เหมาะสม จะช่วยทำให้ระบบ การทำงานระหว่างหัวใจและปอดมีการปรับตัว โดยมีการพัฒนาการส่งออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อที่ทำงาน และพัฒนาการใช้พลังงานในกล้ามเนื้อมัดต่างๆ คำแนะนำการฝึกแบบแอโรบิก จากวิทยาลัยเวชศาสตร์การกีฬาแห่งอเมริกัน และสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกัน (ACSM and AHA, 2007)ได้วิเคราะห์หลักฐานวิทยาศาสตร์แล้วจัดทำคำแนะนำการออกกำลังกายสำหรับคนทั่วไป ซึ่งมีสาระสำคัญว่าทุกคนควรได้ออกกำลังกายแบบต่อเนื่องให้ได้ถึงระดับหนักปานกลาง ซึ่งทราบจากการที่หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือเหงื่อออกอย่างน้อย 30 นาที/ครั้ง สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 วัน หรือ ถ้าจะออกกำลังกายระดับหนักมากอย่างน้อย 20 นาที/ครั้ง สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 วัน ในกรณีที่จะออกกำลังกายแบบสั้นๆแล้วเอามานับต่อกันก็ทำได้ แต่ต้องได้ความหนักถึงระดับปานกลาง และออกต่อเนื่องกันได้นานอย่างน้อยครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 นาที 3. การออกกำลังกายแบบเสริมสร้างความอ่อนตัว (Flexibility Exercises) การออกกำลังกายแบบเสริมความอ่อนตัว (ACSM, 2010) มีหลักพื้นฐานคล้ายกับการบิดขี้เกียจ เช่น การทำกายบริหาร การฝึกโยคะ การรำมวยจีน เป็นต้น ความอ่อนตัว เป็นองค์ประกอบสำคัญของการออกกำลังกาย และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายในการออกกำลังกายสูงสุด มีหลักฐานการยืนยันที่แสดงถึงการฝึกยืดกล้ามเนื้อเพื่อการผ่อนคลาย และช่วยเพิ่มองศาของการเคลื่อนไหวของข้อต่อได้ดีขึ้น (Range of Motion) รวมทั้งยังช่วยเพิ่มความสมดุลของกล้ามเนื้อ เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหว ช่วยลดอัตราการบาดเจ็บสำหรับการทำกิจกรรมบางอย่าง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นกีฬาให้ดีขึ้นดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในการเอาการฝึกความอ่อนตัวเข้าไปไว้ในโปรแกรมการออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่การบาดเจ็บที่เกิดจากการตึงตัวและการยืดติดของกล้ามเนื้อ การยืดกล้ามเนื้อก็สามารถที่จะช่วยลดและป้องกันมิให้เกิดอาการเหล่านั้นลงได้ การกำหนดโปรแกรมออกกำลังกาย การกำหนดโปรแกรมออกกำลังกาย (Exercise Prescription) หมายถึง การวางแผนการออกกำลังกายให้กับผู้ต้องการจะเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้นหรือผู้ที่ต้องการจะฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาดำรงชีวิตได้อย่างปกติ (ACWM,2010) การวางแผนการออกกำลังกายนั้นจะถูกกำหนดโดยผู้เชี่ยวชาญการออกกำลังกาย (Exercise Specialist) โดยมีจุดประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับผู้ออกกำลังกายในแต่ละบุคคล ซึ่งในแผนการออกกำลังกายนั้นจะต้องคำนึงถึงข้อจำกัดต่างๆของผู้ออกกำลังกายให้ได้ประโยชน์มากที่สุด และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการออกกำลังกาย การวางแผนการออกกำลังกายนั้นจะต้องยึดหลักปฏิบัติในการออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ออกกำลังกายมีความมุ่งมั่นปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย หลักการออกกำลังกาย ร่างกายมนุษย์มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาเพื่อความเจริญเติบโตและรักษาสภาพการทำงานที่ดีเอาไว้ การที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของสมรรถภาพทางกายหรือสุขภาพ แต่ยังเป็นสาเหตุของความผิดปกติของร่างกายและโรคร้ายหลายชนิดที่ป้องกันได้ ซึ่งเป็นโรคที่เป็นปัญหาทางการแพทย์ที่พบมากในปัจจุบัน ในทางการแพทย์ การออกกำลังกายอาจเปรียบได้กับยาสารพัดประโยชน์ เพราะใช้เป็นยาบำรุงเป็นยาป้องกันและเป็นยาบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสภาพร่างกาย แต่การที่ได้ชื่อว่ายาแล้วไม่ว่าจะวิเศษเพียงไรก็จะต้องใช้ด้วยขนาดหรือปริมาณที่เหมาะสมกับคนแต่ละคน ในคนที่ใช้โดยไม่คำนึงถึงขนาดหรือปริมาณที่เหมาะสม นอกจากอาจไม่ได้ผลแล้วยังอาจเกิดโทษจากยาได้ด้วย การออกกำลังกายให้เกิดประโยชน์แก่สุขภาพคือ การจัดชนิดของความหนัก ความนาน และความบ่อยของการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศ วัย สภาพร่างกาย สภาพแวดล้อม และจุดประสงค์ของแต่ละคน ในการออกกำลังกายแต่ละครั้งเพื่อให้ผู้ออกกำลังกายได้ประโยชน์สูงสุด ควรยึดหลักปฏิบัติตามหลัก “FITT” F = Frequency (ความบ่อยหรือความถี่ของการออกกำลังกาย) ความเหมาะสมในการออกกำลังกายในหนึ่งสัปดาห์นั้น ควรออกกำลังกายประมาณ 3-5 วัน/สัปดาห์และควรมีวันพักผ่อนสัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 1 วัน เมื่อร่างกายแข็งแรงแล้วจึงค่อยๆเพิ่มจำนวนวันขึ้นตามเป้าหมาย I = Intensity (ความหนักของการออกกำลังกาย) ผู้ออกกำลังกายมีความจำเป็นจะต้องทราบว่าควรออกกำลังกายเท่าใด จึงจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและได้ผลดีที่สุด โดยปกติเราจะใช้อัตราการเต้นของหัวใจเป็นตัววัดความหนักของงาน ถ้าเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ อัตราการเต้นของหัวใจของผู้ออกกำลังกายควรอยู่ในอัตรา 60–80 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด หรืออยู่ที่ 40-60% ของชีพจรสำรอง แต่การควบคุมความหนักในการออกกำลังกายสามารถที่จะทำได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะมีความแตกต่างกันออกไป โดยมีวิธีการต่างๆดังนี้ 1.เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด Peak HR: Target HR =HRMax x %intensity desired 2.เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นหัวใจสำรอง HR reserve: Target HRR = [(HRMax-HRrest )x %intensity desired] + HRrest 3.เปอร์เซ็นต์ของสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุด Peak Vo2: Target Vo2 =Vo2Max x %intensity desired 4.เปอร์เซ็นต์ของสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสำรอง Vo2 reserve: Target Vo2R = [(Vo2Max-Vo2rest )x %intensity desired] + Vo2rest 5.เปอร์เซ็นต์ความหนักสัมบูรณ์ Peak MET: Target MET = METpeak x %intensity desired ถ้าเป็นการฝึกกล้ามเนื้อ ควรหาความหนักจากค่า 1 RM (ปริมาณการยกน้ำหนักของกล้ามเนื้อมัดใด มัดหนึ่ง ได้เพียงครั้งเดียวและไม่สามารถยกได้อีก= 100%) การหาค่า 1RM นั้นมีความเสี่ยงหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ ที่ผู้ฝึกต้องใช้น้ำหนักปริมาณมากที่สุด เพื่อที่จะฝึกให้ได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นจึงควรใช้โปรแกรมคำนวณ เพื่อเลี่ยงการบาดเจ็บของผู้ฝึก แล้วนำค่า 1RM มากำหนดความหนักในการฝึก ความอดทน ความแข็งแรง และพลังของกล้ามเนื้อ ตามหลักการของนักวิชาการแต่ละท่าน T = Time (เวลาของการออกกำลังกาย) ในการออกกำลังกายแต่ละครั้ง โดยทั่ว ๆ ไปควรใช้เวลาอย่างน้อย 20 –60 นาที/ครั้ง แต่สำหรับบุคคลที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายสามารถออกกำลังกายโดยแบ่งเวลาเป็นช่วงๆได้ โดยคำแนะนำของ ACSM (2010) แนะนำให้ออกกำลังกายสะสมอยู่ที่ประมาณ 150 นาที/สัปดาห์ และสำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วน เมื่อสมรรถภาพร่างกายดีแล้วควรออกกำลังกายสะสมให้ได้อย่างน้อย 60 นาที/วันหรือ 250 นาที/สัปดาห์ T = Type (ชนิดของการออกกำลังกาย) โดยทั่วไปการออกกำลังกายจะต้องคำนึงถึงการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ความต่อเนื่องของกิจกรรม และความเป็นจังหวะ ความเหมาะสมของแต่ละ เพศ วัย และสภาพทางร่างกายของทุกคน การฟื้นฟูทางร่างกาย การเจ็บป่วยและบกพร่องทางกาย ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ชนิดของกิจกรรม เช่น วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน กระโดดเชือก ว่ายน้ำ แอโรบิค แด๊นซ์ ฯลฯ ขั้นตอนการออกกำลังกาย 1. การอบอุ่นร่างกายหรือการอุ่นเครื่อง (warm up)
