ความสําคัญของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย4ข้อ

พระพุทธศาสนากับวัฒนธรรมไทย

Show

24 มิ.ย. 59 | พระพุทธศาสนา

92769

ความสําคัญของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย4ข้อ

ผู้แต่ง :: ผศ.ฉวีวรรณ สุวรรณาภา

ผศ.ฉวีวรรณ สุวรรณาภา

      นับตั้งแต่ประเทศไทยได้รับอารยธรรมตะวันตก ชาวไทยได้พัฒนาประเทศไทยไปสู่สังคม ที่เจริญขึ้นกว่าเดิม แต่การพัฒนายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะยังมีปัญหาทางด้านการ พัฒนาบุคคล เศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมและศาสนา การพัฒนาประเทศจะดำเนิน ไปด้วยปริมาณและคุณภาพเพียงใดนั้นยอมจะขึ้นอยู่กับลักษณะต่างๆ ของประชากรในประเทศ นั้นๆ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาบุคคลด้านจิตใจให้มีความสัมพันธ์กับการพัฒนาสังคม ด้านอื่น ๆ ด้วย พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันที่จำเป็นของสังคมอันจะขาดไม่ได้ แม้จะถูกกระทบกระเทือน หรือตกต่ำในบางครั้งบางคราว ทั้งนี้เพราะชีวิตมนุษย์ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะวัตถุไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการที่ไม่รู้จบสิ้นของมนุษย์ ดังนั้น ศาสนาและ วัฒนธรรมจึงถูกหยิบยกขึ้นมาในฐานะเป็นแกนกลางทางจิตใจ เป็นกรอบแห่งความประพฤติของ ประชาชนในสังคม พระพุทธศาสนานอกจากจะมีพระธรรม คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วยัง มีวัดและพระสงฆ์ วัดและพระสงฆ์กับประชาชนมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด วัดเป็นทุกอย่าง ของสังคม เป็นศูนย์กลางที่รวมจิตใจของประชาชนส่วนพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนวัดก็กลายเป็นผู้ นำทางด้านจิตใจของประชาชน เป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพ เชื่อถือ ศรัทธาและความร่วมมือ    ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม คำว่า “วัฒนธรรม” (มีความหมายรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต) เพราะ คำว่า “วัฒนธรรม” มาจากคำบาลีว่า “วฑฺฒน” ซึ่งแปลว่า เจริญงอกงาม กับ คำว่า “ธรรม” มา จากภาษาสันสกฤตว่า “ธรฺม” หมายถึง ความดี “วัฒนธรรม”เป็นคำบัญญัติแทนคำในภาษาอังกฤษ ว่า “ Culture” คำนี้มีรากศัพท์ มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่าการเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” หมายความว่า “ธรรม คือ ความเจริญ” หรือ “ธรรมเป็นเหตุให้ เจริญ” นั้นแสดงให้เห็นว่ามิใช่ลักษณะที่อยู่กับที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่การเปลี่ยน แปลงนั้นจะต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งใดอยู่กับที่ สิ่งนั้นไม่ชื่อว่า “วัฒนะ” คือ “เจริญ” วัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมแก่กาลเวลาอยู่เสมอ จากความหมายของวัฒนธรรมนั้น อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันและสรุปได้ คือ วัฒนธรรม มีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีในการปฏิบัติ รวมทั้งการ จัดระเบียบ ตลอดจนระบบความคิดความเชื่อ ค่านิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยได้ วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมีแบบแผน โดยทั่วไปแล้ว มักแบ่งวัฒนธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ

     ๑. วัฒนธรรมที่เป็นวัตถุ (Material Culture) ได้แก่ สิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มนุษย์คิดค้นผลิตขึ้นมา เช่น สิ่งก่อสร้าง อาคารบ้านเรือน อาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องอำนวยความ สะดวกต่าง ๆ เป็นต้น    

     ๒. วัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ (Non - material Culture) หมายถึง อุดมการณ์ ค่านิยม แนวความคิด ภาษา ความเชื่อทางศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิการเมือง กฎหมาย วิธี การกระทำและแบบแผนในการดำเนินชีวิต ซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรม (Abstract) ที่มองเห็น ไม่ได้ ธรรมชาติของวัฒนธรรม วัฒนธรรมโดยพื้นฐานแล้วจะมีลักษณะเป็นเช่นเดียวกัน ดังนี้

