สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com .... เวลาที่น้องๆ ได้ยินชาวต่างชาติคุยกัน น้องๆ เคยรู้สึกอะไรบ้างมั้ยคะ ? ยกตัวอย่างเช่น เวลาได้ยินคนฝรั่งเศสคุยกัน พี่เป้ จะรู้สึกว่า โอ้โห ภาษาเพราะดีจังแฮะ แต่ทำไมถึงออกเสียงเขิกๆๆๆ กันตลอดเวลา 5555 หรือเวลาได้ยินคนญี่ปุ่นคุยกัน
ก็จะรู้สึกว่า คุยอะไรกันเนี่ย มีแต่โตะๆ โอะๆ คิๆ มิๆ งงไปหมด = =" ทีนี้ พี่เป้ ก็เลยเกิดสงสัยขึ้นมาว่า เอ๊ะ แล้วเวลาที่เราพูดภาษาไทยกันเนี่ย ชาวต่างชาติเค้าได้ยินแล้วคิดว่าภาษาไทยของเราเป็นยังไงบ้าง ???? น่าสงสัยใช่มั้ยล่ะ พี่เป้ เลยลองไปแอบถามน้องๆ เด็กนอกที่มีเพื่อนสนิทเป็นชาวต่างชาติ ลองดูดีกว่าว่าเค้าตอบกันมาว่ายังไง จริงแฮะ มาลองนึกอีกทีก็พบว่า ภาษาไทยของเราไม่ค่อยมีเว้นวรรคเลย ยาวติดกันเป็นพรืดเลยเนาะ บางทีเขียนจนจบ 1 บรรทัด แต่ก็ไม่มีเว้นวรรคเลย (ทำไปได้) รอฟ , อเมริกา , 25 ปี "เพื่อนที่เป็นคนไทยเค้าจะเล่นสไกป์กับเพื่อนที่ไทยบ่อยมาก เลยจะได้ยินเพื่อนพูดเป็นภาษาไทยบ่อยๆ ตอนแรกได้ยินแล้วไม่ได้สนใจเพราะนึกว่าเพื่อนร้องเพลง (ขำ) เพราะเสียงภาษาไทยฟังดูมีโทนสูงๆ ต่ำๆ ขึ้นๆ ลง ก็เลยนึกว่าเพื่อนร้องเพลง เลยแยกไม่ค่อยออกว่าตอนไหนร้องเพลงหรือตอนไหนกำลังพูดคุยทั่วไปอยู่กันแน่ แต่คิดว่าเสียงภาษาไทยเพราะดี " อ่านแล้วขำอะ 5555555 จริงด้วยเนาะ เพราะภาษาไทยเรามีเสียงวรรณยุต์ ตั้งแต่สามัญ เอก โท ตรี
จัตวา ลองดูประโยคนี่สิ "เฮ้ย เมื่อวานนะ เจอพี่คนนั้นที่เป็นแฟนเก่าแกด้วย ใส่เสื้อสีแดงแป๊ดเลย แสบตาได้อีก" แค่ประโยคธรรมดาๆ นี่ก็มีครบทุกเสียงแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่ฝรั่งเค้าจะคิดว่าพวกเรากำลังร้องเพลง ฮ่าๆ
พี่เป้ เห็นด้วยเลยว่า ภาษาไทยนี่อ่านกับเขียนยากจริงๆ เพราะนอกจากจะไม่ค่อยมีเว้นวรรคแล้ว ยังมีพยัญชนะตั้ง 44 ตัว สระอีกตั้ง 21 ตัว จะเยอะไปไหนเนี่ย - -" คือถ้าชาวต่างชาติคนไหนไม่ตั้งใจเรียนจริงๆ ล่ะก็ คงมีท้อกันแน่ๆ เลย เพราะขนาดพวกเราซึ่งเป็นคนไทยแท้ๆ บางคนยังท่อง ก-ฮ ไม่ได้เลยใช่มั้ยล่ะคะ 5555 นั่นก็คือความเห็นของชาวต่างชาติที่ พี่เป้ แอบไปสืบมา ได้อ่านอย่างนี้ก็ได้รู้ซะทีว่าชาวต่างชาติเค้าคิดยังไงกับภาษาของพวกเราบ้าง ^^ แล้วน้องๆ ล่ะคะ มีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติบ้างมั้ย ถ้ามีก็ลองไปแอบถามให้หน่อยนะว่าพวกเค้าคิดยังไงกับภาษาไทยบ้าง ??