เป็นการเตรียมกล้ามเนื้อ เอ็น และเอ็นข้อต่อของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่จะรับการออกกำลังกาย ทำให้ไม่เกิดการบาดเจ็บขึ้นเมื่อเราเริ่มออกกำลังกาย ช่วงนี้ก็ใช้เวลา 5-10 นาที 2. ช่วงของการออกกำลังกาย (training zone exercise) ช่วงนี้ก็คือช่วงของการออกกำลังกายโดยสามารถเลือกได้เช่น แบบแอโรบิค กิจกรรมได้แก่ ว่ายน้ำ วิ่ง ก็ควรมีความหนักเพียงพอคือให้หัวใจเต้นประมาณ 60-80 % ของชีพจรสูงสุด หากเลือกการฝึกด้วยแรงต้าน หากเพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกายก็ควรฝึกท่าละประมาณ 15 ครั้ง เซต เล่น 2-3 เซตต่อท่าก่อนและค่อยเพิ่มความหนักเข้าไปตามเป้าหมาย หรือหากอยากฝึกแบบความอ่อนตัว ก็ควรมีการยืดเหยียดที่เหมาะสม โดยกิจกรรมช่วงนี้ควรใช้เวลา 30 นาทีขึ้นไป ตามความสามารถหรือเป้าหมายในการออกกำลังกาย 3. การปรับสภาพร่างกาย (cool down) หลังการออกกำลังกายเป็นการปรับสภาพร่างกายจากการออกกำลังกายมาเป็นสภาพปกติ ถ้าเราหยุดทันที ก็อาจเกิดอันตรายได้ เพราร่างกายปรับตัวไม่ทัน เนื่องจากปริมาณเลือดของร่างกายส่วนใหญ่จะไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกาย หากหยุดออกกำลังกายทันทีทันใดจะทำให้เลือดที่ไหลเวียนกลับสู่หัวใจน้อยลงโดยเลือดจะคั่งค้างอยู่ที่กล้ามเนื้อที่ออกแรง ควรใช้เวลา 5-10 นาทีในการปรับสภาพร่างกาย ค่อยๆลดงานให้ชีพจรลงจนเป็นปกติและต่อเนื่องด้วยการยืดกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกายแบบนิ่งอยู่กับที่ (Static stretching)เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกายและช่วยลดอาการตึงหรือเกร็งของกล้ามเนื้อและจะเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายและสามารถป้องกันการบาดเจ็บได้ การยืดเหยียดขั้นตอนนี่ควรแตกต่างจากการเริ่มต้นออกกำลังกายเล็กน้อย คือควรยืดเหยียดแบบอยู่กับที่ เพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายที่สุด เอกสารอ้างอิง คู่มือแนวทางการดูแลผู้ที่น้ำหนักเกินและอ้วน(2558). กรุงเทพมหานคร: เครือข่ายคนไทยไร้พุง ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย, 2558. มนัส ยอดคำ. (2548). สุขภาพกับการออกกำลังกาย. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮาส์. ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์ และ กุลธิดา เชิงฉลาด. (2544). ปทานุกรมศัพท์กีฬา พลศึกษาและวิทยาศาสตร์การกีฬา. กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. American College of Sport Medicine. (2009). Position stand: Approriate Physical Activity intervention strategies for weightloss and prevention of weight regain for adults Med. Sci. Sports Exercise. (Vol.41, No2, P.459-471) American College of Sports Medicine and American Heart Association. (2007). Physical activity and public health: Updated recommendation for adults. Med. Sci. Sports Exercise. American Council on Exercise. (2010). Certified personal trainer [Level 1]. ผู้เขียน: ศุภนิธิ ขำพรหมราช(อ.ป๊อป) อาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และผู้ก่อตั้ง POP Fitness Studio
|