คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีมีบทบาทในชีวิตคนเรามากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากแนวโน้มของเทคโนโลยี 7 ประเด็นที่กำลังเป็นเทรนด์ และหลายอย่างก็เริ่มกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน หรือ new normal ในชีวิตเราไปแล้ว Show 1. การที่ชีวิตเราถูกแวดล้อมไปด้วยคอมพิวเตอร์ (Ubiquitous Computing) จากเดิมที่คอมพิวเตอร์ (หรือสมัยนั้นคือ mainframe) มีขนาดใหญ่ ราคาแพง เมื่อพูดถึงคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบัน จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งที่มีหน้าตาเหมือนคอมพิวเตอร์ในอดีตอีกต่อไป ระบบคอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานที่หลากหลายขึ้น เช่น มีระบบคอมพิวเตอร์และการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในนาฬิกาเกิดเป็นนาฬิการูปแบบใหม่ที่เรียกว่า smart watch ที่สามารถนับจำนวนก้าวเดินหรือเก็บบันทึกข้อมูลสุขภาพของเราได้ หรืออาจแฝงมาในรูปนวัตกรรมอย่าง NEST ซึ่งเป็น thermostat ที่ใช้ machine learning เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า โดยมี sensor เพื่อจับพฤติกรรมการใช้งานของคนและปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมตามได้ หรือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่อยู่กับขวดยา 2. การใช้ข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจ (Data Driven) ทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่เข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายมาก และหลายครั้งที่คนเราใช้ชุดข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจต่างๆ เทคโนโลยีเองก็ถูกออกแบบมาเพื่อให้ตอบสนองต่อพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของเราเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ซื้อของออนไลน์ชื่อดังอย่าง amazon ก็จะมี suggested list ที่คัดสินค้าในหมวดที่น่าจะถูกรสนิยมโดยประมวลเอาจากพฤติกรรมการค้นหารายชื่อหนังสือและการซื้อหนังสือที่ผ่านมา หรืออย่าง HealthMap ที่เป็น platform ในการดึงข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดจากแหล่งต่างๆ ทั้งจากแหล่งข้อมูลที่เป็นทางการ เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) หรือแหล่งข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ เช่น การรายงานจากพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ข้อมูลจากข่าว แล้วนำข้อมูลมา plot ลงใน map และแสดงผล โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมโยงกับแอพพลิเคชั่น เพื่อตรวจเช็คข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดในแต่ละพื้นที่ก่อนเดินทางได้ 3. ความเกี่ยวพันระหว่างหุ่นยนต์และมนุษย์ การเติบโตของวิวัฒนาการด้านหุ่นยนต์ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ เแนวโน้มหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ การที่ตำแหน่งงานหลายตำแหน่งในบริษัทหรือโรงงานขนาดใหญ่กำลังถูกแทนที่ด้วยแรงงานจักรกล เช่นที่เกิดกับบริษัท FoxConn ซึ่งเป็นบริษัทที่รับจ้างผลิตให้กับบริษัท Apple โดยในเดือนพฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา มีการแทนที่พนักงานกว่า 50% หรือ 60,000 คน ด้วยการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในการผลิต ซึ่งหลายๆบริษัทที่มีโรงงานวางแผนไม่ว่าจะเป็นบริษัท CP ของไทย หรือ บริษัทกูลิโกะ ก็มีแนวโน้มที่จะนำเทรนด์ดังกล่าวไปปรับใช้ในอนาคตอันใกล้นี้เช่นกัน อีกเแนวโน้มหนึ่งที่กำลังเติบโต คือ การนำหุ่นยนต์มาใช้อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น เช่นในประเทศญี่ปุ่นที่มีปัญหาเรื่องสังคมผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันก็มีปัญหาขาดแคลนแรงงานวัยหนุ่มสาวที่จะมาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล จึงเป็นที่มาของการพัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ที่ช่วยในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ขึ้นมาทำหน้าที่ทดแทนการจ้างคน หรือแม้แต่เทคโนโลยีอย่างเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติประจำบ้านที่ก็เป็นหุ่นยนต์เช่นกัน 4. Crowdsourcing and Sharing Economy ปัจจุบันองค์ความรู้ ทักษะ หรือธุรกิจต่างๆไม่สามารถผูกขาดได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง เทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการผูกขาดดังกล่าวด้วย platform ต่างๆที่เอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยน resource และทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปได้ง่ายขึ้น พร้อมไปกับการขยายตัวของเทรนด์ sharing economy ก็ทำให้เกิดบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ยกตัวอย่างเช่น บริษัท UBER ที่เกิดขึ้นเพื่อเข้ามาตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมือง โดยเชื่อมโยงระหว่างปัญหาการหาแท็กซี่ยากและการที่คนชนชั้นกลางที่มีรถยนต์ส่วนตัวอยากหารายได้เพิ่มเติม สามารถผงาดขึ้นมาเป็นบริษัทผู้ให้บริการแท็กซี่รายใหญ่ที่สุดได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของรถแท็กซี่สักคันเดียว 5. รูปแบบการสื่อสารใหม่ๆ จากการสำรวจยอดดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่จัดทำขึ้นโดยบริษัท