ความหมายของวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานได้ให้ความหมายของวิทยาศาสตร์ (Science) ว่าคือ ความรู้ที่ได้จากการสังเกตและค้นคว้าจากการประจักษ์ทางธรรมชาติ และจัดเข้าเป็นระเบียบ หรือวิชาที่ค้นคว้าได้เป็นหลักฐานและได้เหตุผลแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ ประเภทของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตตร์แบ่งออกเป็น 2 แขนงใหญ่ๆ คือ 1.วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์(Pure Science) ได้แก่ ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์พื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทุกสาขา 2. วิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Science) ได้แก่ วิทยาศาสตร์ทางด้านการแพทย์ ด้านเกษตร ด้านวิศวกรรม ฯลฯ ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมโดยมีวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientic Method) วิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือวิธีแสวงหาความรู้ เป็นวิธีการแก้ปัญหาตามระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นระบบและขั้นตอนที่แน่นอน ดังนี้
1.การสังเกตและการตั้งปัญหา (Observation and problem) การสังเกต (Observation) วิธีการทางวิทยาศาสตร์มักเริ่มจากการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เมื่อได้ข้อสังเกตบางอย่างที่เราสนใจจะทำให้ได้สิ่งที่ตามมา คือ ปัญหา (Problem) 2.การตั้งสมมติฐาน (Formulation of Hypothesis) คือการคาดเดาคะเนคำตอบที่อาจเป็นไปได้หรือคิดหาคำตอบล่วงหน้าบนฐานข้อมูลที่ได้จากการสังเกตปรากฏการณ์และศึกษาเอกสารต่างๆ โดยคำตอบของปัญหาซึ่งคิดไว้นี้อาจถูกต้อง แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับจนกว่าจะมีการทดลองเพื่อตรวจสอบอย่างรอบครอบเสียก่อนจึงจะทราบว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นควรตั้งสมมติฐานไว้หลายๆ ข้อและทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน ไปพร้อมๆ กัน การตั้งสมมติฐานที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
3.การตรวจสอบสมมติฐานหรือขั้นรวบรวมข้อมูล(Gather Evidence) การตรวจสอบสมมติฐาน จะต้องยึดข้อกำหนดสมมติฐานไว้เป็นหลักเสมอ (เนื่องจากสมมติฐานที่ดีได้แนะลู่ทางการตรวจสอบ และออกแบบการตรวจสอบไว้แล้ว) ซึ่งการตรวจสอบสมมติฐานนี้ได้ การสังเกตและการรวบรวมข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดจากประสบการณ์ธรรมชาติ การทดลอง เป็นกระบวนการปฏิบัติหรือหาคำตอบหรือตรวจสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้โดยการทดลอง เพื่อทำการค้นคว้าหาข้อมูล และตรวจสอบว่าสมมติฐานข้อใดเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด ประกอบด้วยกิจกรรม 3 กระบวนการคือ การออกแบบการทดลอง คือ การวางแผนการทดลองก่อนที่จะลงมือปฏิบัติจริงโดยให้สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้เสมอ และควบคุมปัจจัยหรือตัวแปร ต่างๆ ที่มีผลต่อการทดลอง แบ่งเป็น 3 ชนิดคือ