     ๑. วัฒนธรรมเกิดจากการเรียนรู้ วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติหรือ ไม่ใช่สัญชาตญาณ แต่เป็นผลรวมของความคิดของมนุษย์ที่เกิดจากการเรียนรู้ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม แล้วรู้จักนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต นอกจากเรียนรู้จากธรรมชาติ แล้วมนุษย์ยังเรียนรู้วัฒนธรรมจากสังคมตนเอง จากครอบครัว เพื่อนฝูงและสถาบันทางสังคม อื่น ๆ การเรียนรู้ทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์สร้างสรรค์วัฒนธรรมขึ้น ๒. วัฒนธรรมเป็นมรดกทางสังคม วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนรุ่น ต่อ ๆ ไปไม่มีสิ้นสุด เป็นสมบัติส่วนรวมซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากบรรพชนร่วมกัน ทั้งนี้เพราะ มนุษย์รู้จักจดจำและศึกษาอดีต สามารถนำอดีตมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังได้ นอกจาก นี้ มนุษย์ยังสามารถใช้ภาษา ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดประสบการณ์ ต่อกัน ทำให้มนุษย์สามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมเป็นมรดกสู้คนรุ่นต่อ ๆ ไปได้

     ๓. วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่สังคมต้องยึดถือและปฏิบัติร่วมกัน เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมนั้น ๆ อยู่ ร่วมกันได้ การกำหนดกฎเกณฑ์ การสร้างระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ ก็เพื่อการดำรงคงอยู่ของสังคม นั้น ๆ ฉะนั้น สมาชิกทุกคนจึงต้องยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของสังคมของตน

     ๔. วัฒนธรรมเป็นความพึงพอใจของมนุษยชาติ วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์เลือกที่ จะปฏิบัติ หรือประพฤติ เช่น การบริโภค การแต่งกาย การสร้างที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม

     ๕. วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่บูรณาการและปรับได้ มนุษย์สามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรม ของสังคมที่ตนไปเกี่ยวข้อง และสามารถปรับวัฒนธรรมจากภายนอกให้เหมาะสมกับสังคมของตนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ วัฒนธรรมยังเป็นบูรณาการของมนุษยชาติโดยส่วนรวม การหยิบยืม การ ซึมซับและการหล่อหลอมวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือเผ่าพันธุ์ก็เป็นธรรมชาติที่ เกิดจากความต้องการของมนุษย์ด้วยเช่นกัน

     ๖. วัฒนธรรมสิ้นสุดหรือตายได้ มนุษย์สร้างวัฒนธรรมขึ้นเพื่อความผาสุกของมนุษย์เอง ฉะนั้น วัฒนธรรมจึงเปลี่ยนแปลงและคงอยู่ได้ตราบเท่าที่มนุษย์หรือสังคมต้องการ วัฒนธรรมที่ มนุษย์หรือสังคมไม่ต้องการเป็นวัฒนธรรมที่พบจุดจบเรียกว่า วัฒนธรรมตาย(Dead Culture) จากลักษณะหรือธรรมชาติของวัฒนธรรมดังกล่าวนั้น จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ เลื่อนไหล ถ่ายทอดและเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ทั้งภายในกลุ่มชนเดียวกันหรือระหว่างกลุ่มชน หรือระหว่างท้องถิ่น เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมของกันและกัน สถาบันทางศาสนา สถาบันทางศาสนา เป็นแบบแผนแนวทางแห่งความคิดและแบบแผนพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธาของชุมชน จึงเป็นสถาบันที่หนักไปทางจิตใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานพฤติกรรม ของบุคคล พระยาอนุมานราชธนได้อธิบายไว้ในหนังสือ “เรื่องวัฒนธรรม” จัดพิมพ์โดยมูลนิธิ เสฐียรโกเศศ -นาคะประทีป ดังนี้ “…จิตใจ ความต้องการและความจำเป็นทางจิตใจ ในบรรดาสัตว์โลกมีคนเท่านั้นที่รู้จัก เอาอดีตมาปรับเพื่อคาดการณ์ในอนาคต อย่างน้อยก็รู้ว่ามีคนเกิดมาก่อนตน และจะมีคนเกิดต่อ ไปภายหน้า และรู้ว่าตนแม้จะมีชีวิตอยู่แต่ไม่ช้าตนก็จะต้องตายไป เพราะด้วยความกลัวตายและ ไม่ทราบว่าทำไมตนจึงต้องเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน เหล่านี้เป็นต้น เพราะด้วยคิดเห็นเช่นนี้ คนจึงต้องมีวัฒนธรรมทางความเชื่อ เพื่อบำรุงใจในเมื่อได้รับความทุกข์เดือดร้อน มีความสะเทือน ใจอย่างแรงหรือหวั่นวิตกต่อภัย ก็คิดถึงเรื่องศาสนา ศาสนาจึงเป็นเครื่องกำหนดบังคับใจไม่ให้ ประพฤติชั่ว ซึ่งทางกฎหมายไม่มีทางจะบังคับลงโทษได้ เพราะฉะนั้นข้อบังคับทางศาสนาจึงมีอำนาจ ยิ่งกว่าข้อบังคับของกฎหมาย” โดยสรุป สถาบันศาสนาเป็นสถาบันที่มีบทบาทและมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของบุคคลและ ชุมชนดังนี้

     ๑. สถาบันทางศาสนาเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชน บุคคลเมื่อมีความเชื่อและศรัทธาในสิ่งเดียวกันทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของกันและ กัน เกิดสายสัมพันธ์ทางจิตใจนำมาซึ่งกิจกรรมที่เป็นผลดีต่อส่วนรวมอื่น ๆ อีกมากมาย การมี ความรู้และความเชื่ออย่างเดียวกันทำให้บุคคลมีแนวความคิด โดยเฉพาะความรู้ ความเข้าใจ ความ รู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับสิ่งอันเป็นธรรมชาติ เกี่ยวกับชีวิตและสังคม พิธีกรรมทางศาสนาทำให้แต่ละ คนได้รู้ข่าวคราว ความทุกข์สุข ได้ศึกษาปัญหา ให้ข้อคิดเห็นและช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามโอกาส ชุมชนก็จะมีแต่ความกลมเกลียวสามัคคี เป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ส่วนพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนวัดก็กลายเป็นผู้ นำทางด้านจิตใจของประชาชน เป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพ เชื่อถือ ศรัทธาและความร่วมมือ    ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม คำว่า “วัฒนธรรม” (มีความหมายรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต) เพราะ คำว่า “วัฒนธรรม” มาจากคำบาลีว่า “วฑฺฒน” ซึ่งแปลว่า เจริญงอกงาม กับ คำว่า “ธรรม” มา จากภาษาสันสกฤตว่า “ธรฺม” หมายถึง ความดี “วัฒนธรรม”เป็นคำบัญญัติแทนคำในภาษาอังกฤษ ว่า “ Culture” คำนี้มีรากศัพท์ มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่าการเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” หมายความว่า “ธรรม คือ ความเจริญ” หรือ “ธรรมเป็นเหตุให้ เจริญ” นั้นแสดงให้เห็นว่ามิใช่ลักษณะที่อยู่กับที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่การเปลี่ยน แปลงนั้นจะต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งใดอยู่กับที่ สิ่งนั้นไม่ชื่อว่า “วัฒนะ” คือ “เจริญ” วัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมแก่กาลเวลาอยู่เสมอ จากความหมายของวัฒนธรรมนั้น อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันและสรุปได้ คือ วัฒนธรรม มีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีในการปฏิบัติ รวมทั้งการ จัดระเบียบ ตลอดจนระบบความคิดความเชื่อ ค่านิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยได้ วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมีแบบแผน โดยทั่วไปแล้ว มักแบ่งวัฒนธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ0

ส่วนพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนวัดก็กลายเป็นผู้ นำทางด้านจิตใจของประชาชน เป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพ เชื่อถือ ศรัทธาและความร่วมมือ    ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม คำว่า “วัฒนธรรม” (มีความหมายรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต) เพราะ คำว่า “วัฒนธรรม” มาจากคำบาลีว่า “วฑฺฒน” ซึ่งแปลว่า เจริญงอกงาม กับ คำว่า “ธรรม” มา จากภาษาสันสกฤตว่า “ธรฺม” หมายถึง ความดี “วัฒนธรรม”เป็นคำบัญญัติแทนคำในภาษาอังกฤษ ว่า “ Culture” คำนี้มีรากศัพท์ มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่าการเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” หมายความว่า “ธรรม คือ ความเจริญ” หรือ “ธรรมเป็นเหตุให้ เจริญ” นั้นแสดงให้เห็นว่ามิใช่ลักษณะที่อยู่กับที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่การเปลี่ยน แปลงนั้นจะต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งใดอยู่กับที่ สิ่งนั้นไม่ชื่อว่า “วัฒนะ” คือ “เจริญ” วัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมแก่กาลเวลาอยู่เสมอ จากความหมายของวัฒนธรรมนั้น อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันและสรุปได้ คือ วัฒนธรรม มีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีในการปฏิบัติ รวมทั้งการ จัดระเบียบ ตลอดจนระบบความคิดความเชื่อ ค่านิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยได้ วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมีแบบแผน โดยทั่วไปแล้ว มักแบ่งวัฒนธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ1ส่วนพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนวัดก็กลายเป็นผู้ นำทางด้านจิตใจของประชาชน เป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพ เชื่อถือ ศรัทธาและความร่วมมือ    ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม คำว่า “วัฒนธรรม” (มีความหมายรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต) เพราะ คำว่า “วัฒนธรรม” มาจากคำบาลีว่า “วฑฺฒน” ซึ่งแปลว่า เจริญงอกงาม กับ คำว่า “ธรรม” มา จากภาษาสันสกฤตว่า “ธรฺม” หมายถึง ความดี “วัฒนธรรม”เป็นคำบัญญัติแทนคำในภาษาอังกฤษ ว่า “ Culture” คำนี้มีรากศัพท์ มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่าการเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” หมายความว่า “ธรรม คือ ความเจริญ” หรือ “ธรรมเป็นเหตุให้ เจริญ” นั้นแสดงให้เห็นว่ามิใช่ลักษณะที่อยู่กับที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่การเปลี่ยน แปลงนั้นจะต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งใดอยู่กับที่ สิ่งนั้นไม่ชื่อว่า “วัฒนะ” คือ “เจริญ” วัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมแก่กาลเวลาอยู่เสมอ จากความหมายของวัฒนธรรมนั้น อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันและสรุปได้ คือ วัฒนธรรม มีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีในการปฏิบัติ รวมทั้งการ จัดระเบียบ ตลอดจนระบบความคิดความเชื่อ ค่านิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยได้ วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมีแบบแผน โดยทั่วไปแล้ว มักแบ่งวัฒนธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ2

ส่วนพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนวัดก็กลายเป็นผู้ นำทางด้านจิตใจของประชาชน เป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพ เชื่อถือ ศรัทธาและความร่วมมือ    ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม คำว่า “วัฒนธรรม” (มีความหมายรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต) เพราะ คำว่า “วัฒนธรรม” มาจากคำบาลีว่า “วฑฺฒน” ซึ่งแปลว่า เจริญงอกงาม กับ คำว่า “ธรรม” มา จากภาษาสันสกฤตว่า “ธรฺม” หมายถึง ความดี “วัฒนธรรม”เป็นคำบัญญัติแทนคำในภาษาอังกฤษ ว่า “ Culture” คำนี้มีรากศัพท์ มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่าการเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” หมายความว่า “ธรรม คือ ความเจริญ” หรือ “ธรรมเป็นเหตุให้ เจริญ” นั้นแสดงให้เห็นว่ามิใช่ลักษณะที่อยู่กับที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่การเปลี่ยน แปลงนั้นจะต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งใดอยู่กับที่ สิ่งนั้นไม่ชื่อว่า “วัฒนะ” คือ “เจริญ” วัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมแก่กาลเวลาอยู่เสมอ จากความหมายของวัฒนธรรมนั้น อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันและสรุปได้ คือ วัฒนธรรม มีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีในการปฏิบัติ รวมทั้งการ จัดระเบียบ ตลอดจนระบบความคิดความเชื่อ ค่านิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยได้ วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมีแบบแผน โดยทั่วไปแล้ว มักแบ่งวัฒนธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ3

