พระพุทธคุณ Show 1. พระพุทธคุณมีมากสุดพรรณนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า "แม้พระพุทธเจ้าจะพึงพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้า หากไม่ตรัสอย่างอื่นแม้ตลอดกัป 5 กัปก็จะพึงหมดสิ้นไปในระหว่างกาลนาน คุณของพระตถาคตทั้งหลายก็ไม่หมดสิ้น" เพราะในท่ามกลางความทุกข์ในสังสารวัฏนี้ไม่มีใครเลยที่จะชี้แนะหนทางพ้นทุกข์ให้แก่ผู้อื่นได้นอกจากพระพุทธองค์ และการจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้นยากมากประดุจการว่ายข้ามทะเลน้ำทองแดงที่เดือดพล่าน ฉะนั้น การที่พระพุทธองค์ตรัสว่าพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีมากจนไม่อาจจะพรรณนาได้หมดนั้น ไม่ได้เป็นการยกยอ สรรเสริญพระองค์เอง แต่ตรัสตามความเป็นจริง และที่สำคัญพระองค์ทรงหมดกิเลสแล้วย่อมไม่ตรัสความเท็จใด ๆ ทั้งสิ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคลที่สรรเสริญและติเตียนพระรัตนตรัยไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายคนเหล่าอื่นพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือ ชมพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรทำความเพลิดเพลินดีใจ เบิกบานใจในคำชมนั้น" แต่ให้พิจารณาว่า "ในคำที่เขากล่าวชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ แม้ข้อนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และในเราทั้งหลายก็มีข้อนั้น" "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรทำความอาฆาต โทมนั แค้นใจในคนเหล่านั้น แต่ให้พิจารณาว่า ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริงเธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นไม่จริงแม้เพราะเหตุนี้ นั้นไม่แท้แม้เพราะเหตุนี้
จากพระดำรัสนี้ชี้ให้เห็นพุทธประสงค์ว่า การกล่าวถึงคุณของพระรัตนตรัยนั้นต้องกล่าวให้ตรงกับความเป็นจริง แม้มีคนมาชมมา รรเสริญก็ไม่พึงดีใจ ลิงโลดใจ แต่ให้พิจารณาว่าเขากล่าวถูกต้องหรือเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ ถ้าจริงก็ชี้แจงให้เขาเข้าใจด้วยเหตุผลว่าจริงเพราะอะไร หากมีคนมาติเตียน ก็ จริง ๆ แล้วพระองค์ไม่ได้ตรัสถึงพุทธคุณเพียงอย่างเดียว
แต่ยังตรัสถึงข้อผิดพลาดของพระองค์เองในขณะที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ดังที่ปรากฏอยู่ในชาดกต่าง ๆ อีกด้วย มีอยู่หลายชาติที่พระโพธิสัตว์ได้ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เช่น เป็นสุนัข ช้าง ม้า ลิง ราชสีห์ นก กระต่าย โค กระบือ กวาง เป็นต้น และมี หากไม่มองถึงประเด็นที่ว่า ผู้หมดกิเลสแล้วย่อมไม่กล่าวคำเท็จ การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งกล่าวถึงทั้งด้านดีและไม่ดีของตนเองอย่างเปิดเผย มีส่วนดีอะไรบ้าง ก็กล่าวถึง และแม้มีข้อไม่ดีที่เคยทำผิดพลาดหนักมากเพียงใดก็ตาม ก็กล้ากล่าวถึงโดยไม่ปิดบัง คำกล่าวของบุคคลนี้จึงน่าเชื่อถือมากทีเดียว เพราะ
