Show
นึกแล้วคงวุ่นวายน่าดูถ้าต่างคนต่างมาเรียน ไม่มีเวรคอยทำความสะอาดห้อง เวลารวมงานไปส่งก็ไม่รู้จะส่งที่ใคร จะติดต่อกับครูก็ไม่รู้จะให้ใครเป็นตัวแทนดี แถมยังมีโอกาสเกิดปัญหาชวนปวดหัวอีกมากมายตามมาในอนาคต ดังนั้น การมอบหมายตำแหน่งหน้าที่และการมีข้อตกลงต่าง ๆ จึงช่วยจัดระเบียบให้เราสามารถอยู่ร่วมกันในห้องเรียนหรือสังคมได้อย่างสงบสุข เช่นเดียวกับประเทศของเราที่ต้องมีการจัดสรรทรัพยากร มอบหมายหน้าที่ เลือกตัวแทน และจัดระเบียบสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเราเรียกกิจกรรมที่เกิดขึ้นเหล่านี้ว่า ‘การเมือง’ นั่นเอง การเมืองคืออะไร ?มีผู้ให้ความหมายของการเมือง หรือ Politics ไว้หลากหลาย อย่างฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันได้กล่าวถึงความหมายของการเมืองไว้ว่า ‘การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจว่าใครจะได้อะไร เมื่อไหร่ อย่างไร’ ส่วนพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้ให้ความหมายของการเมืองไว้ 3 ความหมาย ได้แก่ ‘ความหมายแรก คืองานที่เกี่ยวกับรัฐหรือแผ่นดิน ความหมายที่สอง คือการบริหารประเทศเฉพาะที่เกี่ยวกับนโยบายในการบริหารประเทศ และความหมายสุดท้าย คือ กิจการอำนวยหรือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน’ จากความหมายข้างต้น เราจึงสรุปได้ว่า การเมือง คือ กิจกรรมในการจัดระเบียบหรือปกครองของสังคมมนุษย์ เพื่อสร้างความสงบสุขให้กับสังคม ระบอบการเมืองการปกครองเวลาเราเลือกหัวหน้าห้อง หรือแบ่งหน้าที่กับเพื่อน ๆ บางครั้งก็ใช้วิธีการโหวตร่วมกันทั้งห้อง บางครั้งคุณครูเป็นคนเลือกและจัดการทุกอย่าง เช่นเดียวกับการบริหารประเทศที่มีวิธีการเลือกตัวแทนหรือมอบหมายหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่ละสังคมจึงมีระบอบการเมืองการปกครองที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งได้แก่
สถานการณ์การเมืองไทยหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ในปีพ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน ได้มีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ทั้งการชุมนุม การทำรัฐประหาร และการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ซึ่งบทความนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปดูสถานการณ์ทางการเมืองที่สำคัญของไทยตามลำดับเวลากัน โดยเริ่มจากช่วงปีพ.ศ. 2540 เรื่อยมามาจนถึงปัจจุบัน
(ภาพการชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขอบคุณภาพจาก Workpoint)
ปัญหาการเมืองไทยจากแผนภาพ เพื่อน ๆ จะเห็นว่าปัญหาการเมืองไทยเป็นวงจรอุบาทว์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนี้
แนวทางการแก้ปัญหาการเมืองไทยตามบทเรียน
กระบวนการตรวจสอบอำนาจรัฐโดยประชาชนสำหรับการเมืองการปกครองของไทย ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะเลือกนายกรัฐมนตรี แล้วนายกรัฐมนตรีก็จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมา ซึ่งจะเห็นได้ว่าประชาชนมีสิทธิเลือกผู้แทนเข้าไปบริหารประเทศ ประชาชนจึงมีสิทธิตรวจสอบการทำงานของผู้แทนด้วยเช่นกัน โดยมาตรา 78 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 กล่าวว่า ‘รัฐต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ทั้งการจัดทำบริการสาธารณะ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การต่อต้านการทุจริต รวมทั้งการตัดสินใจทางการเมือง และบริการอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชน’ ดังนั้น ประชาชนสามารถตรวจสอบอำนาจรัฐและมีสิทธิแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ โดยสามารถทำได้ดังนี้
กระบวนการตรวจสอบอำนาจรัฐโดยองค์กรอิสระนอกจากการตรวจสอบอำนาจรัฐโดยประชาชนแล้ว ยังมีการตรวจสอบจากองค์กรอิสระอีกด้วย ซึ่งองค์กรอิสระ คือ องค์กรที่ไม่ขึ้นกับภาครัฐ มีอำนาจภายใต้ขอบเขตความรับผิดชอบของหน่วยงาน สามารถชี้มูลความผิดเพื่อนำเรื่องส่งต่อให้ศาลยุติธรรม (กรณีเป็นคดีอาญา) ตามรัฐธรรมนูญ 2560 โดยองค์กรอิสระที่ว่านี้มาจากการสรรหาโดยมีวุฒิสภาเป็นผู้พิจารณา เช่น
ขอบคุณข้อมูลจากอิทธิพล จึงวัฒนาวงค์ (ครูจั๊มป์) Did you know ?Did you know ? วันนี้ขอเสนอคำในหมวดการเมืองที่เพื่อน ๆ หลายคนน่าจะสับสนกันบ่อย ๆ ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูพร้อมกันเลยดีกว่า !
