จุดแข็งของแต่ละประเทศ Show 1.ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) จุดแข็ง – การเมืองค่อนข้างมั่นคง – รายได้เฉลี่ยต่อคนเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน อันดับ 26 ของโลก – ผู้ส่งออกและมีปริมาณสำรองน้ำมันอันดับ 4 ในอาเซียน 2.ประเทศกัมพูชา (Cambodia) จุดแข็ง – ค่าจ้างแรงงานต่ำที่สุดในอาเซียน – มีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลายและสมบูรณ์ 3.ประเทศอินโดนีเซีย (Indonesia) จุดแข็ง – มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ – มีจำนวนประชากรมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4.ประเทศลาว (Laos) จุดแข็ง – ค่าจ้างแรงงานต่ำอันดับ 2 ในอาเซียน – การเมืองมีเสถียรภาพ 5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia) จุดแข็ง – มีปริมาณสำรองน้ำมันมากเป็นอันดับ 3 ในเอเชียแปซิฟิค – มีปริาณก๊าซธรรมชาติมากเป็นอันดับ 2 ในเอเชียแปซิฟิค 6.ประเทศเมียนมาร์ หรือพม่า (Myanmar) จุดแข็ง – มีพรมแดนเชื่อมต่อกับจีน และอินเดีย – ค่าจ้างแรงงานต่ำเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน – มีปริมาณก๊าซธรรมชาติเป็นจำนวนมาก 7.ประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines)
จุดแข็ง – แรงงานทั่วไป ก็มีความรู้สื่อสารภาษาอังกฤษได้ 8.ประเทศสิงคโปร์ (Singapore) จุดแข็ง – รายได้เฉลี่ยต่อคน เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน และอันดับ 15 ของโลก – แรงงานมีทักษะสูง 9.ประเทศเวียดนาม (Vietnam) จุดแข็ง – มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 2 ในเอเชียแปซิฟิค 10.ประเทศไทย (Thailand) น้ำมันอยู่ที่ใครมากที่สุด มาอัปเดต 10 อันดับประเทศที่เป็นเจ้าของทรัพยากรที่มีค่านี้ พร้อมกับหาคำตอบว่า สมบัติชิ้นนี้ สร้างความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างไร
หนึ่งในทรัพยากรที่มีค่าอันดับต้น ๆ ของโลกคือ น้ำมัน ด้วยเป็นเชื้อเพลิงและวัตถุดิบสำคัญที่คอยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคมขนส่ง การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้แต่ละประเทศ และทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโต ว่ากันว่า ใครที่มีน้ำมันมากที่สุด ย่อมมีความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ และเป็นอภิมหาเศรษฐีโลก แล้วประเทศใดล่ะที่มีน้ำมันมากที่สุดในโลก ? จากรายงาน BP Statistical Review Of World Energy 2019 ได้รวบรวมข้อมูลประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้ว (Proved Reserve) ประจำปี 2018 เอาไว้ มาดูกันว่า 10 ประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก มีประเทศใดบ้าง และทรัพยากรอันมีค่านี้ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ อย่างไร 1. เวเนซุเอลา ปริมาณน้ำมันสำรอง 303,300 ล้านบาร์เรล แม้เวเนซุเอลาจะมีปริมาณน้ำมันสำรองมากที่สุด และมีรายได้จากการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก โดยคิดเป็นมูลค่ากว่า 90% ของรายได้จากการส่งออก หรือคิดเป็น 40% ของรายได้รัฐ แต่ทรัพยากรอันมีค่านี้กลับไม่ได้ช่วยให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกวันนี้ดีขึ้น เพราะการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาดมาหลายสิบปี ผนวกกับยังมีปัญหาการเมืองในประเทศเรื่อยมา นำมาซึ่งวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง หนำซ้ำในปี 2019 สหรัฐฯ ยังประกาศคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันแห่งชาติของเวเนซุเอลา