3.1การปฏิบัติการทดลอง ในกิจกรรมนี้ลงมือปฏิบัติการทดลองจริงโดยจะดำเนินการไปตามขั้นตอนที่ได้ออกแบบไว้ และควรจะทำการทดลองซ้ำ ๆ หลายๆ ครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าได้ผลเช่นนั้นจริง 3.2 การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกที่ได้จากการทดลองซึ่งข้อมูลที่ได้การรวบรวมไว้ใช้สำหรับยืนยันว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้ถูกต้องหรือไม่ 4.การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis of Data) เป็นขั้นที่นำข้อมูลที่ได้รับจากการสังเกต การค้นคว้า การทดลองหรือการรวบรวมหรือข้อเท็จจริงมาทำการวิเคราะห์ผล แล้วนำไปเปรียบเทียบกับสมมติฐาน ที่ตั้งไว้ว่าสอดคล้องกับสมมติฐานข้อมูลข้อใด เช่น การหาค่าเฉลี่ยของความสูงของต้นหญ้า จาก 2 สัปดาห์ 5.ขั้นสรุปผล (Conclusion of Result) การสรุปผล เป็นขั้นตอนที่นำเอาข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนของการรวบรวมข้อมูล แล้วมาสรุป พิจารณาว่าผลสรุปนั้นเหมือนกับสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ ถ้าเหมือนกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ สมมติฐานจะกลายเป็นทฤษฎี (Theory) และทฤษฎีนั้นก็สามารถนำไปอธิบายข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Process Skill) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นส่วนที่สำคัญในการส่งเสริมและเทคโนโลยี(สสวท.)ได้รวบรวมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ 13 ทักษะดังนี้
ตัวแแปรตต้น คือ สิ่งที่เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดผลต่างๆ หรือสิ่งที่ต้องการทดลองว่าเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดผล ตัวแปรตาม คือ สิ่งที่เป็นผลต่อเนื่องจากตัวแปรต้น เมื่อตัวแปรต้นหรือสิ่งที่เป็นสาเหตุเปลี่ยนไป ตัวแปรควบคุม คือ สิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้น ที่ทำให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อน 12.ทักษะการทดลอง(Experimenting) การทดลอง หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการเพื่อหาคำตอบ หรือทดสอบสมมติฐาน ที่ตั้งไว้ในการทดลอง จะประกอบด้วยกิจกรรม 3 ขั้นตอน 12.1 การออกแบบทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดลองจริงเพื่อกำหนด – วิธีการทดลอง – อุปกรณ์และหรือสารเคมีที่จะต้องใช้ในการทดลอง 12.2 การปฏิบติการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติการทดลองจริงๆ 12.3 การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลองซึ่งอาจเป็นผลจากการสังเกต 13.ทักษะการตีความหมายข้อมูล และลงข้อสรุป (Interpreting Data and Conclusion) การตีความหมายข้อมูล หมายถึง การแปลความหมายหรือ การแปลความหมายหรือการบรรยายลักษณะและสมบัติของข้อมูล การตีความหลายข้อมูลในบ้านครั้งอาจต้องใช้ทักษะอื่นๆ ด้วย เช่น ทักษะ การสังเกต ทักษะการคำนวณ เป็นต้น เจตคติทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Attitude) เจตคติ หมายถึง สภาพทางจิตใจบุคคลแต่ละบุคคลที่เกิดจากประสบการณ์หรือ การเรียนรู้ และความพร้อมเพื่อจะแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ หรือสถานการณ์ต่างๆ ในทางใด ทางหนึ่ง เช่น ชอบ ไม่ชอบ สนับสนุน หรือต่อต้าน เป็นต้น เจตคติทางวิทยาศาสตร์นั้นแตกต่างจากเจตคติทั่วไป กล่าวคือ เจตคติทางวิทยาศาสตร์นั้น จะมีลักษณะสำคัญ ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
