กลายเป็นเทรนด์ขององค์กรต่างๆ ทั่วโลกในการเพิ่มสวัสดิการวันลาให้กับพนักงานเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (ครอบครัว) เพราะปัจจุบันการทำงานไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสถานที่ แต่เทคโนโลยีทำให้ประสิทธิภาพเกิดขึ้นได้ทุกที่ Microsoft (ประเทศไทย) ประกาศสวัสดิการวันลาสำหรับพนักงานที่มีความจำเป็นด้านครอบครัว โดยจะจัดจ่ายเงินเดือนเต็ม 20
สัปดาห์ให้กับคุณแม่ที่ลาคลอดบุตร, 6 สัปดาห์สำหรับคุณพ่อมือใหม่หรือผู้ปกครองที่อุปการะบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และ 4 สัปดาห์สำหรับพนักงานที่ต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวที่มีอาการป่วยรุนแรง เพื่อพนักงานสามารถใช้เวลาอยู่กับบุคคลอันเป็นที่รักอย่างหมดกังวล สวัสดิการใหม่นี้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 เป็นต้นไป โดมหทัย บุนนาค Channel Executive และว่าที่คุณแม่ลูก 2 บอกว่า เชื่อมั่นในนโยบายสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวรวมทั้งการเปิดรับและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมเป็นรูปธรรม นอกจากคู่ที่เป็นผู้ชายและผู้หญิงจะได้รับสวัสดิการนี้แล้ว พ่อและแม่ที่เป็นเพศเดียวกันยังได้รับสวัสดิการนี้ด้วย เป็นนโยบายที่ก้าวหน้าของบริษัท เปิดรับต่อความแตกต่างและหลากหลาย ครั้งนี้รู้ว่าเรามีเวลาที่จะปรับตัวและโฟกัสเรื่องลูกและสุขภาพตัวเองถึง 5 เดือน และเป็นลูกคนที่ 2 ด้วย เมื่อถึงเวลาเราน่าจะทำหน้าที่ทั้งแม่และพนักงานบริษัทได้ดีทั้ง 2 บทบาท และการที่บริษัทให้เงินเดือนเต็ม 5 เดือนก็หมายความว่าเราไม่ต้องกังวลว่าเราจะขาดรายได้อีกด้วย อุดม ตรัสบวร Account Manager และคุณพ่อมือใหม่ บอกว่า สวัสดิการใหม่นี้จะช่วยพนักงานที่มีความจำเป็นและต้องการที่จะใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่ ลูกสาวเพิ่งจะมีอายุได้ 1 เดือนกว่า ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ยากมากที่ต้องช่วยดูแลลูกและทำงานด้วย ถึงแม้ว่าจะสามารถทำงานที่บ้านได้ก็ตาม ซึ่งหากมีสวัสดิการนี้ น่าจะลดความกังวลเรื่องงานและช่วยภรรยาเลี้ยงลูกได้เต็มที่ กฤษฏิ์ คำตื้อ Technical Evangelist ผู้กำลังจะสละโสดและสร้างครอบครัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ บอกว่า ในฐานะของคนที่กำลังจะสร้างครอบครัวและคิดว่าจะต้องได้ใช้สวัสดิการใหม่นี้แน่นอนในอนาคต รัชฎาวรรณ สุดแสง Partner Sales Lead ผู้เคยมีประสบการณ์ดูแลบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งมาก่อน บอกว่า 2 ปีที่แล้ว คุณแม่จากไปด้วยโรคมะเร็ง ตอนที่ตรวจเจอ อยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว ซึ่งคุณหมอบอกว่าคุณแม่น่าจะอยู่ได้ไม่นาน ก็เลยตัดสินใจขอทำงานที่บ้านเพื่อดูแลคุณแม่ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ และใช้เวลาที่เหลือร่วมกับท่านอย่างคุ้มค่า เป็นระยะเวลาประมาณ 8 เดือนจนกระทั่งคุณแม่จากไป ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็เครียดและเหนื่อยมาก เพราะกังวลทั้งเรื่องงานและต้องการจะดูแลแม่ให้ดีที่สุดด้วย ส่วนตัวมั่นใจว่าสวัสดิการใหม่นี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องดูแลคนในครอบครัวในยามที่สมาชิกเจ็บป่วยและต้องการคุณมากที่สุด เพราะเราจะสามารถโฟกัสกับคนที่เรารักได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาชีพ ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Microsoft เป็นองค์กรที่ขึ้นชื่อว่าสร้างความสุขให้พนักงานในที่ทำงานได้เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยอ้างอิงสถิติจากเว็บไซต์ Comparably ที่มีการจัดอันดับว่า “Microsoft เป็นบริษัทที่พนักงานที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ทั้งในปี 2020 (อันดับ 3) ปี 2021 (อันดับ 5) และในปี 2022 (อันดับ 4)” ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า Microsoft ให้ความสำคัญกับพนักงานจริง ๆ เพราะการจัดอันดับนี้มาจากการที่พนักงานใน Microsoft ลงคะแนนเสียงเพื่อประเมินความสุขโดยรวมในที่ทำงานในระยะเวลา 1 ปี โดยเคล็ดลับส่วนหนึ่งมาจากการที่ Microsoft มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดี รวมถึงมีการใส่ใจถึงสวัสดิการความเป็นอยู่ของพนักงานทุกคนเป็นอย่างทั่วถึง แต่จะมีอะไรบ้าง บทความนี้ก็ได้สรุปมาให้คุณแล้ว ปลูกฝังให้พนักงานมี Growth Mindsetหัวใจสำคัญของการทำงานที่ Microsoft คือ การมี Growth Mindset เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เสมอ เพราะที่ Microsoft สนับสนุนให้ทดลองทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย เช่น มีการจัดงาน Hackathon ภายใน เพื่อให้พนักงานรวมทีมคนที่มีความสนใจคล้าย ๆ กัน หรืออยากสร้างโปรเจกต์ใหม่ ๆ ออกมา เพื่อพัฒนาแผนธุรกิจของบริษัท ถ้าหากว่าทีมไหนชนะ ก็จะได้รับเงินทุนไปพัฒนาโปรเจกต์นั้นต่อจนสำเร็จ ส่วนอีกนโยบายหนึ่งคือ High-Risk Project หรือการที่บริษัทให้พนักงานสามารถลองทำโปรเจกต์ที่มีความเสี่ยงสูง ๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องสนใจว่าโปรเจกต์นั้นจะสำเร็จหรือไม่ แถมยังให้รางวัลสำหรับการลงมือทำอีกด้วย เพราะ Microsoft ต้องการสนับสนุนให้พนักงานลองผิดลองถูกได้อย่างเต็มที่ แม้จะไม่สำเร็จ แต่บริษัทก็ได้ข้อมูลเชิงลึกที่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าได้อยู่ดี สวัสดิการส่งเสริมความสุขให้พนักงานสิ่งหนึ่งที่จะทำให้พนักงานมีความสุขมากขึ้นในระหว่างที่ทำงานอยู่ในบริษัทนั้น ๆ ก็คือ สวัสดิการ ซึ่งนอกจากที่ Microsoft จะให้เงินเดือนและโบนัสพนักงานอย่างสมเหตุสมผลและยุติธรรมกับความสามารถของพวกเขาแล้ว บริษัทก็ยังมอบสวัสดิการดี ๆ มากมาย เช่น
ปรับให้พนักงานสามารถทำงานแบบยืดหยุ่นอย่างที่รู้กันว่าพนักงานแต่ละคนมีนิสัย ความต้องการ และเงื่อนไขส่วนตัวที่แตกต่างกันไป ซึ่ง Microsoft ก็เข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดีจึงมีการปรับการทำงานให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Working) มากขึ้น เช่น ถ้าหากบางคนอยาก Work From Home ก็ได้ หรือจะสลับเข้าออฟฟิศมาทำงานก็ได้เช่นกัน เพื่อรักษาความสัมพันธ์และบรรยากาศในการทำงานที่ดีกับเพื่อนร่วมงานไว้ รวมถึง Microsoft มีสาขาเยอะในหลายประเทศ การ Remote Working จึงเข้ามาช่วยทำให้พนักงานทำงานกันได้มากขึ้นอีกด้วย และ Microsoft ก็ไม่ส่งเสริมให้พนักงานทำงานติดกันเกินกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน เพราะจะทำให้ความสุขของพนักงานลดลง รวมถึงทำให้เกิดอาการ Burnout ตามมา ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่ ถ้าพนักงานของเขารู้สึกแบบนั้น Microsoft