เพื่อตัดรายได้จากการส่งออกน้ำมัน เป็นการตอบโต้การเลือกตั้งประธานาธิบดีของเวเนซุเอลาเมื่อปี 2018 ที่ไม่โปร่งใส ตามมาด้วยการที่กลุ่ม OPEC มีมติให้ประเทศสมาชิกปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ ก็ยิ่งซ้ำเติมให้ประเทศเวเนซุเอลาอยู่ในสภาพย่ำแย่มากขึ้น จากประเทศเศรษฐีน้ำมันที่ร่ำรวยกลับกลายเป็นประเทศที่ยากจน ประชาชนอดอยาก จนแทบจะเรียกได้ว่า น้ำมันกลายเป็นสิ่งไร้ค่าสำหรับพวกเขาไปแล้ว - วิกฤตเวเนซุเอลา ! บทเรียนแสนสาหัส ฝันร้ายของประชานิยม 2. ซาอุดีอาระเบีย ปริมาณน้ำมันสำรอง 297,700 ล้านบาร์เรล ข้อมูลจาก BP เผยว่า ซาอุดีอาระเบีย สามารถผลิตน้ำมันดิบได้ถึง 12.3 ล้านบาร์เรล/วัน ในปี 2018 ทำให้เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ที่สร้างรายได้จากการส่งออกมากที่สุด ด้วยมูลค่ากว่า
1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทว่าในเดือนมีนาคม 2020 ซาอุดีอาระเบียเปิดฉากสงครามราคาน้ำมันกับรัสเซีย เนื่องจากรัสเซียชาติพันธมิตรกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน OPEC ไม่ปรับลดกำลังการผลิต 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน ตามข้อตกลงใหม่ เพื่อพยุงราคาน้ำมันไม่ให้ตกต่ำ หลังโรค COVID-19 กระทบต่ออุปสงค์น้ำมันทั่วโลก ซาอุฯ จึงตอบโต้ด้วยการปรับลดราคาขายน้ำมันดิบอย่างเป็นทางการ (OSP) ให้กับทุกทวีป เพื่อชิงส่วนแบ่งค้าน้ำมันจากรัสเซีย พร้อมกับประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเต็มสูบ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2020 เป็นต้นไป เหตุการณ์นี้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกทันที ทั้งดัชนีตลาดหุ้นที่ร่วงลง ราคาทองคำตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น หรือผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ร่วงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 3. แคนาดา ปริมาณน้ำมันสำรอง 167,800 ล้านบาร์เรล น้ำมัน เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของแคนาดา สร้างรายได้คิดเป็น 11% ของ GDP ในปี 2018 โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป เป็นคู่ค้าสำคัญ ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันดิบประสบภาวะชะลอตัว เนื่องจากราคาน้ำมันดิบทั่วโลกตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนการผลิตในแคนาดายังคงสูง ทำให้บริษัทผลิตน้ำมันเอกชนหลายรายประสบภาวะขาดทุน จนต้องเคลื่อนย้ายแท่นขุดเจาะไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อลดต้นทุนการผลิต และส่งออกน้ำมันได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลแคนาดาเข้มงวดมากขึ้นด้วย 4. อิหร่าน ปริมาณน้ำมันสำรอง 155,600 ล้านบาร์เรล การค้นพบบ่อน้ำมันแห่งใหม่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ช่วงปลายปี 2019 อาจทำให้อิหร่านมีปริมาณน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เนื่องจากน้ำมันที่พบใหม่ มีจำนวนถึง 5.3 หมื่นล้านบาร์เรล หรือคิดเป็นราว 34% ของปริมาณน้ำมันสำรองที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีต่อสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นกรณีการฝืนข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 หรือมาตรการตอบโต้ที่มีต่อการลอบสังหารนายพลคาเซ็ม สุเลมานี ผู้นำอันดับ 2 ของอิหร่าน เมื่อต้นปี 2020 ทำให้ตอนนี้ อิหร่านมีรายได้จากการส่งออกน้ำมันลดลง 5. อิรัก ปริมาณน้ำมันสำรอง 147,200 ล้านบาร์เรล เศรษฐกิจของอิรักพึ่งพาการส่งออกน้ำมันดิบเป็นหลัก