KPCB พบว่าแอพพลิเคชั่นที่ได้รับยอดดาวน์โหลดสูงสุดส่วนใหญ่ คือ แอพพลิเคชั่นที่ใช้เพื่อส่งข้อความพูดคุยกัน ซึ่งเป็นการย้ำให้เห็นว่า ปัจจุบัน วิวัฒนาการด้านการสื่อสารพัฒนาไปมากจากการสื่อสารแบบตัวต่อตัว ไปสู่การโทรศัพท์ ไปสู่การ chat ผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ ไปจนถึงการใช้ youtube หรือการสื่อสารผ่าน siri หรือ chatbot ที่ใช้เทคโนโลยี Q&A ที่ทันสมัยมาทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งสามารถนำมาต่อยอดสู่การนำไปใช้เพื่อจัดทำเป็นแคมเปญรณรงค์ต่างๆทางสังคมได้ แม้แต่อดีต CEO ของ Line อย่างคุณ Akira Morikawa ก็ยังเห็นโอกาสจากแนวโน้มดังกล่าวจนออกมาตั้งกิจการใหม่ของตัวเองชื่อ C Channel ที่จับกระแสการสื่อสารด้วยสื่อวิดีโอผ่าน smartphone มาทำเป็นธุรกิจ โดยจะทำให้คนสามารถใช้ smart phone ของตัวเองถ่ายวีดีโอและนำมาตัดต่อและเผยแพร่สู่สังคมออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว โดยหวังว่า video chat จะเป็นคลื่นลูกใหม่ที่จะมาแทนที่ text chat ซึ่งจะเปลี่ยนกรอบคิดและผลักดันให้ทุกคนสามารถลุกขึ้นมาเป็นสื่อได้ด้วยตัวเอง 6. โลกเสมือน vs โลกจริง กระแส Pokemon Go! ได้ทำให้เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนทั่วไปมากขึ้น AR คือเทคโนโลยีที่เป็นการผสานโลกความเป็นจริงกับโลกเสมือนเข้าด้วยกัน โดยอาศัยการทำงานระหว่าง software ควบคู่กับ device ต่างๆ เพื่อทำให้เกิดภาพเสมือนแบบ real-time ที่แสดงผลแบบสามมิติเกิดขึ้นซ้อนกับภาพจริง และกระแสที่มาแรงไม่แพ้ AR คือ Virtual Reality (VR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผลิตสิ่งแวดล้อมเสมือนจริงขึ้นมาโดยคอมพิวเตอร์และทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในสิ่งแวดล้อมนั้นๆได้โดยที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่ง Mark Zuckerburg ได้ประกาศชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นเทรนด์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น และได้ลงทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว เทคโนโลยี VR สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ในมุมการเรียนรู้ นักศึกษาสามารถเรียนรู้วิธีการทำ Lab แบบเสมือนจริงได้ผ่านการใส่แว่น VR โดยไม่ต้องทำการทดลองจริง 7. การเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยเทคโนโลยี ปัจจุบัน มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนด้วย เช่น application iClip ที่ใช้หลักจิตวิทยาควบคู่ไปกับเทคโนโลยี โดยจะมีการเป็น challenge ต่างๆ เช่น ถ้าผู้เล่นงดการสูบบุหรี่ต่อเนื่องเป็นเวลาตามจำนวนวันที่กำหนด จึงจะสามารถปลดล็อคเกมส์ได้ และผู้ใช้สามารถนำเงินที่ชนะจาก challenge ไปซื้อของได้จริง หรือ GCC (Global Corporate Challenge) ที่เป็นการกระตุ้นให้คนในบริษัทใหญ่ต่างๆรวมทีมกันเพื่อแข่งกันเดินให้มากขึ้น โดยมีการขึ้น rank ระหว่างบริษัทเพื่อกระตุ้นความรู้สึกอยากแข่งขัน คงไม่มีเวลาไหนดีไปกว่าเวลานี้อีกแล้ว ที่เราจะมองเห็นโอกาสในการแก้ปัญหาและพัฒนางาน ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาติดตามกันตอนต่อไปว่า Good Factory ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย สสส. จะร่วมมือและนำเทคโนโลยีมาต่อยอดใช้ในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพอย่างไร การใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหาคืออะไรการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอน โดยใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เพื่อให้การปฎิบัติงานสะดวกรวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำ ในการใช้กระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยแก้ปัญหา จำเป็นต้องปรับรูปแบบวิธีการทำงาน ให้เหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ วิธีแก้ปัญหาด้วย ...
การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญอย่างไรทำให้ได้สารสนเทศที่มีคุณภาพเหมาะแก่การเก็บรักษา ทำให้การจัดการสารสนเทศเป็นไปอย่างราบรื่นคล่องตัว ทำให้การจัดการสารสนเทศสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย ทำให้ได้สารสนเทศที่ดีเพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจ และเผยแพร่ต่อผู้อื่น
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการแก้ปัญหามีข้อดีอย่างไร1. ช่วยให้ติดต่อสื่อสารระหว่างกันอย่างสะดวกรวดเร็ว โดยใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์หรือในรูปของ สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ 2. ช่วยในการจัดระบบข่าวสารจำนวนมหาศาล ซึ่งผลิตออกมาในแต่ละวัน 3. ช่วยให้เก็บสารนิเทศไว้ในรูปที่สามารถเรียกใช้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสะดวก
การใช้กระบวนการแก้ปัญหามีประโยชน์อย่างไร1. การใช้กระบวนการแก้ปัญหามีประโยชน์อย่างไร 1. สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ 2. สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง 3. สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง. เป็นการเลือกเครื่องมือและออกแบบขั้นตอนวิธี. เป็นการตรวจสอบและปรับปรุง. เป็นการทำความเข้าใจกับปัญหาเพื่อแยกข้อมูลออกมา. เป็นการลงมือดำเนินการแก้ปัญหา. |