นิยาย พ่อเลี้ยง ไร่ จบแล้ว ไม่ติดเหรียญ

ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ แสงเทียนก็ถูกผู้เป็นแม่เลี้ยงตราหน้าว่าเป็น ‘ลูกเมียน้อย’ เพียงเพราะแม่ของเธอเป็นภรรยาคนที่สองของพ่อ! หลังจากมารดาเสียชีวิต หญิงสาวก็อยู่ภายใต้การดูแลของผู้เป็นพ่อ

แต่เพราะถูกตราหน้าว่าเป็นลูกเมียน้อย แสงเทียนจึงเป็นเลือดศิวะพรหมที่ถูกปู่และย่าหมางเมิน มิหนำซ้ำหญิงสาวยังถูกแม่เลี้ยงใจร้าย โขกสับ รับแกสารพัด

แต่แล้โชคชะตาก็พลิกผัน เมื่อสาลีผู้เป็นแม่เลี้ยง ต้องการให้แสงเทียน ‘จับพ่อเลี้ยงธงทิว’ ทำสามีเพื่อรีดเอาเงินสินสอดมาใช้หนี้พนัน แสงเทียนไม่มีทางเลือก เธอจึงจำต้องกัดฟันทนอายทำตามแผนร้ายของผู้เป็นแม่เลี้ยง...

หลังจากแต่งงานกับพ่อเลี้ยงธงทิว ชะตาของแสงเทียนก็เปลี่ยนไป

ถึงจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือแม่เลี้ยงใจร้ายมาได้ แต่ชีวิตคู่ก็มิได้สุขสมหวังอย่างที่วาดหวังไหว เพราะหลังจากผ่านคืนวิวาห์หวานชื่นในช่วงฮันนีมูน แสงเทียนก็ได้รู้เรื่องที่เจ็บปวดว่า พ่อเลี้ยงธงทิวมีผู้หญิงอีกคนซ่อนไว้ และเธอเป็นเพียง ‘เจ้าสาวนอกสมรส’ เท่านั้น!!!

----------------------------

“รู้ไหม พี่มีความสุขที่สุดเลย” ไม่เพียงบอกภรรยา พ่อเลี้ยงธงทิวยังจุมพิตที่ขมับหญิงสาวซึ่งนั่งพิงอกเขาด้วยความรักเต็มเปี่ยมในหัวใจ

หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุข พลางเงยหน้ามองสามีที่มองเธออยู่ก่อนหน้า “พี่ทิวคิดชื่อให้ลูกของเราหรือยังคะ?”

“พี่จะให้ลูกชื่อ ดาวเหนือ เพราะดาวเหนือสุกสว่างเหมือนแสงเทียน พี่ชอบชื่อนี้ ดูเป็นผู้นำดี”

“แล้วถ้าลูกเป็นผู้หญิงละคะ” แสงเทียนไม่วายแย้ง

“ลูกคนแรกของเราต้องเป็นผู้ชายสิ พี่มั่นใจ”

หญิงสาวย่นจมูกใส่ผู้เป็นสามี ไม่ว่าทารกน้อยในครรภ์ของเธอจะเป็นหญิงหรือชาย เธอก็อยากให้เขาลืมตาดูโลกด้วยความรักและความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

“แต่เทียนมั่นใจว่าเทียนได้ลูกสาว”

พ่อเลี้ยงธงทิวมองหญิงสาวด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “ลูกชาย”

“ลูกสาว”

“พี่ว่าลูกชาย”

“แต่เทียนว่าลูกสาว ลูกสาว ลูกสาว”

“เทียนยืนยันซะขนาดนี้ เห็นทีพี่ต้องปั้นใหม่แล้วละมั้ง” บอกแค่นั้นพ่อเลี้ยงหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเบาะนั่งแล้วอุ้มหญิงสาวจนตัวลอยจากพื้น