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี บทความนี้เกี่ยวกับสำหรับวิธีการออกเสียงพูด สำหรับสำนวนและลักษณะการใช้คำทางภาษา ดูที่ ภาษาย่อย ในทางภาษาศาสตร์สังคม สำเนียง (อังกฤษ: accent) คือวีธีการออกเสียงที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ท้องที่ หรือชาติหนึ่ง ๆ[1] สำเนียงอาจผูกพันกับถิ่นที่อยู่ของผู้พูด (สำเนียงภูมิภาคหรือภูมิศาสตร์) สถานะทางเศรษฐกิจสังคม ชาติพันธุ์ วรรณะหรือชนชั้นทางสังคม (สำเนียงทางสังคม) หรืออิทธิพลจากภาษาแม่ของพวกเขา (สำเนียงต่างประเทศ)[2] โดยปกติสำเนียงจะมีความแตกต่างกันในด้านคุณลักษณะของเสียง การออกเสียง และการบ่งความต่างของเสียงสระและพยัญชนะ การเน้นน้ำหนักพยางค์ (stress) และสัทสัมพันธ์ (prosody)[3] แม้ว่าบ่อยครั้งไวยากรณ์ ความหมาย วงศัพท์ และลักษณะทางภาษาอื่น ๆ จะแปรควบคู่กันไปกับสำเนียง แต่คำว่า "สำเนียง" ก็อาจหมายถึงความแตกต่างด้านการออกเสียงโดยเฉพาะ ในขณะที่คำว่า "ภาษาย่อย" หรือ "ภาษาถิ่น" นั้นครอบคลุมความแตกต่างทางภาษาศาสตร์ในวงกว้างกว่า และบ่อยครั้งที่ "สำเนียง" กลายเป็นหน่วยย่อยของ "ภาษาย่อย" หรือ "ภาษาถิ่น"[1] พัฒนาการ[แก้]เด็ก ๆ รับสำเนียงมาใช้ได้ค่อนข้างเร็ว เด็ก ๆ จากครอบครัวผู้อพยพเข้าเมืองมักออกเสียงเลียนเจ้าของสำเนียงได้ดีกว่าพ่อแม่ แต่ทั้งเด็กและพ่อแม่ก็อาจมีสำเนียงที่ไม่เหมือนเจ้าของภาษาอย่างสังเกตได้ชัด[4] ดูเหมือนว่าสำเนียงของบุคคลหนึ่ง ๆ จะถูกหล่อหลอมดัดแปลงได้จนกระทั่งบุคคลนั้นมีอายุยี่สิบปีต้น ๆ หลังจากนั้นสำเนียงก็จะเริ่มหยั่งรากลึกมากขึ้น[5] ถึงกระนั้น สำเนียงอาจจะไม่ได้คงที่อย่างสมบูรณ์แม้ในวัยผู้ใหญ่ การวิเคราะห์ทางกลสัทศาสตร์ของถ้อยคำอวยพรวันคริสต์มาสจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 โดยจอนาทัน แฮร์ริงตัน เปิดเผยว่า แม้กระทั่งรูปแบบการพูดของบุคคลแนวอนุรักษนิยมอย่างกษัตริย์หรือกษัตรีย์พระองค์หนึ่ง ๆ ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อย ๆ ตลอดช่วงชีวิต[6] สำเนียงที่ไม่เหมือนเจ้าของภาษา[แก้]ปัจจัยสำคัญในการคาดคะเนระดับสำเนียงว่าจะมีความเด่นชัด (หรือความแปร่ง) เพียงใดคืออายุขณะเรียนรู้ภาษาที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา[7][8] ทฤษฎีช่วงอายุเอื้อการเรียนภาษาระบุว่า หากการเรียนรู้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่เกิดขึ้นหลังช่วงอายุเอื้อการเรียนภาษา (โดยทั่วไปจัดว่าอยู่ในวัยแรกเกิดจนถึงวัยแรกรุ่น) บุคคลหนึ่ง ๆ ไม่น่าจะได้สำเนียงเหมือนเจ้าของภาษา อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ค่อนข้างเป็นที่โต้เถียงในหมู่นักวิจัย[9] แม้ว่านักวิจัยหลายคนจะเห็นพ้องกับทฤษฎีนี้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง พวกเขาก็กำหนดช่วงอายุเอื้อการเรียนภาษาไว้ก่อนวัยแรกรุ่น หรือไม่ก็พิจารณาว่ามันมีลักษณะเป็น "ช่วงโอกาส" ที่สำคัญมากกว่า ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลและยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากอายุ เช่น ระยะเวลาพำนักอาศัย ความคล้ายคลึงกันระหว่างภาษาแม่กับภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่ ความถี่ในการใช้ภาษาทั้งสอง เป็นต้น[8] อย่างไรก็ตาม เด็ก ๆ ที่มีอายุน้อยเพียง 6 ปีในขณะย้ายไปอยู่ประเทศอื่นมักพูดสำเนียงที่ไม่เหมือนเจ้าของภาษาอย่างสังเกตได้ชัดเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีกรณีที่พบได้ยากของบุคคลที่เข้าถึงสำเนียงระดับเจ้าของภาษาได้แม้พวกเขาจะเรียนรู้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น[10] อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเงื่อนไขทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสมองจะจำกัดความสามารถของผู้พูดส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา[11] นักวิจัยส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า สำหรับผู้ใหญ่แล้ว การได้สำเนียงเหมือนเจ้าของภาษาในภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย[7] ปัจจัยทางสังคม[แก้]เมื่อกลุ่มหนึ่ง ๆ ได้กำหนดการออกเสียงมาตรฐานในภาษา ผู้พูดที่ออกเสียงต่างออกไปมักถูกเรียกว่า "พูดติดสำเนียง"[9] อย่างไรก็ตาม ทุกคนย่อมพูดติดสำเนียงใดสำเนียงหนึ่ง[2][12] ชาวอเมริกันพูด "ติดสำเนียง" ในสายตาของชาวออสเตรเลีย และชาวออสเตรเลียก็ "พูดติดสำเนียง" ในสายตาของชาวอเมริกัน สำเนียงอย่างสำเนียงบีบีซีอังกฤษหรือสำเนียงมาตรฐานอเมริกันบางครั้งอาจถูกระบุอย่างผิดพลาดในประเทศต้นกำเนิดว่า "ไม่มีสำเนียง" เพื่อบ่งชี้ว่าสำเนียงเหล่านี้ไม่ได้ให้เงื่อนงำที่ชัดเจนเกี่ยวกับภูมิหลังทางภูมิภาคหรือสังคมของผู้พูด[2] อ้างอิง[แก้]
|