ส่วนพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนวัดก็กลายเป็นผู้ นำทางด้านจิตใจของประชาชน เป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพ เชื่อถือ ศรัทธาและความร่วมมือ    ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม คำว่า “วัฒนธรรม” (มีความหมายรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต) เพราะ คำว่า “วัฒนธรรม” มาจากคำบาลีว่า “วฑฺฒน” ซึ่งแปลว่า เจริญงอกงาม กับ คำว่า “ธรรม” มา จากภาษาสันสกฤตว่า “ธรฺม” หมายถึง ความดี “วัฒนธรรม”เป็นคำบัญญัติแทนคำในภาษาอังกฤษ ว่า “ Culture” คำนี้มีรากศัพท์ มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่าการเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” หมายความว่า “ธรรม คือ ความเจริญ” หรือ “ธรรมเป็นเหตุให้ เจริญ” นั้นแสดงให้เห็นว่ามิใช่ลักษณะที่อยู่กับที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่การเปลี่ยน แปลงนั้นจะต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งใดอยู่กับที่ สิ่งนั้นไม่ชื่อว่า “วัฒนะ” คือ “เจริญ” วัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมแก่กาลเวลาอยู่เสมอ จากความหมายของวัฒนธรรมนั้น อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันและสรุปได้ คือ วัฒนธรรม มีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีในการปฏิบัติ รวมทั้งการ จัดระเบียบ ตลอดจนระบบความคิดความเชื่อ ค่านิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยได้ วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมีแบบแผน โดยทั่วไปแล้ว มักแบ่งวัฒนธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ4

ส่วนพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนวัดก็กลายเป็นผู้ นำทางด้านจิตใจของประชาชน เป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพ เชื่อถือ ศรัทธาและความร่วมมือ    ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม คำว่า “วัฒนธรรม” (มีความหมายรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต) เพราะ คำว่า “วัฒนธรรม” มาจากคำบาลีว่า “วฑฺฒน” ซึ่งแปลว่า เจริญงอกงาม กับ คำว่า “ธรรม” มา จากภาษาสันสกฤตว่า “ธรฺม” หมายถึง ความดี “วัฒนธรรม”เป็นคำบัญญัติแทนคำในภาษาอังกฤษ ว่า “ Culture” คำนี้มีรากศัพท์ มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่าการเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” หมายความว่า “ธรรม คือ ความเจริญ” หรือ “ธรรมเป็นเหตุให้ เจริญ” นั้นแสดงให้เห็นว่ามิใช่ลักษณะที่อยู่กับที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่การเปลี่ยน แปลงนั้นจะต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งใดอยู่กับที่ สิ่งนั้นไม่ชื่อว่า “วัฒนะ” คือ “เจริญ” วัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมแก่กาลเวลาอยู่เสมอ จากความหมายของวัฒนธรรมนั้น อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันและสรุปได้ คือ วัฒนธรรม มีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีในการปฏิบัติ รวมทั้งการ จัดระเบียบ ตลอดจนระบบความคิดความเชื่อ ค่านิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยได้ วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมีแบบแผน โดยทั่วไปแล้ว มักแบ่งวัฒนธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ5