จิตวิทยาศาสตร์ (Scientific mind) จิตวิทยาศาสตร์ หมายถึง ลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิดขึ้นจากการศึกษาหาความรู้โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยลักษณะต่างๆ ได้แก่ ความสนใจใฝ่รู้ ความมุ่งมั้น อดทน รอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ประหยัด และการร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผูู้อื่น ความมีเหตุหล การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ เทคโนโลยี เทคโนโลยี คือ การประยุกต์นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ และก่อให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติแก่มวลมนุษย์ คำว่า เทคโนโลยีทางเศษฐศาสตร์ มองเทคโนโลยีว่าเป็นความรู้ของมนุษย์ ณ ปัจจุบัน ในการนำเอาทรัพยากรมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับวิทยาศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับวิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์กันมากเทคโนโลยีเกิดจากพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติโดยหลักสำคัญ คือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คือ การพยายามอธิบายว่าทำไมจึงเกิดอย่างนั้น เทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดขั้น โดยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักฐานรองรับ บทบาทของเทคโนโลยี ประโยชน์ของเทคโนโลยีที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ
การใช้เทคโนโลยี การใช้เทคโนโลยีกระบวนการทางเทคโนโลยีสามารถใช้เป็นแนวทางในการสร้างเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับดำรงชีวิตและแก้ปัญหาของมนุษย์อย่างเป็นระบบโดยอาศัยทรัพยากรและความรู้ต่าง ๆ การทดสอบและประเมินผลชิ้นงานหรือวิธีการสร้างทำให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติตรงตามความต้องการมากขึ้นนอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีและสามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ดังนั้นเทคโนโลยีจึงเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของมนุษย์การเลือกใช้เทคโนโลยีควรเหมาะสมกับปริมาณการผลิตคุณภาพของผลิตภัณฑ์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและผลกระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดซึ่งการใช้เทคโนโลยีอาจจัดเป็นการใช้เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นเองหรือเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วโดยจะเน้นไปที่คุณธรรมจริยธรรมของการใช้เทคโนโลยี การเลือกใช้เทคโนโลยี พื้นฐานของเทคโนโลยีแต่ละท้องถิ่นหรือประเทศ สร้างและพัฒนาขึ้นด้วยความและทักษะของตน เพื่อการดำรงชีวิต ซึ่งมีทั้งสร้างสรรค์ และขัดแย้ง ดังนั้นการเลือกใช้เทคโนโลยีจึงต้องคำนึงถึงการตอบสนองความต้องการ ความปลอดภัย ความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และประเมินอย่างมีวิจารณญาณ โดยใช้เกณฑ์ทางสังคมประกอบด้วย การบริโภคผลิตภัณฑ์ จากเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ตามจำนวนประชากร การผลิตสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีของท้องถิ่นไม่อาจตอบสนองความต้องการได้อย่างเพียงพอ จำเป็นต้องแสวงหาจากแหล่งอื่นหรือต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว อย่างไรก็ดีเทคโนโลยีแห่งหนึ่งอาจไม่เหมาะสมกับอีกแห่งก็ได้ จึงต้องเลือกใช้อย่างระมัดระวัง เทคโนโลยีมีผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ เช่น เทคโนโลยีการแพทย์ทำให้มนุษย์สามารถสร้างเด็กในหลอดแก้ว หรือการโคลนนิ่ง (Cloning) ซึ่งส่งผลกระทบต่อศีลธรรมและสังคมของมนุษย์เป็นต้น ดังนั้น จึงควรพิจารณาเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นและประเมินเทคโนโลยีอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้เกณฑ์ทางสังคมมาประกอบด้วย