พ่อเลี้ยงอาคเนย์ เหมวัฒหรือที่ใครๆ ต่างเล่าขานนามว่าเป็นพ่อเลี้ยงเสือที่หล่อ รวย มีอิทธิพล และดุที่สุดในปางไม้อาคเนย์นี้ เผลอๆ ดุที่สุดในปางไม้ภาคเหนือเลยด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นเพราะเขาต้องคุมลูกจ้างนับร้อยๆ ชีวิตที่อยู่ใต้ปกครอง ไหนจะปางไม้อีกไม่รู้กี่พันไร่ เขาลูกโน้นก็ของพ่อเลี้ยงเสือ ไร่นี้ก็ของพ่อเลี้ยงเสือ เขตแดนปางไม้ของพ่อเลี้ยงหนุ่มไม่รู้สิ้นสุดตรงไหน ต่อให้ชี้มือชี้ไม้ไปมั่วๆ ที่ดินเหล่านั้นก็ของพ่อเลี้ยงเสือทั้งหมด นี่ยังไม่รวมไร่ส้มอีกกว่าร้อยไร่ ไร่กาแฟ หรือแม้กระทั่งไร่ชา โรงแรมหรือแม้กระทั่งร้านของฝากก็ยังคงเป็นของพ่อเลี้ยงเสือ ใครที่ได้เป็นเมียพ่อเลี้ยงคงสุขสบายไปทั้งชาติ ต่อให้เธอคนนั้นไม่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แต่ถ้าได้มาเป็นเมียพ่อเลี้ยงเสือล่ะก็ ไม่ต่างจากนอนอยู่บนกองเงินกองทอง เป็นหนูตกถังข้าวสารก็มิปาน

“ผม ไม่ ไป!!”

“ไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ ผมไม่ไปซะอย่าง”

“เพราะป๊าจะให้แกไป”

“เจียร์ไม่ใช่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของป๊าแล้วเหรอ”

จอเจียร์ หรือ เมษา อัครโยธิน ออดอ้อนผู้เป็นพ่อเขาแทบจะกราบแทบเท้าอยู่แล้วเมื่อพ่อบอกข่าวร้ายในช่วงสายของวัน

“แกต้องไปปางไม้อาคเนย์!”

“ป๊า” วันนี้เขาอาจเรียกป๊าเป็นรอบที่ร้อยแล้วแต่ถ้าให้เรียกพันรอบ แลกกับที่เขาไม่ต้องไปใช้ชีวิตลำบากตรากตรำอยู่ที่ปางไม้บ้านนอกนั่น เขายอม

“มีอย่างที่ไหน ใช้เงินเหมือนเทน้ำ ซื้อของอะไรไปตั้งสองล้าน เป็นเด็กเป็นเล็ก เงินก็หาไม่เป็น ดีแต่ล้างผลาญ” เขารู้ว่าที่พ่อบ่นพ่อบ่นไม่จริงจังหรอก เรื่องนี้เขาผิดเขารู้ดี แต่ว่านะ แค่ความผิดแค่นี้ พ่อต้องส่งเขาไปบ้านนอกคอกนาขนาดนั้นเลยหรือไง

“เจียร์ไม่ใช่ลูกป๊าเหรอ แค่สองล้านเอง”

“สองล้านแล้วหาเองเป็นรึไง”

“ปกติป๊าก็ไม่ว่าอะไรเจียร์นี่”

เขาเคยรูดหลักล้านน้อยเสียที่ไหน แต่แค่มันไม่เคยเกินล้านต้นๆ ก็เท่านั้น นี่แค่เกินล้านต้นๆ มาเก้าแสน พ่อก็ด่าอย่างกับว่าเขาฆ่าคนตาย ด่ามาจะเป็นอาทิตย์แล้ว

“ไม่รู้ล่ะแกต้องไป”

“ป๊าแล้วเรื่องเรียนต่อของเจียร์ล่ะ”

“ไปที่นั่นแกก็จัดการเรื่องเรียนต่อของแกได้”

“มันมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตด้วยรึยังไงกัน”

“นี่มันปีไหนแล้ว มันก็ต้องมีสิ”

“แต่เจียร์ไม่อยากไป ป๊าจะให้เจียร์ไปจริงๆ เหรอ”

“ยังไงแกก็ต้องไป ไปสำนึกความผิดของแกซะ ว่าเงินแต่ละบาทมันหามาได้ยากขนาดไหน นี่แกเล่นใช้ไปตั้งสองล้านภายในเดือนเดียว แกคิดว่าเงินมันงอกเหมือนดอกเข็มหน้าบ้านรึยังไง”

“ป๊าก็ไม่ได้จนขนาดนั้นซักหน่อย”

“ถ้าแกใช้เงินแบบนี้ป๊าจะจนซักวัน”

“เว่อร์”

“ป๊าให้ป้านางเก็บของให้แล้ว เหลือแค่แกเอาตัวแกขึ้นรถไปสนามบิน”

“...”