1) อธิบายพุทธคุณบทว่า อรหํ คำว่า อรหํ แปลได้ 2 นัย คือ แปลว่า "ไกล" และ แปลว่า "ควร" นัยแรก คือไกล หมายถึง ไกลจากกิเล กล่าวคือ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ไกล คือ ทรงดำรงอยู่ในพระคุณอันไกลแสนไกลจากกิเล ซึ่งตรงข้ามกับปุถุชนที่ยังอยู่ใกล้ชิดกับกิเลส นัยที่สอง คือ ควร หมายถึง เป็นผู้ควรแก่ปัจจัย 4 และ เป็นผู้ควรได้รับการเทิดทูนบูชาไว้เหนือสิ่งใดทั้งหมด ควรยึดมั่นพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างแล้วตั้งใจปฏิบัติตามพระองค์ 2) อธิบายพุทธคุณบทว่า สมฺมา
สมฺพุทฺโธ คำว่า สมฺมา สมฺพุทฺโธ แปลว่า ตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบ และ ด้วยพระองค์เอง คือ ไม่มีใครสอน หรือนัยหนึ่งว่า ตรัสรู้เองโดยถูกต้อง คำสอนคือพระธรรมนั้นมาจากพระรัตนตรัยในตัวของพระพุทธองค์เอง ไม่ได้มีใครที่ไหนมาดลบันดาลให้รู้ส่วนในศาสนาเทวนิยมนั้นคำสอนหรือความรู้มาจากพระเจ้า ศาสดาเป็นเพียงสื่อกลางในการถ่ายทอดความรู้มาสู่ศาสนิก เช่น พระเยซูกล่าวว่า "เรารู้จักพระเจ้า เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงใช้เรามา... คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของพระองค์ผู้ใช้เรามา" มุฮัมหมัดก็ได้รับคำสอนคือเทวโองการจากพระอัลเลาะห์ใน 3 ทางคือ การดลบันดาลใจให้ทราบ พระองค์มาเข้าฝัน หรือส่งเทวทูตมาบอก ในศาสนายูดายบันทึกไว้ว่า โมเสสพาชาวยิวออกจากอียิปต์ข้ามทะเลแดงเพื่อไปสู่คานาอันหรืออิสราเอลในปัจจุบัน
เมื่อข้ามทะเลแดงแล้วได้เดินทางไปอีก 3 เดือนแต่ยังไม่ถึงคานาอัน ทำให้พวกยิวท้อแท้กระด้างกระเดื่องไม่เชื่อฟังโมเสสและแตกความสามัคคีกัน โมเสสเห็นว่าขืนปล่อยไว้เหตุการณ์จะลุกลามไปใหญ่ จึงขึ้นไปอยู่บนภูเขาซีไนยถึง 40 วัน เมื่อกลับลงมาโมเสสบอกชาวยิวว่า ตนได้ขึ้นไปพบกับพระเจ้า ๆ สั่งให้นำคำสั่งสอนของพระองค์มาให้ชาวยิวทุกคนปฏิบัติ ใครจะขัดขืนไม่ได้ นั่นคือที่มาของบัญญัติ 10 ประการในศาสนายิว ได้แก่ อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา และเรื่องระเบียบ 3)
อธิบายพุทธคุณบทว่า วิชฺชาจรณ สมฺปนฺโน คำว่า วิชชา แปลว่า ความรู้แจ้ง ได้แก่ วิชชา 8 ความรู้แจ้งนั้นเป็นความรู้ที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา ต่างจากความรู้ทั่วไปที่เกิดจากการฟัง การอ่าน หรือ การคิด คำว่า จรณะ แปลว่า ความประพฤติ จรณะนั้นมี 15 ประการ วิชชา 8
ได้แก่
โดยสรุปแล้ว วิชฺชาจรณ สมฺปนฺโน คือ ถึงพร้อมทั้งความรู้ดีและความประพฤติดีนั่นเอง ครูในทางโลกมีจำนวนไม่น้อยที่มีความรู้ดีแต่ความประพฤติไม่ดี เป็นต้นแบบแก่ศิษย์ไม่ได้ คนเหล่านี้ "แนะ" ลูกศิษย์ได้ แต่ไม่สามารถ "นำ" ลูกศิษย์ได้คือไม่อาจประพฤติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีได้ แต่พระสัมมาสัม 4) อธิบายพุทธคุณบทว่า สุคโต นัยแรก ไปดีแล้ว หมายถึง พระองค์ประพฤติดี ทั้งกาย วาจา ใจ ประพฤติ ม่ำเสมอมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ละโลกจากชาตินั้น ๆ แล้วก็ไปสู่สุคติ คำว่า ไปดีแล้ว อีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ดำเนินกาย วาจา ใจ ไปในแนวอริยมรรคมีองค์ 8 นัยที่สอง ไปสู่ที่ดี หมายถึง ไปอยู่สู่แดนอันเกษมกล่าวคือ นิพพาน นัยที่สาม ทรงพระดำเนินงาม เช่น เมื่อครั้งจะทรงพระดำเนินไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ยังป่าอิสิปตนะนั้น ทรงเดินไปด้วยย่างพระบาท มีฉัพพรรณรังสีรุ่งโรจน์ จนแม้แต่ว่าสัตว์ที่มาแลเห็น ก็งงงันหยุดนิ่งตะลึง