เทคโนโลยีทางการแพทย์ ข้อเสีย

           สุขภาพ กลายมาเป็นเรื่องที่ถูกยกความสำคัญขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังเกตได้จากเทรนด์การรับประทานอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย ที่นับวันจะมีแต่คนให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาว วงการการแพทย์เองก็ได้รับการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งมาโดยตลอด เห็นได้จากตลาดเครื่องมือแพทย์จากทั่วโลกที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าร้อยละ 6.4 ต่อปี ยิ่งพอก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทำให้การรักษาและเครื่องมือการแพทย์ได้รับการพัฒนาผ่านกระบวนการ Digital transformation อย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็น Medical Technology หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “MedTech” ที่บุคลากรทางการแพทย์และคนที่สนใจสามารถนำความรู้ทางเทคโนโลยีมาใช้ต่อยอดอาชีพทางการแพทย์ได้อย่างไม่หยุดยั้ง

เทคโนโลยีทางการแพทย์ ข้อเสีย

           MedTech คืออะไร

           Medical Technology หรือ MedTech คือ การนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการด้านการแพทย์ให้กับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยโรค การรักษา การติดตามอาการ ไปจนถึงการประเมินภาวะสุขภาพ การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะในแล็ปด้วยเครื่องตรวจที่ทันสมัย เอ็กซ์เรย์ร่างกาย CT scan หรือ MRI ล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตจาก Medical Technology ทั้งนั้น

           ด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ ๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาที่ดีขึ้นกว่าเดิมและก้าวเข้าสู่โลกสุขภาพแห่งอนาคต

           ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับวงการแพทย์

           AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ถูกวางเป้าหมายให้เป็นตัวช่วยในการเก็บข้อมูลและให้ข้อมูลต่าง ๆ ของทั้งผู้ป่วย และข้อมูลทางการรักษาแก่บุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และ AI ยังถูกเอามาใช้เพื่อให้วินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง ในระยะเวลาที่สั้นกว่าเดิมอีกด้วย

           ด้วยความสามารถในตอนนี้ AI มีศักยภาพที่จะทำให้แพทย์หรือนักวิจัยสามารถเรียกดูข้อมูลการแพทย์และข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยผ่านระบบที่เรียกว่า EHRs ซึ่งเป็นบันทึกข้อมูลสุขภาพดิจิทัล ที่รวมประวัติการรักษา ข้อมูลการตรวจและวินิจฉัยโรค แล็ปที่ตรวจ เครื่องมือที่ใช้รักษา เรียกได้ว่าเป็นข้อมูลของผู้ป่วยและการรักษาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ถูกบันทึกไว้บน cloud service ทำให้สามารถเรียกดูข้อมูลได้แบบ real-time ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

           ที่สำคัญข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้ และยังมีระบบที่ช่วยวิเคราะห์หาโซลูชันผ่านคลังข้อมูล การจดจำแบบแผน และการเรียนรู้ของ AI ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการหาคำตอบเพื่อใช้ในการรักษาและวินิจฉัยโรคให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิมด้วย

           ตัวอย่างของ AI ที่ถูกนำมาใช้จริงแล้วในวงการแพทย์ก็คือ การพัฒนาเครื่องอัลตราซาวด์ 3 มิติแบบมือถือ จากการพัฒนาของบริษัท startup ที่มีชื่อว่า Butterfly Network ซึ่งสามารถถ่ายทอดภาพอัลตราซาวด์แบบ 3D ออกมาแบบ real-time และอัปโหลดข้อมูลไปบน cloud service ทำให้การเข้าถึงข้อมูลสามารถทำได้ทุกที่ และมีระบบที่ช่วยจำแนกลักษณะและวินิจฉัยภาพอัตโนมัติ

           นอกจากนี้ AI ยังถูกเอามาใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้ป่วย ด้วยระบบการจดจำใบหน้าและซอฟต์แวร์ที่ช่วยตรวจจับความเคลื่อนไหว ทำให้แพทย์สามารถทำงานได้ง่ายและรวดเร็ว พร้อมกับมีความแม่นยำในการรักษามากขึ้น

