รู้หรือไม่ คดีอาญา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาตัดสินกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยมากแค่ไหน ?
Show รู้หรือไม่ ในคดีอาญา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาตัดสินกลับคำพิพากษาศาลชั้นให้ยกฟ้องจำเลยมากแค่ไหน ?จากข้อมูลรายงานการวิจัยเรื่องการใช้สิทธิฎีกา ของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2534 ซึ่งมุ่งวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการยื่นอุทธรณ์และฎีกา โดยมีวิธีการวิจัยคือ เก็บตัวอย่างคดีที่สู้กันทั้ง 3 ศาล โดยนำคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ในคดีดังกล่าวทั้ง 3 ยุคสมัยด้วยกันมาเปรียบเทียบ จะพบสถิติที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งเนื่องจากสถิติทั้ง 3 ช่วงทศวรรษ มีความใกล้เคียงกัน ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างเฉพาะช่วงทศวรรษแรก เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ทั้งนี้การศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษแรกนั้น เป็นเก็บตัวอย่างจากคดีอาญาจำนวนรวม 2,657 คดี ในช่วง พ.ศ.2508-2518 ซึ่งเป็นคดีที่สู้กันถึง 3 ศาลทุกคดี จะพบสถิติที่น่าสนใจคือ สถิติในเรื่องคำพิพากษาของศาลชั้นต้น พบว่า ศาลชั้นต้นจะพิพากษาลงโทษจำเลยเสียส่วนใหญ่ คือลงโทษจำคุกร้อยละ 50.5 ลงโทษจำคุกและริบทรัพย์สิน ร้อยละ 15.6 ส่วนที่เหลือพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่ลงโทษอย่างอื่น เช่นโทษประหารชีวิต ปรับ จำคุกและปรับ คุมประพฤติ กักขัง จำคุกปรับและริบทรัพย์สิน กล่าวโดยสรุปแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดจริงมากกว่า80 เปอร์เซ็นต์ โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยแค่ 18.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สถิติในเรื่องการถูกกลับและแก้ของคำพิพากษาของศาลชั้นต้น พบว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนใหญ่คือ 43.4 เปอร์เซ็นต์ จะพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากนั้น คำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังถูกแก้ถึง 25.3 เปอร์เซ็นต์ โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเพียง29.7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สถิติในเรื่องผลของคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ พบว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนใหญ่ คือร้อยละ 44.4 จะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลย ส่วนที่รองลงมาคือพิพากษาให้จำคุก คือร้อยละ 32.7 ส่วนที่เหลือเป็นโทษอย่างอื่น สถิติในเรื่องการถูกกลับแก้ของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พบว่า คดีส่วนใหญ่ คือ 64.5 เปอร์เซ็นต์ ศาลฎีกาจะพิพากษายืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ รองลงมาคือพิพากษาแก้ คือ 14.5 เปอร์เซ็นต์ และศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพียง 13.8 เปอร์เซ็นต์ สถิติคำพิพากษาของศาลฎีกา พบว่าใกล้เคียงกับศาลอุทธรณ์คือ คำพิพากษาส่วนใหญ่คือ41.5 เปอร์เซ็นต์ จะยกฟ้องจำเลย รองลงมาจะมีคำพิพากษาให้จำคุก 30.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือมีโทษอย่างอื่น กล่าวโดยสรุปคือ จาก 2,657 คดีอาญาตัวอย่างที่สู้กันทั้งสามศาล พบว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยเพียง 18.