ส่วนพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนวัดก็กลายเป็นผู้ นำทางด้านจิตใจของประชาชน เป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพ เชื่อถือ ศรัทธาและความร่วมมือ    ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม คำว่า “วัฒนธรรม” (มีความหมายรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต) เพราะ คำว่า “วัฒนธรรม” มาจากคำบาลีว่า “วฑฺฒน” ซึ่งแปลว่า เจริญงอกงาม กับ คำว่า “ธรรม” มา จากภาษาสันสกฤตว่า “ธรฺม” หมายถึง ความดี “วัฒนธรรม”เป็นคำบัญญัติแทนคำในภาษาอังกฤษ ว่า “ Culture” คำนี้มีรากศัพท์ มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่าการเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” หมายความว่า “ธรรม คือ ความเจริญ” หรือ “ธรรมเป็นเหตุให้ เจริญ” นั้นแสดงให้เห็นว่ามิใช่ลักษณะที่อยู่กับที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่การเปลี่ยน แปลงนั้นจะต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งใดอยู่กับที่ สิ่งนั้นไม่ชื่อว่า “วัฒนะ” คือ “เจริญ” วัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมแก่กาลเวลาอยู่เสมอ จากความหมายของวัฒนธรรมนั้น อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันและสรุปได้ คือ วัฒนธรรม มีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีในการปฏิบัติ รวมทั้งการ จัดระเบียบ ตลอดจนระบบความคิดความเชื่อ ค่านิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยได้ วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมีแบบแผน โดยทั่วไปแล้ว มักแบ่งวัฒนธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ6

ส่วนพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนวัดก็กลายเป็นผู้ นำทางด้านจิตใจของประชาชน เป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพ เชื่อถือ ศรัทธาและความร่วมมือ    ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม คำว่า “วัฒนธรรม” (มีความหมายรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต) เพราะ คำว่า “วัฒนธรรม” มาจากคำบาลีว่า “วฑฺฒน” ซึ่งแปลว่า เจริญงอกงาม กับ คำว่า “ธรรม” มา จากภาษาสันสกฤตว่า “ธรฺม” หมายถึง ความดี “วัฒนธรรม”เป็นคำบัญญัติแทนคำในภาษาอังกฤษ ว่า “ Culture” คำนี้มีรากศัพท์ มาจาก “Cultura” ในภาษาละติน มีความหมายว่าการเพาะปลูกหรือการปลูกฝัง ซึ่งอธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยให้เกิดความเจริญงอกงาม คำว่า “วัฒนธรรม” หมายความว่า “ธรรม คือ ความเจริญ” หรือ “ธรรมเป็นเหตุให้ เจริญ” นั้นแสดงให้เห็นว่ามิใช่ลักษณะที่อยู่กับที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่การเปลี่ยน แปลงนั้นจะต้องเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งใดอยู่กับที่ สิ่งนั้นไม่ชื่อว่า “วัฒนะ” คือ “เจริญ” วัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมแก่กาลเวลาอยู่เสมอ จากความหมายของวัฒนธรรมนั้น อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันและสรุปได้ คือ วัฒนธรรม มีความหมายครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีในการปฏิบัติ รวมทั้งการ จัดระเบียบ ตลอดจนระบบความคิดความเชื่อ ค่านิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยได้ วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมีแบบแผน โดยทั่วไปแล้ว มักแบ่งวัฒนธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ7

(ที่มา: สารนิพนธ์)

พระพุทธศาสนามีความสำคัญต่อสังคมไทยอย่างไร

พระพุทธศาสนาอยู่คู่กับสังคมไทยมานาน วิถีชีวิตของชาวไทยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ชาวไทยร้อยละ ๙๕ นับถือพระพุทธศาสนา ได้นำหลักการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนามาเป็นแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตจนกลายเป็นรากฐานทางวัฒนธรรม และเอกลักษณ์มรดกของชาติไทยตราบเท่าทุกวัน พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานของวัฒนธรรม

ความสําคัญของพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง

ความสาคัญ ของพระพุทธศาสนา ๑. พระพุทธศาสนากับเอกลักษณ์ของชาติไทย ๒. พระพุทธศาสนาเป็น รากฐานและมรดกทางวัฒนธรรมไทย ๓. พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจ ของคนในชาติ

การเผยแผ่พระพุทธศาสนามีความสำคัญอย่างไร

การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นการนําหลักคําสอนของพระพุทธเจ้า ไปแสดงให้เหมาะสมกับกาลเทศะ มี เหตุผล มีจิตเมตตา โดยมุ่งประโยชน์แก่คนฟัง โดยมุ่งที่จะพัฒนาศักยภาพบุคคลในการดําเนินชีวิตได้ด้วยตนเองตาม หลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศมาเลเซียของสํานักสงฆ์จันทรัตนาราม อําเภอเบตง จังหวัดยะลา มีการดํา ...