           Blockchain ที่ไม่ได้ใช้กับสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น

           เทคโนโลยี Blockchain ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ในแง่ที่เข้ามาช่วยจัดทำระบบการเก็บข้อมูลทางการแพทย์เพื่อสร้างฐานข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นส่วนตั้งต้นให้กับ EHRs เทคโนโลยี AI ที่กล่าวไปแล้วในส่วนของการเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรค การรักษา การเก็บข้อมูลสุขภาพผ่าน smart health device ต่าง ๆ และที่สำคัญก็คือการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลของผู้ป่วยที่ถูกนำไปอัปโหลดขึ้นบน cloud service ทั้งหลาย

           การทำงานเป็นไปในรูปแบบที่เจ้าของข้อมูลจะเป็นผู้ถือ Private Key หรือกุญแจส่วนตัวที่ใช้ถอดรหัสข้อมูลของตัวเอง และสามารถเลือกให้สิทธิการเข้าถึงข้อมูลแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้ และมีการบันทึกทุกรายการอัปเดตและการเข้าถึงข้อมูลไว้บน Blockchain ด้วย ทำให้การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยสามารถทำได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง และที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของข้อมูล

           มีการนำ Blockchain มาใช้จริงแล้วใน MedRec ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระบบการจัดการ EHR ระหว่างผู้ป่วยกับสถานพยาบาลด้วย Blockchain เป็นโครงการนำร่องในอเมริกา ที่จัดเก็บข้อมูลอย่าง ผลตรวจเลือด ประวัติการได้รับวัคซีนและการจ่ายยา รวมถึงประวัติการบำบัดรักษา และแม้ว่าโครงการนี้จะอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีมากและสามารถนำไปต่อยอดใช้กับโรงพยาบาลอื่น ๆ ทั่วประเทศอเมริกา

           ซ่อมแซมเนื้อเยื่อและอวัยวะ ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ

           เราได้ยินเรื่องเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติมานาน แต่รู้หรือไม่ว่า ทุกวันนี้ 3D Printing ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์มาสักพักหนึ่งแล้ว มีการคาดการณ์ว่า ธุรกิจการพิมพ์ 3 มิติเพื่อการแพทย์จะมีมูลค่าสูงถึง 6 พันล้านเหรียญภายในปี 2025 โดยมีบริษัทที่เป็นผู้นำในเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิตินี้ คือ Stratasys Ltd., Arcam AB, Organovo Holdings Inc., Johnson & Johnson Services Inc. และ Stryker20

           เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ถูกใช้ในการพิมพ์โครงเลี้ยงเซลล์ การพิมพ์กระดูกเทียมที่ใช้ในการผ่าตัดใส่กระดูกเทียม รวมไปถึงการพิมพ์ฟันปลอม หรือการพิมพ์แบบพิมพ์หูที่ใช้สำหรับเครื่องช่วยฟัง เพื่อให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับแต่ละคนมากขึ้น

           นอกจากนี้ยังมีการใช้เครื่องพิมพ์ 3D ในการพิมพ์สร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะขนาดเล็กที่เอาไปใช้ในการผ่าตัดซ่อมแซมและปลูกถ่ายอวัยวะที่เสียหาย ซึ่งสามารถเติบโตและทำงานในร่างกายได้จริง และยังถูกนำไปพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถพิมพ์อวัยวะขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อการผ่าตัดรักษาอวัยวะที่เสียหายได้โดยที่ไม่ต้องรอรับบริจาคเพียงอย่างเดียว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มขีดจำกัดการรักษาและช่วยชีวิตคนได้อย่างมาก

           หุ่นยนต์ ตัวช่วยใหม่ที่สำคัญในวงการแพทย์

           หุ่นยนต์เป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์เป็นเวลานานแล้ว แมีมูลค่าทางการตลาดสูง และพร้อมเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากงานวิจัยของ Credence Research พบว่า ในปี 2015 หุ่นยนต์ทางการแพทย์มีมูลค่าตลาดทั่วโลกประมาณ 7,240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2023