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องถึง 44.4 เปอร์เซ็นต์ และศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องถึง 41.5 เปอร์เซ็นต์จากสถิติดังกล่าว จึงอาจทำให้สรุปได้ว่า โอกาสยกฟ้องในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา มีมากกว่าศาลชั้นต้นเกินกว่า 1 เท่าตัว หรืออาจกล่าวได้ในอีกนัยว่า จำเลยที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษและยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น เกินกว่าครึ่งศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นฟ้องจำเลยเหล่านั้น ทั้งนี้ในปัจจุบันผู้เขียนก็ยังเห็นว่าสถิติก็คงยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไหร่นัก ซึ่งทนายความทุกท่านที่ทำงานเกี่ยวกับคดีอาญาจริงๆก็คงจะเห็นพ้องกับผู้เขียน ทั้งนี้เฉพาะตัวผู้เขียนเอง มีคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องเกินกว่า 10 คดี ซึ่งเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดผลคำพิพากษาเช่นนี้มีหลายประการด้วยกัน ซึ่งปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือตัวผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นนั่นเอง ผู้เขียนไม่อาจกล่าวในที่นี้ได้ เพราะอาจกลายเป็นดูหมิ่นผู้พิพากษาหรือเป็นการละเมิดอำนาจศาลไป ซึ่งที่ผู้เขียนนำเสนอข้อมูลนี้ ก็เพราะมีความประสงค์อยากให้ทนายความจำเลยและจำเลยทั้งหลายมีกำลังใจต่อสู้คดีอาญา ถึงแม้ในศาลชั้นต้นท่านอาจจะ ถูกข่มขู่จากทุกฝ่ายให้ยอมรับสารภาพ ถูกเกลี้ยกล่อมว่าคดีไม่มีทางสู้อย่างแน่นอน และท้ายที่สุดหากท่านถูกลงโทษ ทั้งๆที่ท่านไม่ได้กระทำผิดขอให้หากท่านเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตัวท่านและตัวจำเลยของท่าน ขอให้ท่านมีความกำลังใจที่จะสู้คดีอย่างเต็มที่ ถึงท่านจะแพ้คดีในศาลชั้น แต่สถิติชี้ให้เห็นว่าในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ท่านยังคงมีโอกาสเสมอ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ได้ที่ลิ๊งด้านล่างนี้ครับ http://www.lawreform.go.th/lawreform/index.php… อ่านบทความอื่นๆของสำนักงาน พิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความอ่าน บทความเกี่ยวกับกฎหมายแพ่งและวิธีพิจารณาความแพ่ง คลิกอ่าน บทความเกี่ยวกับกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญา คลิกอ่าน บทความน่ารู้เกี่ยวกับการว่าจ้างทนายความ คลิกแสดงความเห็นเกี่ยวกับบทความนี้comments ศาล เป็นองค์กรสาธารณะที่มีหน้าที่ในการวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับพลเมือง แรงงาน กิจการ และอาชญากรรมภายใต้กฎหมาย ในกฎหมายทั่วไปและกฎหมายพลเมือง ศาลนับว่าเป็นทางออกของข้อพิพาทต่างๆ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ทุกๆ คนมีสิทธิ์ที่จะนำข้อกล่าวหามาใช้ในศาลได้ ในขณะเดียวกัน ผู้ถูกกล่าวหาก็มีสิทธิ์ที่จะแก้ต่างในศาลได้เช่นกัน ในประเทศไทย ศาลเป็นองค์กรซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดี โดยดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ บรรดาศาลทั้งหลายจะตั้งขึ้นได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ ศาลรัฐธรรมนูญ (อังกฤษ: constitutional court) เป็นศาลสูงที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยมีอำนาจหลักที่จะวินิจฉัยว่า กฎหมายใดมีปัญหาเรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เช่น
ขัดกับสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้หรือไม่ ศาลยุติธรรม (อังกฤษ: The Court of Justice) เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม เป็นองค์กรอิสระที่ดูแลงานธุรการของศาลยุติธรรม มีฐานะเป็นนิติบุคคล
มีอิสระในการบริหารงานบุคคลการงบประมาณและการดำเนินการอื่น ตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานศาลฎีกา
ศาลปกครอง (อังกฤษ: administrative court) เป็นศาลชำนัญพิเศษด้านกฎหมายปกครอง โดยเฉพาะด้านข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐ จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจว่า ราชการเป็นไปตามกฎหมาย ศาลทหาร ได้มีขึ้นเป็นของคู่กันมาตั้งแต่มีการทหารไว้ป้องกันประเทศ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบบศาลทหารไทยปรากฏตามกฎหมายลักษณะขบฎศึก จุลศักราช 796 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 มีศาลกลาโหม