การใช้วัสดุอุปกรณ์และความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ 1. ตู้ดูดควัน เมื่อต้องทำงานกับสารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น สารไวไฟ สารพิษ และสารกัดกร่อน เป็นต้น จะต้องทำในตู้ดูดควัน ซึ่งได้ออกแบบให้ดูดการระเหยของสารเคมีต่าง ๆ ระหว่างทำการทดลองออกสู่ภายนอกห้อง และอาคาร ควรจัดตั้งอุปกรณ์ และชุดการทดลองให้ลึกเข้าไปในตู้ดูดควัน ด้านหน้าประมาณ 6-10 นิ้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดไอระเหยของตู้ดูดควัน เมื่อจะเริ่มทำปฏิกิริยา จะต้องดึงหน้าต่างกระจกของตู้ดูดควันมาให้อยู่ในระดับที่สามารถสอดมือผ่านเข้าไปทำงานได้สะดวกและห้ามยื่นศีรษะเข้าไปในตู้ดูดควัน เช็ดทำความสะอาดพื้นและหน้าต่างกระจกจากสารเคมีกระเด็นเปื้อนและหลังจากใช้งานเสร็จทุกครั้ง แล้วดึงหน้าต่างกระจกลงมาให้อยู่เหนือพื้นตู้ประมาณ 1-2 นิ้ว 2. อ่างล้างตาฉุกเฉิน เมื่อสารเคมีกระเด็นเข้าตา ต้องรีบล้างตาทันทีภายใน 15 นาที โดยใช้อ่างล้างตาฉุกเฉิน ต้องใช้เปิดตาของผู้ประสบภัยให้กว้างและ “ ผลัก ” ที่อ่างล้างตาฉุกเฉิน เพื่อปล่อยให้น้ำพุ่งเข้าตาอย่างเต็มที่เป็นเวลานาน ประมาณ 15 นาที จากนั้นจึงรีบพาไปพบแพทย์ 3. ที่ล้างตัวฉุกเฉิน เมื่อสารเคมีหกรดตามร่างกายเป็นบริเวณกว้าง ให้รีบถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนออกและเช็ดหรือซับ สารเคมีออกให้มากที่สุด อย่างรวดเร็ว แล้วชำระล้างสารเคมีออกจากร่างกาย โดยใช้ที่ล้างตัวฉุกเฉิน เปิดน้ำให้ไหลพุ่งออกมาโดยดันคันโยกขึ้น และล้างตัวจากนั้นรีบพาไปพบแพทย์ 4. เครื่องดับเพลิง เครื่องดับเพลิง เป็นอุปกรณ์สำหรับดับไฟที่เริ่มก่อตัวขึ้น ซึ่งยังเป็นไฟไหม้ขนาดเล็ก เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามต่อไป ในถังดับเพลิงมีน้ำยาดับเพลิงเพียงพอสำหรับดับเพลิงในเวลาสั้น ๆ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการหรือผู้เกี่ยวข้อง ควรได้รับการฝึกฝนการใช้เครื่องดับเพลิงเพื่อความสามารถในการดับเพลิงอย่างทันท่วงที 5. สัญญาณเตือนภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือพบเห็นอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นอันตรายมากและไม่สามารถจัดการด้วยตัวเองได้ ต้องส่งสัญญาณเตือนโดยดึงสลักลง หลังจากนั้นต้องรีบออกจากห้องปฏิบัติการและอาคารไปยังจุดรวมพล 6. อุปกรณ์ปฐมพยาบาล ใช้สำหรับปฐมพยาบาลเมื่อได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เช่นของมีคมบาด แผลถลอก น้ำร้อนลวกและผิวหนังไหม้เกรียม เป็นต้น อุปกรณ์พยาบาลประกอบด้วย น้ำยาเช็ดแผล น้ำยาล้างแผล น้ำยาฆ่าเชื้อ พลาสเตอร์ยา ผ้าพันแผล เทปกาว เจลทาผิวหนังไหม้เกรียมหรือน้ำร้อนลวก ถุงมือแพทย์คีมคีบและกรรไกร ข้อปฏิบัติทั่วไป 1. ศึกษาแผนผังของห้องปฏิบัติการ เพื่อให้รู้ตำแหน่งที่ตั้งของอุปกรณ์และสิ่งของต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ได้แก่ สัญญาณเตือนภัย เครื่องดับเพลิง ผ้าห่มคลุมเพลิง ทราย ฝักบัวฉุกเฉิน อ่างล้างตาฉุกเฉิน และชุดปฐมพยาบาล รวมทั้งต้องวัตถุประสงค์และทำตามวิธีการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ 2. ต้องรู้เส้นทางที่สั้นที่สุดที่สามารถออกสู่ภายนอกอาคารจากห้องปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็วและควรศึกษาหาทางออก จากห้องปฏิบัติการอย่างน้อย 2 ทาง เพื่อเตรียมไว้ ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ถ้าจำเป็นต้องอพยพผู้คนออกจากอาคารให้ปิด และถอดปลักเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้อยู่ เดินลงทางบันได ควบคุมสติระหว่างการอพยพ ควรเดินเร็วแต่ห้ามวิ่ง 3. ห้ามสวมรองเท้าแตะหรือรองเท้าเปิดด้านหน้าและเปิดส้น ควรสวมรองเท้าส้นเตี้ยที่หุ้มเท้าโดยรอบเพื่อป้องกันสารเคมีไม่ให้ถูกเท้าโดยทันที 4. แต่งกายให้เหมาะสม อย่าสวมเสื้อที่รัดรูปหรือหลวมจนเกินไป ไม่ควรสวมเครื่องประดับหรือผูกเน็คไท ให้รวบและผูกผมยาวให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการเกี่ยวหรือเหนี่ยวรั้งสิ่งของต่าง ๆ ขณะทำการทดลอง ซึ่งจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อีกทั้งควรสวมกางเกงขายาว แต่ถ้ากางเกงขาสั้นหรือกระโปรง จะต้องมีความยาวคลุมเข่า 5. ให้นำเอาเฉพาะสิ่งของจำเป็นเข้ามาในห้องปฏิบัติการ ได้แก่ หนังสือ สมุดจดบันทึกหรือสมุดเขียนรายงาน และเครื่องเขียน กระเป๋าและสิ่งของอื่น ๆ ควรเก็บไว้ในลอกเกอร์ หรือบริเวณที่จัดไว้ให้สำหรับวางของในห้องปฏิบัติการ 6. เมื่อเข้ามาในห้องปฏิบัติการต้องสำรวม อย่าจับอุปกรณ์ เครื่องมือและสารเคมีใด ๆ จนกระทั่งให้เริ่มทำการทดลองได้ 7. อย่าหยอกล้อหรือวิ่งเล่นในห้องปฏิบัติการ เพราะอาจเกี่ยวหรือแกว่งถูกภาชนะบรรจุสารเคมีตกแตก หรืออาจวิ่งชนผู้อื่นที่กำลังบรรจุสารเคมี ทำให้หกรดตนเองหรือผู้อื่นหรือทำให้เกิดอุบัติเหตุอื่น ๆ ได้ 8. อย่ารับประทานอาหารและของคบเคี้ยวต่าง ๆ หรือเครื่องดื่มในห้องปฏิบัติการหรือห้ามใช้อุปกรณ์หรือเครื่องแก้วใส่อาหารและเครื่องดื่ม เพราะอาจมีสารเคมีปนเปื้อนอยู่ทำให้สารเคมีเข้าสู่ร่างกายได้ 9. อย่าสูดดม และสัมผัสสารเคมีโดยตรง ถ้าบังเอิญสูญดมเข้าไปให้รีบออกจากห้องปฏิบัติการเพื่อหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าโดยเร็ว 10. ห้ามทำการทดลองนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ และให้ทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในแต่ละการทดลองเท่านั้น เพื่อป้องกันอันตรายหรือเกิดอุบัติเหตุจากปฏิกิริยารุนแรงที่คาดไม่ถึง 11. ห้ามทำการทดลองโดยลำพังในห้องปฏิบัติการ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุอาจจะอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ถ้ามีความต้องการทดลองนอกเวลาที่กำหนดให้ขออนุญาตอาจารย์ผู้ควบคุมปฏิบัติการหรือหัวหน้าห้องปฏิบัติการ เพื่อพิจารณาว่าสมควรหรือทำได้ จะได้รับคำแนะนำว่าต้องทำด้วยวิธีอย่างไรจึงจะปลอดภัยมากที่สุด 12. ห้ามจุดตะเกียง เทียนไข หรือไม้ขีดไฟในห้องปฏิบัติการ 13. เมื่อพบเห็นอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ แม้ว่าจะเป็นอุบัติเหตุขนาดเล็ก ต้องรายงานให้ผู้ควบคุมหรือหัวหน้าห้องปฏิบัติการทราบทันทีเพื่อรีบแก้ไขอย่างรวดเร็ว 14. ควรล้างมือทุกครั้งหลังจากทำการทดลองแต่ละขั้นตอนเสร็จ และต้องล้างด้วยสบู่ให้สะอาดก่อนออกจากห้องปฏิบัติการเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมี ถึงแม้ว่าจะสวมถุงมือขณะทำการทดลองตลอดเวลา เมื่อถอดถุงมือออกแล้ว ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง 15. ถ้าไม่เรียนรู้ข้อบังคับและแนวปฏิบัติความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการจะทำให้เกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บทั้งต่อตนเองและเพื่อนร่วมงานได้ง่าย ข้อปฏิบัติก่อนเริ่มทำการทดลอง 1. อ่านและศึกษาการทดลองก่อนเข้าห้องปฏิบัติการ เพื่อทราบวัตถุประสงค์และเหตุผลของการทำการทดลองทุกขั้นตอนก่อน เพราะทำให้รู้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไรควรทำสิ่งใดก่อนและหลัง ควรเพิ่มความระมัดระวังในขั้นตอนใด