อย่างนี้เรียกว่าทรงพระดำเนินงาม 5) อธิบายพุทธคุณบทว่า โลกวิทู อีกนัยหนึ่ง โลก หมายถึง ถานที่เป็นที่เกิดที่อยู่แห่งสัตว์ และเป็นที่ซึ่งสัตว์ได้อาศัยก่อกุศลและอกุศล เช่น โลกมนุษย์เป็นที่มนุษย์อาศัยสร้างบุญแล้ว ก็ได้ผลไปบังเกิดใน สวรรค์ หรือบำเพ็ญบารมีแล้วส่งผลไปสู่นิพพาน ถ้าสร้างบาปแล้ว ก็เป็นผลให้ไปเกิดในนรก โลกแบ่งออกเป็น 3 คือสังขารโลกสัตวโลก โอกาสโลก สัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์ ได้แก่ มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม เป็นต้น การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งสัตว์โลก คือ "ทรงรู้อัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย... ทรงรู้จริตทรงรู้อารมณ์ ทรงรู้สัตว์มีธุลีคือกิเลสน้อยสัตว์มีธุลีคือกิเล มากสัตว์มีอินทรีย์กล้าสัตว์มีอินทรีย์อ่อน..." จริตอัธยาศัยนี้เป็นสิ่งที่สัตว์โลกสั่งสมอยู่ในใจมาข้ามภพข้ามชาติ ดังนั้น โดย สรุปแล้วสัตวโลกจึงหมายเอาการหยั่งรู้ใจของสัตว์โลกว่ามีความแตกต่างกันไปนั่นเอง เมื่อจะสอนธรรมก็ต้องสอนให้ตรงกับจริตอัธยาศัยของเขาเหล่านั้น โอกาสโลก หมายถึง ถานที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลาย2 ได้แก่ โลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่รวมทั้งจักรวาลด้วย ดังที่บันทึกไว้ว่า "จักรวาล ชื่อว่าโอกาสโลก" คำว่า จักรวาล ภาษาในปัจจุบันเรียกว่า กาแล็กซีซึ่งเป็นความรู้ที่นักดาราศาสตร์เพิ่งค้นพบเมื่อประมาณ 400 ปีที่ผ่านมา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องจักรวาลและอนันตจักรวาลมากว่า 2,500 ปีแล้ว ดังพระดำรั ที่ว่า "สิ่งที่นับไม่ได้ มีที่สุดที่บุคคลรู้ไม่ได้ 4 อย่าง คือ หมู่สัตว์, อากาศ, อนันตจักรวาล, พระพุทธญาณที่หาประมาณมิได้..." ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ชื่อว่ารู้แจ้งโลก 6) อธิบายพุทธคุณบทว่า อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ตัวอย่างเช่น ชฎิลสามพี่น้องและบริวารซึ่งเคยบูชาไฟมาก่อน พระองค์จึงทรงเทศน์อาทิตตปริยายสูตรว่าด้วยธรรมที่แสดงถึงของร้อนแก่ชฎิลเหล่านั้น จนบรรลุเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมดหรือกรณีพระนันทะ ผู้มีราคะจริต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำท่านไปสู่ภพดาวดึงส์ เพื่อไปดูเทพนารีทั้งหลายและทรงรับประกันว่าหากพระนันทะตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม ถ้าละโลกขณะที่ยังไม่หมดกิเลสก็จะได้นางฟ้าเป็นภรรยา ท่านพระนันทะจึงตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม และสุดท้ายก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ หมดความต้องการด้วยนางฟ้าไปโดยปริยาย 7) อธิบายพุทธคุณบทว่า สตฺถา เทวมนุสสฺสาน พุทธคุณข้อนี้ถือว่าเป็นลักษณะพิเศษที่โดดเด่นอีกข้อหนึ่งในพระพุทธศาสนา เพราะศาสนาเทวนิยมนั้นต่างอ้างเอาเทวดาเป็นที่พึ่งที่ระลึกทั้งสิ้น เช่น
ศาสนาคริสต์นับถือพระเจ้าคือ "พระยะโวาห์ซึ่งเป็นกายทิพย์"ส่วนมุสลิมก็นับถือพระอัลเลาะห์โดยเชื่อว่า "พระอัลเลาะห์มีรูปร่างตัวตน ไม่ใช่เป็นนามธรรมแต่เป็นร่างทิพย์ จึงไม่มีใครสามารถเห็นพระองค์ได้..." คำว่ากายทิพย์คือกายของเทวดานั่นเอง ในศาสนาพราหมณ์ฮินดูนับถือพระพรหมเป็นที่พึ่งสูงสุด และเชื่อกันว่าความเป็นไปของชีวิตขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต แต่ 8)