“อ้อ แล้วอย่าคิดว่าจะเปลี่ยนไฟลท์ได้ล่ะ ป๊าอายัดบัตรเครดิตแล้ว วะฮ่าาาา”

“...”

“แกต้องไปอยู่ที่ปางไม้อาคเนย์ เจ้าของเขาเป็นลูกชายของเพื่อนป๊า จำได้มั้ยอาวิฬากับอาแจ่ม แล้วจำพี่เสือได้มั้ยห่างแก6ปี นั่นแล่ะเจ้าของปางไม้อาคเนย์”

จอเจียร์ถอนหายใจเซ็งๆ มีทางไหนที่เขาจะเอาชนะผู้ชายวัยกลางคนคนนี้ได้มั้ยนะ ดักเขาเสียทุกทางขนาดนี้ คอยดูเถอะป๊า ป๊าจะต้องคิดถึงเจียร์

“ไม่ได้เจียร์จำไม่ได้” ถึงจำได้ก็เลือนรางเกินไปเรื่องมันผ่านมาตั้งเกือบ20ปีแล้วใครจะไปจำได้กัน

“มีเงินสดให้หนึ่งหมื่นบาทถ้วน ใช้ให้คุ้มนะเจ้าลูกชาย”

“ป๊าาาา”

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่ใช้เงินสองล้านนั้นหมดภายในเดือนเดียว เขาจะเก็บไว้ใช้เดือนละล้านอย่างน้อยมันก็ยังช่วยยืดเวลาตายให้เขาหน่อย สักนิดก็ยังดี

สนามบินเชียงราย

อากาศเย็นเป็นสิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ จอเจียร์ลูบแขนตัวเองป้อยๆ เพราะเขาไม่คุ้นชินกับอากาศเย็นๆ แบบนี้ปกติที่กรุงเทพร้อนจนลมพิษจะขึ้นแต่พอมาที่นี่กลับเย็นมีลมพัดเบาๆ เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับอากาศแบบนี้สักเท่าไหร่  ฝันไว้เลยป๊าไม่เกินหนึ่งอาทิตย์เขาจะต้องได้รับคำสั่งด่วนให้กลับกรุงเทพฯ แน่นอน เพราะคุณธันวาคงทนเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนลำบากแพ้อากาศเย็นไม่ได้แน่ จอเจียร์ยิ้มเยาะหัวเราะหึๆ

“ฮัลโหล เครื่องลงแล้ว อยู่ไหนอะ”

เขาโทรออกตามเบอร์โทรที่พ่อให้มา ปลายสายชื่ออะไรไม่รู้ไม่ได้สนใจเพราะตอนนั้นกำลังงอนอยู่ เขาไม่ได้อยากจะมาที่นี่ทำไมต้องสนใจเบอร์โทรคนขับรถด้วยล่ะ

“เดินออกมาข้างนอกก็เจอ”

“ข้างนอกข้างนอกไหน คนมีตั้งเยอะแยะ แล้วนายอยู่ตรงไหน เอ๊ะนี่นาย...”

ยังไม่ทันที่จะคุยกันรู้เรื่องปลายสายก็ตัดสายใส่เขาเสียอย่างนั้น กล้าดียังไงมาตัดสายใส่เขา!

จอเจียร์ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เดินไปเดินมาอยู่ที่ประตูทางเข้าสนามบิน เขาไม่รู้ว่าคนขับรถคนนั้นหน้าตายังไง ใส่เสื้อสีอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าชื่ออะไร โถ่เอ้ยยย เขามาทำอะไรที่นี่กันนะ

“โอ้ยยยย!”

“โอ้ยยยย!”

อย่างไม่ทันตั้งตัวจอเจียร์ล้มคว่ำเพราะกระเป๋าเดินทางเจ้ากรรมมันดันไปติดอะไรไม่รู้ลากไม่ไปส่งผลให้เขาก็โดนกระเป๋าถ่วงเอาไว้แล้วล้มคว่ำไปตามๆ กัน ส่วนอีกเสียงนั้นก็เป็นของ...