จึงมักไม่จัดการประชุมที่มีขนาดใหญ่ 20-30 คน เพราะการประชุมแบบนี้มักจะมีคนพูดอยู่แค่ 2-3 คนเท่านั้น ทำให้พนักงานคนอื่น ๆ แทนที่จะเอาเวลาไปโฟกัสกับงานของตัวเอง กลับต้องมาเข้าประชุมโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา ดังนั้นจึงให้พนักงานแต่ละคนเข้าประชุมที่สำคัญ ๆ เท่านั้น สร้าง Digital Workplace ปูทางสู่โลก MetaverseMicrosoft ได้จับมือกับ Meta เพื่อรวมบางฟีเจอร์ใน Workplace เข้ากับ Microsoft Teams สำหรับเตรียมความพร้อมสร้างพื้นที่การทำงานร่วมกันบน Metaverse ในอนาคต นอกจากนี้ Microsoft ก็ยังมีการรวม AR / VR จาก Microsoft Mesh เข้ากับ Microsoft Teams เพื่อพาองค์กรที่มุ่งสู่ Metaverse ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะ Metaverse จะเข้ามารองรับการทำงานรูปแบบใหม่ในอนาคต ที่จะทำให้การทำงานแบบ Remote Working มีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แม้ว่าพนักงานจะไม่เข้าออฟฟิศ แต่ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถเข้ามานั่งประชุม มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ และสัมผัสประสบการณ์ได้อย่างไร้รอยต่อเหมือนอยู่ด้วยกันในโลกจริง Microsoft เล็งเห็นความสำคัญข้อนี้จึงได้มีการปูทางพัฒนา Digital Workplace และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เหล่านี้ขึ้นมา ถ้ามีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แน่นอนว่าพนักงานของเขาก็จะเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่ได้มีการใช้งานเทคโนโลยีนี้อย่างแน่นอน ภาพจาก microsoftเปิดกว้างทางความหลากหลายและความแตกต่างMicrosoft เป็นบริษัทที่เปิดกว้างในทุก ๆ เรื่อง ไม่ใช่เฉพาะแต่การรับฟังความคิดเห็นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความแตกต่างและความหลากหลายของเพศ, สัญชาติ, สีผิว, อายุ และอื่น ๆ อีกด้วย ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะมาจากไหนหรือมีเพศไหนไม่สำคัญ เพราะสิ่งหนึ่งที่ Microsoft ให้ความสำคัญคือ ความสามารถของคน ๆ นั้นจะสามารถช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทได้หรือไม่ Mircrosoft มองว่าข้อดีของการที่มีพนักงานจากทั่วทุกมุมโลกมาทำงาน คือ พวกเขาจะทำให้องค์กรเห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และคิดไม่ถึงได้เสมอ ซึ่งมันจะทำให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์คนทั้งโลกออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองประสบการณ์และความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ความแตกต่างและความหลากหลายจึงเป็นสิ่งที่ Microsoft ไม่ได้นำมาเป็นตัวตัดสินในการรับพนักงานคนนั้น ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในองค์กร ภาพจาก softpediaสรุปทั้งหมดA Happier Company is a Healthier Company. เราได้เห็นแล้วว่า Microsoft มีการส่งเสริมและสนับสนุนพนักงานในทุก ๆ ส่วน จึงทำให้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกที่สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้อยู่คู่กับทุกคนทั่วโลกมายาวนานเกือบ 50 ปี และมีมูลค่าบริษัทสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย ถ้าหากใครอยากทำให้องค์กรของตัวเองเป็นองค์กรที่มีสุขภาพดีและมีความสุข ก็อย่าลืมลองนำหลักการของ Microsoft ไปใช้กันได้นะคะ :) |