ชำระความที่เกี่ยวกับทหารและยังชำระความพลเรือนด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากสมุหพระกลาโหมนั้นมิได้มีเพียงอำนาจหน้าที่เฉพาะการบังคับบัญชาทหารบก ทหารเรือ เท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่จัดการปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ด้วย ศาลที่ขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมมีทั้งศาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพ และศาลในหัวเมืองฝ่ายใต้ด้วย ศาลกลาโหมจึงมีลักษณะเป็นทั้งศาลทหารและศาลพลเรือน ประเภทของศาลทหาร ศาลทหารสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ คดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ศาลทหาร มีอำนาจ พิจารณาพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดอาญาซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด สั่งลงโทษบุคคลใดๆ ที่กระทำผิดฐานและละเมิดอำนาจศาล นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีอำนาจในการพิจารณาคดีอย่างอื่นได้อีกตามที่จะมีกฎหมายบัญญัติเพิ่มเติม ที่เคยมีมาแล้วเช่น ความผิดฐานกระทำการอันเป็นคอมมูนิตส์ เป็นต้น สำหรับอำนาจในการรับฟ้องคดีของศาลทหารแบ่งได้ดังนี้ ศาลจังหวัดทหารจะรับฟ้องคดีที่จำเลยมีชั้นยศเป็นนายทหารประทวน ศาลมณฑลทหารจะรับฟ้องคดีที่จำเลยมีชั้นยศตั้งแต่ชั้นประทวนจนถึงชั้นยศสัญญาบัตรแต่ไม่เกินพันเอก ส่วนศาลทหารกรุงเทพจะรับฟ้องได้หมดทุกชั้นยศ นอกจากนี้ชั้นยศจำเลยมีผลต่อการแต่งตั้งองค์คณะตุลาการที่จะพิจารณาคดีด้วย โดยองค์คณะตุลาการที่จะแต่งตั้งนั้นอย่างน้อยต้องมีผู้ที่มียศเท่ากันหรือสูงกว่าจำเลย คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร แยกเป็น 4 ประเภท คือ ประเภทแรก
ได้แก่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร
1. ทหารประจำการ ได้แก่ ทหารที่ยึดเอาการรับราชการทหารเป็นอาชีพ ซึ่งมีทั้งทหารประจำการชั้นสัญญาบัตร ชั้นประทวน และทหารที่ไม่มียศที่เรียกกันว่า พลทหารอาสาสมัคร 1. บุคคลที่เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือน เป็นลูกจ้างในสังกัดกระทรวงกลาโหม เมื่อกระทำความผิดต่อหน้าที่ราชการโดยมาจำกัดพื้นที่ หรือความผิดอาญาอื่นโดยจำกัดพื้นที่เฉพาะในบริเวณที่ตั้งหน่วยทหาร 2. บุคคลที่อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น พยานที่ถูกศาลทหารออกหมายจับมาเพื่อเบิกความ 3. บุคคลที่เป็นเชลยศึกหรือชนชาติศัตรูในช่วงเวลาที่มีศึกสงคราม การแต่งตั้งตุลาการ - ตุลาการศาลทหารสูงสุด และตุลาการศาลทหารกลาง ให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งและถอดถอน http://th.wikipedia.org/wiki/ศาล ศาลชั้นต้น คือ ศาล อะไรศาลชั้นต้น เป็นศาลซึ่งรับคาฟ้อง หรือคาร้องในชั้นเริ่มต้นคดีไม่ว่าเป็นคดีแพ่ง คดีผู้บริโภค คดี สิ่งแวดล้อม คดีนักท่องเที่ยว คดีแรงงาน คดีภาษีอากร คดีล้มละลาย คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้า ระหว่างประเทศ หรือคดีอาญา โดยดาเนินกระบวนการตัดสินชี้ขาดเป็นชั้นศาลแรก ทั้งมีอานาจดาเนิน กระบวนพิจารณาแทนศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาในบาง ...
ศาลชั้นต้นมีอะไรบ้างศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้น (Trialcourt) คือศาลที่พิจารณาคดีใน ชั้นแรก ได้แก่ (*ศาลชั้นต้นมีองค์คณะ2 คน) 1) ศาลแพ่ง 2) ศาลอาญา 3) ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ 4) ศาลอาญากรุงเทพใต้ 5) ศาลแพ่งธนบุรี 6) ศาลอาญาธนบุรี Page 15 ศาลชั้นต้น (ต่อ) • 7) ศาลจังหวัด
ศาลอุทธรณ์เป็นศาลชั้นใดเป็นศาลชั้นสูงมีอยู่ศาลเดียว ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยฎีกา นอกจากนั้นหามีกฎหมายใดกำหนดในคดี บางประเภทยื่นฟ้องโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยไม่ต้องผ่านศาลอื่นทุกชั้น หรือผ่านเพียงบางชั้นก็ต้องเป็นไปตามนั้น
ศาลชั้นต้นมีอำนาจหน้าที่อะไรบ้างหมายถึง ศาลซึ่งจะต้องเริ่มพิจารณาคดีหรือซึ่งจะต้องทำตามคำสั่งเป็นขั้นแรก หมายความว่า คู่ความจะนำไปฟ้องหรือร้อง ตรงไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาไม่ได้ ศาลชั้นต้นแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน คือ ศาลชั้นต้นในกรุงเทพมหานคร แบ่งออกเป็น
|