การเขียนรายงาน คือการเขียนเสนอผลงานอันได้มาจากการศึกษาค้นคว้าพิเศษนอกเหนือจากเรื่องที่ได้ศึกษาในชั้นเรียนเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง Show
รูปแบบของรายงานรูปแบบของการรายงาน แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนประกอบตอนต้น ส่วนเนื้อหา และส่วนประกอบตอนท้าย ดังนี้ ส่วนประกอบตอนต้น
ส่วนเนื้อเรื่อง
ส่วนประกอบตอนท้าย
กระบวนการเขียนรายงานขั้นตอนการเขียนรายงาน มีดังนี้
การจัดรูปแบบการเขียนรายงาน เรียงลำดับตามนี้
การจัดหน้ากระดาษ ใช้กระดาษ A4 โดยตั้งค่าหน้ากระดาษ ดังนี้
หมายเหตุ 1 นิ้ว เท่ากับ 2.54 เซนติเมตร ตัวอย่างปกรายงานตัวอย่างคำนำรายงานคำนำ รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา…….ชั้น…เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง……..และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ตัวอย่างสารบัญตัวอย่างบรรณานุกรม
1. ส่วนนำ ประกอบด้วย 1.1 ปกนอก คือ ส่วนที่เป็นปกหุ้มรายงานทั้งหมด มีทั้งปกหน้า และปกหลังกระดาษที่ใช้เป็นปกควรเป็นกระดาษแข็งพอสมควร สีใดก็ได้ ข้อความที่ปรากฏบนปกนอกดูได้ตามตัวอย่างที่ได้แสดงไว้ 1.2 ใบรองปก คือ กระดาษเปล่า ๑ แผ่น อยู่ต่อจากปกนอก เพื่อความสวยงาม และเป็นเครื่องช่วยป้องกันไม่ให้เสียหายถึงปกใน หากปกฉีกขาดเสียหายไป 1.3 ปกใน คือ ส่วนที่อยู่ต่อจากปกนอก นิยมเขียนเหมือนปกนอก 1.4 คำนำ คือ ส่วนที่อยู่ถัดจากหน้าปกใน ผู้เขียนรายงานเป็นผู้เขียนเอง โดยกล่าวถึงวัตถุประสงค์ และขอบเขตของรายงาน อาจรวมถึงปัญหา อุปสรรคในการศึกษาค้นคว้าทำรายงาน ตลอดจนคำขอบคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในการรวบรวมข้อมูล หรือการเขียนรายงาน (ถ้ามี) ให้ลงท้ายด้วยชื่อผู้จัดทำรายงาน หากมีหลายคนให้ลงว่าคณะผู้จัดทำ และลงวันที่กำกับ 1.5 สารบัญ คือ ส่วนที่อยู่ต่อจากหน้าคำนำ ในหน้าสารบัญจะมีลักษณะคล้ายโครงเรื่องของรายงาน ทำให้ผู้อ่านได้ทราบว่า ขอบเขตเนื้อหาของรายงานครอบคลุมเรื่องใดบ้าง ในหน้านี้ให้เขียนคำว่า สารบัญไว้กลางหน้า ข้อความในหน้าสารบัญจะเริ่มต้นจากคำนำ หัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง และหัวข้อย่อย ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญ ๆ ของรายงาน เรียงตามลำดังเรื่อง และท้ายสุดเป็นรายการอ้างอิงที่ใช้ประกอบการเรียบเรียงรายงาน ข้อความในหน้าสารบัญ ควรเขียนห่างจากขอบซ้ายของหน้ากระดาษประมาณ ๑.๕ นิ้ว และด้านขวาจะมีเลขหน้าแจ้งให้ทราบว่าแต่ละหัวข้อเริ่มจากหน้าใด หน้าสารบัญควรจัดทำเมื่อเขียนรายงานเสร็จแล้ว เพื่อจะได้ทราบว่าแต่ละหัวข้อเริ่มจากหน้าใดบ้าง 2. ส่วนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของรายงาน ผลงานการศึกษาค้นคว้า จะนำมาเสนอตามโครงเรื่องที่ได้กำหนดไว้ โดยก่อนเริ่มต้น ควรมีการเกริ่นเรื่อง และจบเนื้อเรื่องด้วยบทสรุป เนื้อหาที่เขียนนั้นจะต้องเขียนอย่างมีหลัดเกณฑ์ หรืออ้างอิงหลักวิชา แสดงความคิดที่เฉียบแหลมและลึกซึ้ง ส่วนประกอบที่แทรกในเนื้อหานั้นอาจแบ่งได้ดังนี้ 2.1 อัญประภาษ (Quotation) คือ ข้อความที่คัดมาจากคำพูด หรือข้อเขียนของผู้อื่นมาไว้ในรายงานของตน หรืออีกอย่างหนึ่งว่า "อัญพจน์" 2.2 การอ้างอิงแบบเชิงอรรถ (Footnotes) เชิงอรรถเป็นข้อความซึ่งบอกที่มาของข้อความที่นำมาอ้างประกอบการเขียนรายงาน หรืออาจจะเป็นข้อความที่ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำ หรือข้อความในรายงานก็ได้ ถ้าแบ่งตามประโยชน์ที่ใช้ เชิงอรรถจะมี 3 ประเภทด้วยกันคือ 2.2.1 เชิงอรรถอ้างอิง หมายถึง เชิงอรรถที่ใช้บอกแหล่งที่มาของข้อความที่นำมาเป็นหลักฐานประกอบการเขียน เพื่อแสดงว่า สิ่งที่นำมาอ้าง ในรายงานนั้น ไม่เลื่อนลอย และผู้อ่านรายงานจะตัดสินใจได้ว่า ข้อความที่นำมาอ้างนั้นน่าเชื่อถือเพียงใด ดังตัวอย่าง พระยาอนุมานราชธน, แหลมอินโดจีนโบราณ (พระนคร : คลังวิทยา, ๒๔๗๙), หน้า ๓๐๕. 2.2.2 เชิงอรรถอธิบาย หมายถึง เชิงอรรถซึ่งอธิบายความที่ผู้เขียนรายงานคิดว่า จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน อาจจะเป็นคำนิยม หรือความหมายของศัพท์ที่ผู้ทำรายงานประสงค์จะให้ผู้อ่านทราบเพิ่มเติมก็ได้ ดังตัวอย่าง ลัทธิความน่าจะเป็น หมายถึง ลัทธิความเชื่อหนึ่งที่เชื่อว่า มีความเป็นไปได้ หรือมีทางเป็นไปได้ ที่จะทำนายลำดับก่อนหลัง ที่แน่นอนของ เหตุการณ์ โดยอาศัยประสบการณ์ในอดีตเป็นพื้นฐาน การอ้างอิงเชิงอรรถของข้อความในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งคัดลอกมาจากหนังสืออีกเล่มหนึ่ง มีวิธีเขียน 2 แบบ คือ 1. ถือเล่มเดิมเป็นหลักฐานที่สำคัญ ดังตัวอย่าง เจือ สตะเวทิน, สุนทรภู่ (กรุงเทพฯ : สุทธิสารการพิมพ์, ๒๕๑๖), หน้า ๑๒๑, อ้างถึงใน สมบัติ พลายน้ำ, "ประวัติชีวิตพรสุนทรโวหาร (ภู่)," อนุสรณ์สุนทรภู่ ๒๐๐ ปี, จัดพิมพ์โดยสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย (กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๙), หน้า ๔๙ 2. ถือเอกสารใหม่เป็นหลักฐานที่สำคัญ ดังตัวอย่าง สมบัติ พลายน้ำ "ประวัติชีวิตพระสุนทรโวหาร (ภู่)," อนุสรณ์สุนทรภู่ ๒๐๐ ปี, จัดพิมพ์โดยสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย (กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๙), หน้า ๔๙ อ้างจาก เจือ สตะเวทิน, สุนทรภู่ (กรุงเทพฯ : สุทธิสารการพิมพ์, ๒๕๑๖), หน้า ๑๒๑ 2.3 การอ้างอิงแบบแทรกปนในเนื้อหา การอ้างอิงแบบนี้เป็นอ้างอิงที่มาของข้อความแทรกไปในเนื้อหาของรายงาน การอ้างอิงแบบนี้ ได้รับความนิยมมากกว่า การอ้างอิงแบบเชิงอรรถ เพราะสะดวกในการเขียนมี ๒ แบบ คือ 2.3.1 ระบบนามปี จะระบุชื่อผู้แต่ง ปีที่พิมพ์ และหน้าที่อ้าง เช่น วรรณคดีเปรียบเสมือนเรื่องแสดงภาพชีวิต คามคิด จิตใจ อุดมคติ หรือความนิยม ความต้องการของมนุษย์ วรรณคดีในอดีตเป็นเครื่องบันทึกสภาพดังกว่า เช่นเดียวกับวรรณกรรมปัจจุบันเป็นส่วนบันทึกความเป็นไปในปัจจุบัน (กุหลาบ มัลลิกะมาส. ๒๕๒๐ : ๑๕๒-๑๕๓) 2.3.2ระบบหมายเลข จะระบุหมายเลขตามลำดับเอกสารที่อ้างและหน้าที่อ้าง เช่น อุปมาโวหาร คือ กระบวนความเปรียบเทียบ ใช้แทรกในพรรณนาโวหาร เพื่อช่วยให้ข้อความแจ่มชัดคมคาย (๑ : ๑๓๙-๑๔๐) 3. ส่วนท้าย เป็นส่วนที่ทำให้รายงานน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ ประกอบด้วย 3.1 บรรณานุกรม (Bibiogecphy) หมายถึง รายชื่อเอกสารต่างที่ใช้ประกอบในการทำรายงาน โดยให้รายละเอียดต่างๆ เช่นเดียวกับเชิงอรรถ แต่มีวิธีเขียนที่แตกต่างกันเล็กน้อย บรรณานุกรมนี้จะเขียนไว้ท้ายเล่ม โดยแยกตามประเภทของเอกสารดังต่อไปนี้ 1. โครงสร้างรูปแบบบรรณานุกรมหนังสือ 1.1
การอ้างถึงชื่อผู้แต่ง 1.1.2 ผู้แต่ง 2 คน ให้ใส่คำว่า “และ” เชื่อมระหว่างคนที่ 1 กับคนที่ 2 1.1.3 ผู้แต่ง 3 คน ให้ใส่เครื่องหมายจุลภาคคั่นระหว่างคนที่ 1 กับคนที่ 2 และใส่คำว่า “และ” เชื่อมระหว่างคนที่ 2 กับคนที่ 3 1.1.4 ผู้แต่งตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ลงเฉพาะชื่อแรก และตามด้วยคำว่า และคนอื่น ๆ 1.1.5 หนังสือที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง ให้ใช้ชื่อเรื่องเป็นรายการแรกแทนชื่อผู้แต่ง 1.1.6 ผู้แต่งมีบรรดาศักดิ์ ให้ใส่ชื่อ นามสกุล ตามด้วยบรรดาศักดิ์ 2. โครงสร้างและรูปแบบบรรณานุกรมวารสาร 2.1 การเขียนบรรณานุกรมจากบทความในวารสาร มีปีที่ และฉบับที่ 3. รูปแบบบรรณานุกรมเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ระบบออนไลน์ (Online) หรืออินเทอร์เน็ต 3.1 เว็บเพจ มีผู้เขียน หรือมีหน่วยงานรับผิดชอบ หลักการเขียนบรรณานุกรมที่ดียังมีให้ศึกษาอีกมากมาย นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆที่นำมาฝากกันกับชาวสังคมศึกษา หาอ่านเพิ่มเติมที่ ลิงก์นี้ การเขียนบรรณานุกรมการเขียนบรรณานุกรม แหล่งที่มา การเขียนบรรณานุกรม http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit5_part13.htm การเขียนบรรณานุกรม การเขียนรายงานเชิงวิชาการ (2556). (ออนไลน์) แหล่งที่มา: http://203.172.198.146/other_web/Thai/Thai03/write4.html ข้อใดเป็นลำดับขั้นตอนการทำรายงานเชิงวิชาการได้ถูกต้องขั้นตอนในการเขียนรายงานเชิงวิชาการ. กำหนดเรื่อง ก่อนที่จะทำรายงานทุกคนจะต้องกำหนดก่อนว่าจะทำรายงานเรื่องอะไรการเลือกเรื่องควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ คือ ... . กำหนดชื่อเรื่องและขอบเขตของเรื่อง ... . การวางโครงเรื่อง ... . รวบรวมข้อมูล ... . การจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูล ... . เสนอผลรายงาน. ข้อใดเป็นลำดับขั้นตอนที่เหมาะสมในการเขียนรายงาน17.ข้อใดเป็นลำดับขั้นตอนที่เหมาะสมในการเขียนรายงานทางวิชาการ กำหนดหัวเรื่องและขอบเขต กำหนดโครงเรื่องที่แน่นอน สำรวจแหล่งข้อมูลรวบรวมและบันทึกข้อมูล เรียงเรียงรายงาน สำรวจแหล่งข้อมูล รวบรวมและบันทึกข้อมูล กำหนดหัวข้อเรื่องและขอบเขตกำหนดโครงเรื่องคร่าวๆ วางโครงเรื่องที่แน่นอน เรียบเรียงรายงาน
การเขียนรายงานเชิงวิชาการมีขั้นตอนอะไรบ้างขั้นตอนการจัดทารายงานทางวิชาการ
1. การเลือกเรื่องหรือหัวข้อ 2. การค้นคว้าและรวบรวมแหล่งค้นคว้า 3. การวางโครงเรื่อง 4. การอ่านและจดบันทึกข้อมูล 5. การเรียบเรียงเนื้อเรื่อง 6. การเขียนบรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิง 7. การเขียนส่วนประกอบอื่นๆ (ปกนอก หน้าปกใน คานา สารบัญ)
ข้อใด คือ ส่วนประกอบตอนท้ายของรายงานทางวิชาการส่วนประกอบตอนท้าย (back matter หรือ reference matter) เป็นส่วนที่อยู่ถัดจากเนื้อเรื่อง ประกอบด้วย 1. หน้าบอกตอน (Half Title Page) คือหน้าที่พิมพ์ข้อความไว้กลางหน้ากระดาษเพื่อบอกว่าส่วนที่อยู่ถัดไปคืออะไร ส่วนใหญ่แล้ว หน้านี้จะปรากฏในส่วนประกอบตอนท้ายของรายงานการค้นคว้า เช่น หน้าบอกตอน “บรรณานุกรม” หน้าบอกตอน “ภาคผนวก”
|