โดยคิดเป็น 90% ของรายได้ของประเทศ จึงต้องเพิ่มกำลังการผลิตและการส่งออก โดยในปี 2018 สามารถเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันดิบได้เฉลี่ย 4.6 ล้านบาร์เรล/วัน มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคตะวันออกกลาง พร้อมกับติดตั้งทุ่นรับน้ำมันดิบในอ่าวเปอร์เซียเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออก ส่งผลให้ปี 2018 มีรายได้รวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ปริมาณน้ำมันสำรอง 106,200 ล้านบาร์เรล แหล่งน้ำมันของรัสเซียส่วนใหญ่อยู่ที่ไซบีเรียตะวันตก ภาคกลาง และทางตะวันตกของประเทศ ด้วยกำลังการผลิตที่มากถึง 11.4 ล้านบาร์เรล/วัน ในปี 2018 และการที่มีต้นทุนทางการผลิตที่ต่ำที่สุดในโลก ทำให้รัสเซียได้เปรียบประเทศผู้ผลิตน้ำมันอื่น ๆ จนกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของทวีปยุโรป และทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน สร้างรายได้มากกว่า 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 11.4% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งจากการที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม OPEC ทำให้รัสเซียสามารถกำหนดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบได้ด้วยตนเอง และอาจส่งผลให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก ภายหลังกลุ่ม OPEC มีมติปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ เพื่อประคองราคาน้ำมันดิบไม่ให้ตกต่ำทั่วโลก 7. คูเวต ปริมาณน้ำมันสำรอง 101,500 ล้านบาร์เรล คูเวต มีฐานะทางเศรษฐกิจดีและร่ำรวยจากการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ จึงมีการลงทุนจากภาครัฐเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมเพิ่มผลผลิตอยู่เสมอ โดยในปี 2019 บริษัทน้ำมันแห่งชาติคูเวตทำข้อตกลงร่วมมือกับบริษัทฮัลลิเบอร์ตัน ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุดของโลก เพื่อขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง เพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ ส่งผลให้หากคูเวตมีศักยภาพในการผลิตน้ำมันดิบมากขึ้นไปอีก ก็จะทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตมากยิ่งขึ้น
ปริมาณน้ำมันสำรอง 97,800 ล้านบาร์เรล หลังจากขุดเจอน้ำมันเมื่อ 30 ปีก่อน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ร่ำรวยจากการส่งออกน้ำมัน จนกลายเป็นประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรายได้จากการส่งออกน้ำมันคิดเป็น 30% ของ GDP สร้างมูลค่าการส่งออกได้มากกว่า 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2018 อย่างไรก็ตาม ในการจัดอันดับประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองในปี 2020 สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์จะแซงคูเวตขึ้นไปแน่นอน เพราะเมื่อปลายปี 2019 เพิ่งค้นพบบ่อน้ำมันดิบแห่งใหม่ ปริมาณ 7,000 ล้านบาร์เรล ทำให้ปริมาณน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้นเป็น 104,800 บาร์เรล 9. สหรัฐอเมริกา ปริมาณน้ำมันสำรอง 61,200 ล้านบาร์เรล ถึงแม้สหรัฐอเมริกาจะมีปริมาณน้ำมันสำรองเป็นอันดับ 9 ของโลก และน้อยกว่าซาอุฯ ถึง 3 เท่า แต่กลับเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1 ของโลก ด้วยปริมาณ 15.3 ล้านบาร์เรล/วัน นั่นเพราะการใช้เทคโนโลยีการขุดน้ำมันแบบใหม่ที่ช่วยให้ขุดน้ำมันจากชั้นหินดินดาน หรือ "เชลออยล์" ได้ อีกทั้งมีแหล่งผลิตน้ำมันขนาดใหญ่ภายในประเทศมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ Midland ในมลรัฐเท็กซัส ชายแดนระหว่างรัฐเท็กซัส-รัฐหลุยส์เซียน่า และทางตะวันออกเฉียงใต้ของนิวเม็กซิโก จนแคนาดาสนใจ อยากย้ายแท่นขุดเจาะมาตั้งฐานการผลิต ทั้งหมดนี้ช่วยให้สหรัฐฯ มีรายได้จากการส่งออกน้ำมัน 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2018 10. ลิเบีย ปริมาณน้ำมันสำรอง 48,400 ล้านบาร์เรล ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกน้ำมันของประเทศลิเบีย หลังจากสงครามกลางเมืองยังคงยืดเยื้อ นับตั้งแต่นายมูอัมมาร์ กัดดาฟี ถูกโค่นอำนาจเมื่อปี 2554 ซึ่งล่าสุด จากความพยายามในการก่อรัฐประหารของกองกำลังกบฏต่อรัฐบาล รวมถึงการเข้ามาแทรกแซงของรัฐบาลตุรกี จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก บริษัทน้ำมันแห่งชาติของรัฐบาลลิเบีย จึงประกาศปิดท่าเรือส่งออกน้ำมัน 5 แห่ง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ ส่งผลให้ลิเบียสูญเสียการผลิตน้ำมันดิบในปริมาณ 800,000 บาร์เรล/วัน จากกำลังการผลิตทั้งหมดของลิเบีย 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน หรือคิดเป็นมูลค่าราว 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ยังคงดำเนินต่อไป จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของลิเบียร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศ สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น ในส่วนของประเทศไทยนั้น BP Statistical Review Of World Energy 2019 ระบุว่า มีปริมาณน้ำมันสำรองประมาณ 300 ล้านบาร์เรล แต่มีศักยภาพในการผลิตน้ำมันดิบได้เฉลี่ย 228,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันสูงถึงราว ๆ 1,478,000 บาร์เรล/วัน เท่ากับว่าไทยผลิตน้ำมันได้เพียง 20% ของปริมาณที่ต้องการใช้ จึงต้องนำเข้าปิโตรเลียมจากต่างประเทศอีกกว่า 80% เพื่อทดแทนส่วนที่ขาดไป ขณะเดียวกัน ก็ยังคงต้องสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต รองรับปริมาณการใช้งานภายในประเทศที่มากขึ้น * หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 12 มีนาคม 2563 ข้อมูลจาก ประเทศ ใด ต่อ ไป นี้ มี น้ำมัน มากที่สุดใน อาเซียนประเทศบรูไน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีความได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เนื่องจากมีแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม และด้วยเหตุผลที่น้ำมันปิโตรเลียมเป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป อีกทั้ง ต้องใช้ระยะเวลาหลายล้านปี จึงจะสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียตระหนักรู้ถึงความสำคัญของพลังงานจาก ...
ประเทศใดเป็นประเทศที่มีปริมาณสํารองน้ํามันดิบมากเป็นอันดับที่ 2 ในเอเชียแปซิฟิกประเทศมาเลเซีย ได้แก่ มีประมาณการสำรองน้ำมันมากเป็นอันดับที่3 และก๊าซธรรมชาติมากเป็นอันดับที่2 ของเอเชียแปซิฟิก ระบบโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรและแรงงานมีทักษะ ประเทศลาว ได้แก่ การเมืองมีเสถียรภาพ มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะน้ำและแร่ชนิดต่างๆ
ประเทศใดมีปริมาณการส่งออกน้ำมันมากที่สุดประเทศ. ประเทศอะไรที่มีบ่อน้ำมันสหรัฐอเมริกา 16.5 ล้านบาร์เรล/วัน. ซาอุดีอาระเบีย 11 ล้านบาร์เรล/วัน. รัสเซีย 10.7 ล้านบาร์เรล/วัน. แคนาดา 5.1 ล้านบาร์เรล/วัน. อิรัก 4.1 ล้านบาร์เรล/วัน. จีน 3.9 ล้านบาร์เรล/วัน. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 3.7 ล้านบาร์เรล/วัน. อิหร่าน 3.1 ล้านบาร์เรล/วัน. |