“เดินภาษาอะไรของนาย ไม่มีตารึไง!”

แหม ยังไม่ทันที่เขาจะลุกเลยเครื่องด่าของหมอนั่นก็ทำงานเสียแล้ว ไม่ยักรู้ว่าแค่โดนเขาชนล้มมันดันทำให้ต่อมมารยาทของหมอนี่ไม่ทำงานซะอย่างนั้น

“นี่คุณ ลุกก่อนค่อยด่าก็ได้นะ”

เขาพยายามลุกขึ้นด้วยความทุลักทุเล ใช่ว่ามันจะง่ายเสียที่ไหนในเมื่อตอนนี้ทั้งเขาและเครื่องด่านี่พันกันราวกับงูรัดกระต่าย

จอเจียร์ลุกขึ้นมาได้พร้อมกับเครื่องด่าอัตโนมัติที่กำลังจะเปิดปากด่าเขาอีกรอบ

“อ๊ะๆ อย่าพึ่งด่า เมื่อกี๊เราไม่ได้ตั้งใจ ก็ขอโทษละกันนะ” ว่าก็ว่าเถอะนะเครื่องด่าอัตโนมัติข้างหน้าเขานี่ก็หล่อเหลาเอาการเลย เสียก็แต่ว่าปากเร็วไปหน่อย

“เดินก็หัดมองทางบ้างสิ เอาแต่มองโทรศัพท์ มันช่วยนายเดินรึไง”

ชมได้ไม่ถึงวินาที เครื่องด่าอัตโนมัติก็ทำงานอีกละ

“แล้วจะทำไม เราก็ไม่ได้ตั้งใจล้มซักหน่อย”

“เออรู้แล้วว่าไม่ตั้งใจ คราวหน้าคราวหลังก็หัดมองทางซะบ้าง”

“เอ๊ะนี่คุณ! ก็บอกว่าไม่ตั้งใจไง”

จะอะไรกันนักกันหนาวะ ถ้าเขาตั้งใจค่อยด่าสิ ใครมันจะไปตั้งใจล้มวะ อายก็อายเจ็บก็เจ็บ

“เออก็รู้ แต่ก็ดู...”

“นี่ รู้รึเปล่าว่าไร่อาคเนย์ไปทางไหน”

เขาจะไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับเครื่องด่าอัตโนมัตินี้แล้ว เสียประสาทจะคุยด้วย สู้ถามเลยละกัน

“ไร่อะไรนะ”

“จิ๊...หูดับรึไง ไร่อาคเนย์ ไร่อาคเนย์อะรู้จักมั้ย”

“ไปทำไม”

“เราก็ไม่รู้ว่าไปทำไมแต่พ่อเราให้ไปที่นั่น” อย่าถามเลยว่าไปทำไม เขายังไม่รู้เหตุผลที่พ่อส่งมาตกระกำลำบากที่นี่เหมือนกัน ชีวิตเมษาช่างน่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ

“นี่ลูกอาธันวา?”

“ใช่ รู้จักพ่อเราได้ยังไง”

“ขึ้นรถ”

“ฮะ” เดี๋ยวนะขอเวลาแป๊บนึง ให้เขาได้ประมวลผลก่อน บางทีเขาอาจฟังอะไรผิดไป อะไรคือเรียกพ่อของเขาว่าอาธันวาแล้วบอกให้เขาขึ้นรถ

“นายเป็นใครเนี่ย แล้วชื่ออะไร อยู่ๆ มาบอกให้เราขึ้นรถ” เป็นคนโรคจิตรึเปล่า จะมาจับเขาไปเรียกค่าไถ่เหรอ เห็นเขาแบบนี้ก็สู้คนนะ

“บอกให้ขึ้นรถก็ขึ้นเถอะน่า”

“นายไม่น่าไว้ใจ นายเป็นใครเนี่ยตอบเรามาก่อน”

“ฉันชื่อเสือ”

“แล้ว...” คนอะไรชื่อเสือ ชื่อแปลกๆ ท่าทางยังแปลกๆ ไม่รู้ไปกินรังต่อรังแตนที่ไหนมา ทำท่าจะงับหัวเขาทุกวินาทีขนาดนั้น