อธิบายพุทธคุณบทว่า พุทฺโธ คำว่าบานนั้นเปรียบด้วยดอกประทุมชาติ คือบานเหมือนดอกบัวที่บานแล้วเต็มที่ ในช่วงที่พระองค์ทรงประกอบความเพียรอยู่ ยังไม่ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณก็เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังตูมอยู่ แต่เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว จึงเปรียบเสมือนดอกบัวที่บานแล้ว และการที่นำเอาดอกบัวบานมาเทียบความหมายแห่งคำว่าพุทโธนั้น
ก็เพราะเหตุว่าในช่วงปฐมกัปซึ่งมีแผ่นดินตั้งขึ้นใหม่ ๆ มีกอบัวเกิดขึ้นพร้อมทั้งมีดอก 5 ดอก ท้าวสุทธาวาสพรหมหยั่งรู้ว่านี้เป็นนิมิตว่า ในกัปนี้จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสโปรดเวไนยสัตว์ 5 พระองค์ จึงกล่าวคำว่า "นะ, โม, พุท, 9) อธิบายพุทธคุณบทว่า ภควา ที่ว่า หัก นั้น หมายความว่า พระองค์หักเสียได้ซึ่งสังสารจักรกล่าวคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทานกรรมอันเป็นเสมือนตัวจักรที่พัดผันส่งต่อไปยังกันและกัน เป็นกำลังดันให้หมุนเวียนวนว่ายอยู่ในวัฏสงสารมิให้ออกจากภพ 3 พระองค์หักเสียได้แล้ว พระองค์จึงพ้นไปจากภพทั้ง 3 คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เสด็จออกสู่นิพพานไป ที่ว่า แจก นั้นมีความหมายว่า
พระพุทธองค์ทรงแยกย่อยธรรมะออกเป็นข้อเล็กข้อน้อยให้เหมาะสมกับสติปัญญาของผู้ฟัง เปรียบเสมือนการบิขนมหรือการตักข้าวให้พอคำแก่คนกิน เด็กก็ต้องให้คำเล็ก ผู้ใหญ่ก็ตักให้คำโต หรือคนป่วยก็ตักเอาชนิดอาหารเปอย อาหารตุ๋นที่ย่อยง่าย ๆ มาให้ส่วนที่ พระพุทธคุณทั้ง 9 ประการนี้ รุปให้เหลือ 3 ประการได้ดังนี้คือ พระบริสุทธิคุณ, พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ ได้แก่ อรหํ, สุคโต และ พุทฺโธ, พระปัญญาคุณ ได้แก่ สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน และ โลกวิทู พระมหากรุณาธิคุณ ได้แก่ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ และ ภควา หนังสือ GB
101 ความรู้พื้นฐานทางพระพุทธศาสนา พุทธคุณสามมีอะไรบ้างพระพุทธเจ้าทรงพระคุณอันประเสริฐ 3 ประการ คือ พระวิสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ
คุณค่าของพระพุทธคุณคืออะไรบทความนี้มุ่งนำเสนอสาระสำคัญของพุทธคุณ คือพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่เกิดจากการตั้งความปรารถนาอย่างแน่วแน่การบำเพ็ญบารมีมาอย่างต่อเนื่องและ การพัฒนาตนตามหลักอริยมรรคจนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยสรุปมี ๓ ประการ คือพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งแก่นแท้ของพุทธคุณไม่ใช่เรื่องของความขลัง ...
พระพุทธคุณ 3 หมายถึงข้อใดน. คุณของพระพุทธเจ้า ๓ ประการ คือ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณ, คำว่า คุณ มี ๒ ความหมาย คือ คุณความดี หมายถึงความดีของท่าน กับคุณประโยชน์ หมายถึงอุปการะที่ท่านมีต่อเรา, คำว่า พุทธคุณ ก็อาจ...
วิธีการปฏิบัติตนตามพุทธคุณ 3 มีอะไรบ้าง มีความเมตตากรุณา. เคารพในสิทธิและทรัพย์สินของผู้อื่น. สำรวมในกาม. |