Show
10 คำถามที่มักใช้ "สัมภาษณ์งานทางโทรศัพท์"การสัมภาษณ์งานทางโทรศัพท์ ถือเป็นด่านสำคัญที่จะช่วยสร้างความประทับใจในครั้งแรกที่ได้คุยกันแก่ฝ่ายคัดเลือกบุคคลของบริษัทต่างๆ แม้จะไม่ได้พบเจอกันโดยตรง แต่น้ำเสียงและทัศนคติที่ถ่ายทอดออกมาผ่านการสื่อสาร จะเป็นสิ่งที่ HR ใช้ประเมินคุณ หากคุณสมบัติเหมาะสมก็จะได้นัดสัมภาษณ์งาน แต่หากไม่ใช่ ก็จะได้ไม่เสียเวลากันทั้ง 2 ฝ่าย โดยคำถามพื้นฐานที่มักใช้ถามผู้สมัครงาน มีดังนี้ 1. ให้แนะนำตัว : การแนะนำตัวทั่วไปเพื่อให้รู้จักผู้สมัครมากขึ้น เช่น ชื่อ-นามสกุล, อายุ การศึกษา, ทำงานที่ไหน, ตำแหน่งงานในปัจจุบัน ฯลฯ 2. เล่าประสบการณ์ทำงาน : ผู้สมัครเคยผ่านการทำงานที่ไหนมาบ้าง ทำตำแหน่งอะไร ขอบเขตงานที่ทำเป็นอย่างไร และมีประสบการณ์รวมกี่ปี 3. บอกจุดแข็ง และจุดอ่อนของตัวเอง : การบอกจุดแข็งและจุดอ่อนในด้านการทำงาน จะช่วยให้ HR ประเมินคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงานได้ง่ายยิ่งขึ้น 4. สาเหตุที่ลาออกจากที่ทำงานเก่า : ผู้สมัครต้องแจ้งเหตุผลว่าทำไมจึงอยากเปลี่ยนงานใหม่ ซึ่งคำตอบจะสะท้อนทัศนคติของตัวผู้สมัครเอง 5. ทำไมจึงสนใจสมัครงานตำแหน่งนี้ : ควรบอกเหตุผลด้านดี ไม่ควรพูดว่าร้ายให้บริษัทเก่าเสื่อมเสีย เช่น อยากทำงานที่ท้าทาย, มองหาความก้าวหน้า, สถานที่ทำงานใกล้บ้าน 6. รู้จักองค์กรที่สมัครงานดีแค่ไหน : คำถามนี้ HR จะได้ประเมินว่าตัวผู้สมัครเอง มีความสนใจในงานและบริษัทที่สมัครไปมาก-น้อยแค่ไหน 7. อธิบายขอบเขตงานที่ต้องรับผิดชอบ : การบอกขอบเขตงาน (Job Description) จะแสดงให้เห็นว่าคุณมีความเข้าใจในตำแหน่งงานที่สมัคร 8. สิ่งที่มุ่งหวังในงานใหม่ : คำตอบของคุณจะช่วยให้ HR ประเมินว่า ตำแหน่งและองค์กรนี้จะตอบโจทย์ความมุ่งหวังของผู้สมัครได้หรือไม่ 9. เงินเดือนที่คาดหวัง : หลายบริษัทให้ HR คัดเลือกผู้สมัคร โดยพิจารณาจากฐานเงินเดือนที่ต้องการด้วยว่า อยู่ในฐานที่โครงสร้างบริษัทกำหนดไว้หรือไม่ 10. ขอดูตัวอย่างผลงาน : เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น บางครั้งผู้สมัครจะต้องส่งตัวอย่างผลงานให้ทางบริษัทพิจารณาร่วมด้วย 10 เทคนิค สำหรับสัมภาษณ์งานทางโทรศัพท์ อย่างมืออาชีพนอกเหนือจากการซักซ้อมเพื่อลองตอบคำถามแล้ว การเตรียมตัวก่อนสัมภาษณ์งานทางโทรศัพท์ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน เพราะหากคุณเตรียมคำตอบไว้อย่างดี แต่เมื่อถึงเวลารับสายเพื่อสัมภาษณ์งาน กลับไม่สามารถสื่อสารออกไปได้อย่างที่คาดหวัง ก็ย่อมมีผลกระทบต่อการสัมภาษณ์ได้ เทคนิคต่อไปนี้จะช่วยให้คุณมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น 1.