           มูลค่าตลาดของหุ่นยนต์ทางการแพทย์ที่คาดว่าจะเติบโตมากเกือบ 3 เท่า ก็เป็นเพราะมีความต้องการที่จะนำหุ่นยนต์มาใช้ในการแพทย์เพื่อลดการแพร่เชื้อโรคในระหว่างผ่าตัด ลดการติดต่อของโรคระบาด ช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยในระยะรักษาหรือกายภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยพิการ เพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรคและการรักษาให้กับแพทย์ รวมไปถึงใช้ในงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย นำส่งยา ใช้ในการรักษาผู้ป่วยทางไกลผ่านระบบ remote monitoring system ที่จะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานได้ง่าย รวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

           มีการนำหุ่นยนต์มาใช้จริงแล้ว เช่น

  • หุ่นยนต์ผ่าตัดที่มีกล้องใช้ส่องขยายรายละเอียดอวัยวะและส่งภาพ 3D มาให้ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดด้วยแขนกลที่ตัวหุ่นยนต์ผ่านการสั่งการและควบคุมกลไกที่ console ซึ่งมีระบบแสดงผล กรองข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการผ่าตัด
  • หุ่นยนต์เสริมการรังสีวินิจฉัย ที่ช่วยในการฉายแสงสู่อวัยวะให้ตรงจุด เพื่อรักษาที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำตรงจุด โดยการลดรัศมีของอวัยวะอื่นโดยรอบที่จะโดนรังสี รวมไปถึงหุ่นยนต์ที่ช่วยฟื้นฟูบำบัดผู้ป่วยทางสมอง หุ่นยนต์เสริมสมรรถนะและแขนขาเทียมอัจฉริยะที่ใช้ในผู้พิการ

           จะเห็นได้ว่า MedTech เปลี่ยนโลกมาได้ในระดับหนึ่งแล้ว และยังจะถูกพัฒนาขีดความสามารถเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและโอกาสในการรักษาผู้ป่วยให้ดีขึ้นกว่าเดิมอยู่ตลอดเวลา หากไม่อยากตกขบวนรถไฟสู่โลกสุขภาพแห่งอนาคต มาเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการเรียนคอร์สออนไลน์ MedTech: AI and Medical Robots จาก Futurelearn ที่จะพาคุณไปรู้จักเทคโนโลยี AI และ Medical Robots ที่ใช้ใน MedTech เป็นการเพิ่มความสามารถและสร้างโอกาสในอาชีพทางการแพทย์ของคุณ ไม่ให้ตกเทรนด์สุขภาพแห่งโลกอนาคต

           สำหรับใครที่กำลังมองหางานที่เกี่ยวข้อง MedTech สามารถค้นหางานที่ตรงใจได้ง่ายๆ ที่แอปพลิเคชัน JobsDB

ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ทั้ง iOS และ Android

เทคโนโลยีทางการแพทย์ ข้อเสีย

เลือกงานที่ใช่ ใช้ชีวิตที่ชอบ ด้วยการค้นหางานที่ง่ายและรวดเร็ว พร้อมทั้งจัดการเรซูเม่อย่างมีประสิทธิภาพ ให้คุณอัปโหลด ดู และลบได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การใช้งานแสนง่าย ด้วยระบบ AI ใหม่ ช่วยค้นหางานที่ตรงใจมากขึ้นถึง 6 เท่า​
Blockchain เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกยุคดิจิทัลที่คนไอทีต้องรู้
รู้ลึกก่อนใคร 10 เทรนด์ด้านเทคโนโลยีสำหรับ 2021 ที่ใคร ๆ ก็เรียนได้
Silicon Valley หุบเขาแห่งเทคโนโลยี แหล่งผลิตคนไอที หัวกะทิ
เรียนจบไอที หรือจบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำงานอะไรได้บ้าง