จุดร่วมของทั้งสามคำนี้ คือการใช้กำลังยึดอำนาจทางการเมืองและเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ส่วนความแตกต่างคือ ‘รัฐประหาร ( Coup d , Etat)’ เป็นการยึดอำนาจจากรัฐบาล โดยอาจมีการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมและจัดการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ ส่วน ‘การปฏิวัติ (Revolution)’ เป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีการปฏิวัติเพียงครั้งเดียวคือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งการปฏิวัติและรัฐประหารนี้ หากทำไม่สำเร็จจะเรียกว่า กบฏ (Rebellion) นั่นเอง
สามคำข้างต้นเป็นระบบเศรษฐกิจสามรูปแบบ ซึ่งระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม คือ การปล่อยให้เอกชนเป็นเจ้าของกิจการและแข่งขันกันได้อย่างเสรี รัฐไม่มีสิทธิเข้ามาแทรกแทรง ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนี้ แม้จะทำให้เศรษฐกิจดี แต่ก็มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม และการกดขี่จากนายทุนเกิดขึ้นเช่นกัน ต่อมาจึงเกิดแนวคิดที่ต้องการแก้ปัญหาของระบบทุนนิยมขึ้น ซึ่งสองแนวคิดนั้นคือ สังคมนิยม และคอมมิวนิสต์นั่นเอง แต่คอมมิวนิสต์ รัฐจะยึดครองทรัพยากรทุกสิ่ง และแจกจ่ายให้ผู้คนอย่างเท่าเทียมกัน โดยมีเป้าหมายสูงสุดที่เรียกว่า ยูโทเปีย (Utopia) คือสังคมที่ไม่มีชนชั้น ทุกคนเท่าเทียมกันและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายังไม่มีสิ่งที่เรียกว่ายูโทเปียเกิดขึ้นจริงบนโลกจากระบบคอมมิวนิสต์นี้ ส่วนระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม จะยืดหยุ่นกว่าคอมมิวนิสต์มากขึ้น คือรัฐไม่ได้ครอบครองทรัพยากรทุกอย่าง แต่เข้าไปแทรงแซงเอกชน และยึดครองทรัพยากรเพียงบางส่วน อย่างรัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้าและการรถไฟ ก็นับเป็นรูปแบบหนึ่งของสังคมนิยมเช่นกัน ไหน ๆ ก็อ่านเรื่องการเมืองไปแล้ว ใครสนใจเรื่องความเท่าเทียมลองแวะไปอ่านบทความเรื่องสีผิวไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนมองบทเรียนวรรณคดีไทยและประเด็นเรื่องสีผิว และบทความเรียนรู้เรื่องความเท่าเทียมไปกับ SpongeBob SquarePants กันต่อ หรือจะเตรียมสอบแบบความรู้แน่นแถมสนุกยิ่งขึ้น ไปกับแอปพลิเคชัน StartDee ก็ได้นะ ! Reference Histofun Deluxe. (2020, February 15). Histofun DELUXE. Retrieved August 05, 2020, from https://www.blockdit.com/articles/5e48150e06e6460cb170c81f ประวัติการยึดอำนาจในประเทศไทย. (n.d.). Retrieved August 05, 2020, from http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/pol/145.html |