ตั้งสติ และซ้อมพูดออกเสียง 2. เตรียมเรซูเม่ไว้ข้างตัว 3.
หาสถานที่ที่ไม่มีเสียงรบกวน 4. พูดชัดถ้อยชัดคำ แสดงความมั่นใจ 5.
เลือกใช้ระดับภาษาให้เหมาะสม
7. พูดความจริง
ไม่สร้างเรื่องโกหก 8. เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด 9. เตรียมคำถามที่สงสัยไว้ถาม 10. กล่าวขอบคุณผู้สัมภาษณ์ สัมภาษณ์งานทางโทรศัพท์ อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ บางครั้ง HR จะติดต่อมาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว ดังนั้น หลังยื่นเรซูเม่สมัครงานแล้ว ควรเตรียมความพร้อมไว้อยู่เสมอ เพื่อที่จะได้ไม่พลาดทุกโอกาสที่เข้ามาหาคุณ สถิติจากเว็บไซต์ InterviewSuccessFormula.com พบว่า 80% ของผู้สมัครงานที่ส่งเรซูเม่จะไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์ ดังนั้น หากคุณคือ 20% ที่เหลือที่ผ่านการประเมินรอบแรก ใบสมัครงานเข้าตากรรมการ และกำลังจะเข้าสู่ด่านต่อไปคือการ “สัมภาษณ์งาน” ร่วมกับคู่แข่งที่ไม่รู้ว่ามีอีกกี่คน นี่คือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการตอบคำถาม “แอชลีย์ สตาห์ล” โค้ชและนักพูดด้านการงานอาชีพ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงในกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา เขียนบทความแนะนำการตอบ 7 คำถามสำคัญในการสัมภาษณ์งาน คำถามเหล่านี้เป็นคำถามทั่วไปที่คนมักจะเจอ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ตอบได้ดี 1.แนะนำตัวเองคำถามที่ดูเหมือนเป็นคำถามธรรมดาๆ จริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในคำถามที่สำคัญที่สุด ผู้สัมภาษณ์มักจะมองคำถามนี้เป็นเหมือนการ “อุ่นเครื่อง” สำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึกในลำดับต่อไป สตาห์ลแนะนำว่า ผู้ตอบควรจะใช้โอกาสนี้ในการแนะนำตัวให้เห็นความตั้งใจในการสมัครงาน โดยแบ่งคำตอบออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
แค่เพียงแนะนำตัวแต่ต้องตอบยาวขนาดนี้เลยหรือ? คุณอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วการตอบแบบปังๆ ตั้งแต่ต้นจะทำให้คุณเป็นผู้สมัครงานที่โดดเด่นขึ้นมาทันที 2.คุณมีข้อเสียสำคัญอะไรบ้างนี่คือคำถามเพื่อให้ผู้สมัครงานโชว์ความซื่อสัตย์และจริงใจ และแสดงให้เห็นว่าคุณมีบุคลิกแบบ “คนที่ตระหนักถึงข้อดี-ข้อด้อยของตัวเอง” ซึ่งเป็นซอฟต์สกิลที่สำคัญมากในที่ทำงาน เพราะเป็นทักษะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี จากการวิจัยของ Eurich Group บริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาผู้บริหารในสหรัฐฯ พบว่ามีคนเพียง 10-15% ที่มีทักษะดังกล่าว ดังนั้น คุณควรจะแสดงให้เห็นว่าคุณคือหนึ่งในกลุ่มคนหายาก โดยขอแนะนำว่า “อย่า” ใช้คำตอบเหล่านี้
การตอบคำถามเรื่อง “ข้อเสีย” เป็นเรื่องของการจัดสมดุลระหว่าง การแสดงให้เห็นจุดอ่อนใหญ่จริงๆ ของคุณโดยไม่ทำให้คนฟังรู้สึกว่าคุณไม่มีทางที่จะพัฒนาจากจุดนั้นได้เลย พร้อมๆ กับการอ่านให้ออกว่า ตำแหน่งที่คุณสมัครต้องการคนที่มีจุดอ่อนแบบไหน ซึ่งจะกลายเป็นจุดเด่นที่เหมาะสมกับตำแหน่ง เช่น ตำแหน่งนี้ต้องการคนที่รักการทำงานเป็นทีม หรือต้องการคนที่ทำงานด้วยตนเอง หรือต้องการผู้นำ หรือต้องการคนที่ทำตามคำสั่งได้ดี คุณต้องวิเคราะห์ตำแหน่งของตัวเองที่สมัครไปให้ออก โดยสตาห์ลมีคำตอบตัวอย่างให้นำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตำแหน่งที่คุณสมัครงาน เช่น
เพื่อเสริมให้เห็นความสำคัญ เมื่อคุณเลือกจุดอ่อนที่จะตอบได้แล้ว สตาห์ลแนะนำให้พูดถึงความท้าทายด้วยว่าจุดอ่อนนั้นมีผลอย่างไรกับการทำงานของคุณในอดีต และได้พยายามพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ 3.ทำไมคุณจึงเหมาะที่สุดที่จะทำงานนี้ความจริงก็คือ คุณไม่รู้หรอกว่าคุณเหมาะที่สุดหรือเปล่า แต่คุณต้องเชื่อว่าคุณคือคนที่ใช่ สตาห์ลแนะนำวิธีตอบคำถามปลายเปิดและตอบได้กว้างมากนี้ว่า คุณอาจจะเริ่มจากการแนะนำทักษะประเภทซอฟต์สกิลของตัวเองที่ผู้สัมภาษณ์ไม่ได้เห็นบนเรซูเม่ เช่น
เมื่อพูดถึงทักษะเหล่านี้แล้ว คุณควรจะเล่าเรื่องสั้นๆ ที่แสดงให้เห็นทักษะนั้นของคุณ และเรื่องสั้นๆเหล่านี้เอง ที่ฉายภาพความเป็นตัวคุณได้ดียิ่งกว่าการพูดคุยหรือการอ่านแค่เรซูเม่ และยังเป็นโอกาสได้แสดงตัวตนว่าคุณจะเหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรของที่นั่นหรือไม่ การแสดงออกถึงบุคลิกที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรนั้นสำคัญมาก สถิติจาก Millenial Branding พบว่า 43% ของเจ้าหน้าที่ HR มองว่า “บุคลิกเข้ากับวัฒนธรรมองค์กร” คือคุณลักษณะที่สำคัญ ขณะที่คนสมัครงานส่วนใหญ่มักจะพูดเรื่องทักษะการทำงานเป็นหลักเพื่อแสดงว่าตัวเองเหมาะกับตำแหน่ง การที่คุณเล่าเรื่องเพื่อโชว์บุคลิกที่เข้ากับบริษัทจะส่งให้คุณโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ 4.ถ้าเกิดความขัดแย้งในที่ทำงาน คุณจะทำอย่างไรคำถามสุดหินที่คำตอบจะสะท้อนได้ว่าคุณมี EQ มากแค่ไหน และเรื่องความฉลาดทางอารมณ์คือซอฟต์สกิลที่สำคัญมาก โดยมีผลวิจัยพบว่า 71% ของผู้จัดการฝ่าย HR จะเลือกผู้สมัครงานที่มี EQ ดีมากกว่าคนที่มี IQ สูง และ 59% ในจำนวนนี้ถึงกับตอบว่าพวกเขาจะทิ้งใบสมัครของคนที่ IQ สูงแต่มี EQ ต่ำเสียด้วยซ้ำ จำไว้ว่า สิ่งสุดท้ายที่คุณอยากทำในการสัมภาษณ์งานคือการสร้างบรรยากาศเชิงลบ เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะพูดคุยเรื่องความขัดแย้งในการทำงาน คุณก็ต้องเล่าถึงมันในเชิงบวกให้ได้ เช่น การเล่าวิธีรับมือความขัดแย้งในอดีตคงไม่ใช่การเล่าแบบเจาะลึกว่าเพื่อนร่วมงานคุณรับมือยากและขัดขวางการทำงานขนาดไหน แต่อาจจะใช้คำว่า เพื่อนร่วมงานทำให้กระบวนการทำงานช้ากว่าแผน และคุณได้สร้างบทสนทนาเพื่อส่งเสริมกระตุ้นให้เพื่อนร่วมงานให้ความร่วมมือในเชิงบวก โทนโดยรวมของการเล่าเรื่องนี้ไม่ใช่การบ่นเรื่องคนทำงาน หรือความสัมพันธ์ระหว่างกันของคน แต่เป็นการโชว์ให้เห็นว่าคุณมุ่งมั่นที่การทำงานให้ดีขึ้น 5.คุณเห็นภาพตัวเองอย่างไรในอีก 5 ปีข้างหน้าได้โปรดอย่าตอบว่า“อยู่ในตำแหน่งนี้แหละ” เหมือนกับคำถามที่ขอให้แนะนำตัวเอง นี่คือคำถามปลายเปิดเพื่อให้คุณโชว์ความมั่นใจและแรงขับในการเติบโตทางการงาน คุณควรแสดงให้เห็นว่าคุณจะทำงานหนักและจะเติบโตต่อไป สิ่งที่บริษัทอยากได้ยิน 3 อย่างจากคำถามนี้คือ
คำตอบที่ยอดเยี่ยมคือคำตอบที่สามารถเน้นย้ำให้เห็นว่า โอกาสการเติบโตในบริษัทสามารถไปคู่กับเป้าหมายอาชีพในระยะยาวของคุณ 6.เราจะได้เห็นอะไรจากคุณบ้างภายใน 90 วันแรกของการทำงานอีกหนึ่งโอกาสให้คุณแสดงออกว่า คุณทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทและตำแหน่งนี้มาดี วิธีที่ดีในการตอบคำถามนี้คือลงลึกในรายละเอียดว่า คุณเข้าใจความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับตำแหน่งนี้ รวมถึงมองไปข้างหน้าทั้งระยะสั้นและระยะยาวว่าหน้าที่นี้น่าจะได้ทำอะไรบ้าง นี่คือคำตอบที่คุณสามารถนำไปพิจารณาใช้
7.คุณมีคำถามจะถามเราไหมคำตอบของคำถามนี้คือ “ใช่” คุณต้องไม่ลืมที่จะเตรียมคำถามตัวเองไปบ้างเหมือนกัน ไม่ต้องถามเยอะเกินไป แต่ต้องมีบ้าง ปกติผู้สัมภาษณ์จะยิงคำถามนี้เมื่อใกล้จะจบการสัมภาษณ์ หรืออาจจะเป็นคำถามสุดท้ายเลย ดังนั้น นี่เป็นโอกาสท้ายสุดเหมือนกันที่คุณจะได้แสดงออกว่า คุณมีการเตรียมตัวและกระตือรือร้น รวมถึงเป็นโอกาสให้คุณหาข้อมูลเพิ่มเติมถ้าหากคุณได้รับงานนี้จริงๆ นี่คือลิสต์คำถามที่คุณอาจจะอยากถาม
แต่ละการสัมภาษณ์ย่อมแตกต่างกันไป คุณอาจจะได้รับคำถามพวกนี้ทั้งหมดหรือไม่ได้เลยก็ได้ แต่เป็นไปได้สูงกว่ามากที่ผู้สัมภาษณ์ต้องแตะคำถามอย่างน้อยสักหนึ่งคำถามในนี้ และการเตรียมตัวเองเพื่อตอบคำถามสามัญธรรมดาพวกนี้ย่อมทำให้คุณเหนือกว่าผู้สมัครคนอื่น การสัมภาษณ์ก็คือบทสนทนาครั้งหนึ่ง ขอแค่คุณพกความมั่นใจไปและอย่าลืมว่าพวกเขาก็ต้องการคนทำงานเช่นคุณมากพอๆ กับที่คุณอยากได้งานนั่นแหละ! ที่มา positioningmag.com เนื้อหาอื่นที่น่าสนใจ “คัดคนที่ใช่” ให้ไว ด้วย 3 คำถาม ทางโทรศัพท์ 04 January 2021 View 8,075 |