เป็นพิเศษ ซึ่งเป็นการลดโอกาสการเกิดอันตรายระหว่างทำการทดลองนอกจากนี้ ยังช่วยให้ทำการทดลองเสร็จในเวลารวดเร็ว 2. ศึกษาสมบัติทางกายภาพและอันตรายของสารเคมีทุกชนิดที่ใช้ในการทดลองซึ่งสามารถค้นหาข้อมูลเหล่านี้ได้จากหลายแบบหนังสือคู่มือต่าง ๆ เช่น (Merck Index) และคู่มือของเคมีและฟิสิกส์ (Handbook of Chemistry and Physics) แต่จะได้ข้อมูลอย่างละเอียดสามารถหาได้จากเอกสารข้อมูลความปลอดภัยของสาร (Material Safety Data Sheet) หรือเรียกย่อว่า (MSDS) ซึ่งจัดทำโดย บริษัท ผู้ผลิตสารเคมีและองค์กรต่าง ๆ หลายองค์กรและสามารถค้นหาได้อย่างรวดเร็วจากอินเทอร์เน็ต แต่เป็นภาษาอังกฤษปัจจุบันมีเอ็มเอสดีเอสที่จัดทำเป็นภาษาไทยซึ่งค้นหาและดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ www. chemtrack.org ข้อปฏิบัติระหว่างทำการทดลอง 1. ต้องสวมแว่นตานิรภัยตลอดเวลาที่อยู่ในห้องปฏิบัติการ เพื่อป้องกันสารเคมีหรือเศษแก้วแตกหรือสิ่งอื่นใดกระเด็นเข้าตา ขณะทำงานอยู่ในห้องปฏิบัติการ เมื่อมีไอหรือสารเคมีเข้าตา ให้ถ่างตาให้กว้างและพลิกเปลือกตาด้านในออกขณะล้างตา ทุกคนจึงต้องรู้ตำแหน่งที่ตั้งและวิธีใช้อ่างล้างตาฉุกเฉิน ปกติแล้วต้องรีบล้างตา หลังจากสารเคมีกระเด็นเข้าตาหากทำช้ากว่านี้ อาจทำให้สูญเสียตาได้ 2. ต้องสวมเสื้อคลุมปฏิบัติการตลอดเวลาที่อยู่ในห้องปฏิบัติการ เพื่อป้องกันสารเคมีที่หกหรือกระเด็น ไม่ให้สัมผัสกับร่างกาย เมื่อสารเคมีสัมผัสกับผิวหน้า หรือหกรดมือหรือแขนเพียงเล็กน้อยให้ล้างด้วยน้ำปริมาณมากอย่างรวดเร็ว อาจใช้น้ำจากก๊อกน้ำโดยปล่อยชะล้างเป็นเวลา ไม่น้อยกว่า 15 นาที แต่ถ้าถูกขาหรือร่างกายเป็นบริเวณกว้างให้ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนสารเคมีออกอย่างรวดเร็วแล้วซับหรือเช็ดตามร่างกายออกให้มากที่สุด แล้วจึงชำระล้างด้วยน้ำจากฝักบัวฉุกเฉิน ซึ่งจะปล่อยน้ำปริมาณมาก ๆ ในเวลาสั้นเพื่อชะล้างสารเคมีออกหลังจากนั้นให้รายงานการบาดเจ็บ หรืออุบัติเหตุให้อาจารย์ผู้ควบคุมปฏิบัติการหรือหัวหน้าห้องปฏิบัติการทราบทันที เพื่อดำเนินการตามวิธีที่เหมาะสมต่อไป 3. ควรสวมถุงมือยางเมื่อต้องทำงานกับสารกัดกร่อน เป็นพิษ หรือระคายเคืองเป็นเวลานาน และล้างมือให้สะอาด ทุกครั้งการทดลองเสร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานกับ กรด เบส อย่าให้ถูกผิวหนัง เพราะจะทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมได้ง่าย ถ้าเป็นสารเป็นพิษสูง ต้องทำการทดลองในตู้ดูดควัน เพราะตู้ดูดควันจะดูดไอของสารและปล่อยออกนอกอาคารตลอดเวลา ถ้าไม่มีตู้ดูดควันให้มีการถ่ายเทอากาศที่ดี เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของไอของสารจนถึงขีดอันตราย 4. ต้องตรวจสภาพของเครื่องแก้วทุกชิ้นก่อนนำไปใช้งานทุกครั้ง โดยยกเครื่องแก้วขึ้นดูด้วยการส่องกับแสงสว่างและตรวจหารอยร้าว รอยบิ่น รอยแตก หรือลักษณะผิดปกติอื่น ๆ ซึ่งมักเป็นสาเหตุ ทำให้เครื่องแก้วแตกระหว่างทำการทดลอง ถ้าตรวจพบลักษณะผิดปกติของเครื่องแก้วให้เปลี่ยนทันที ไม่ควรนำไปใช้ ให้ทิ้งเศษแก้วแตกและหลอดแคพิแลรีที่ใช้แล้วและในภาชนะที่จัดไว้ห้ามทิ้งเศษแก้วเหลือลงในขยะปกติ สำหรับเทอร์มอมิเตอร์ปรอทที่แตก จะต้องระวังเป็นพิเศษเพราะปรอทเป็นพิษและระเหยได้ง่ายที่อุณหภูมิห้อง ต้องรายงานให้ผู้ปฏิบัติการหรือหัวหน้าห้องปฏิบัติการทราบ เพื่อกำจัดโดยทันที 5. อ่านชื่อของสารเคมีที่ฉลากบนขวดให้แน่ใจว่าหยิบถูกต้องแล้ว ก่อนใช้สารเคมีและก่อนผสมสารเคมีใด ๆ ต้องตรวจสอบอีกให้แน่ใจว่าหยิบสารเคมีมาถูกต้องห้ามใช้สารเคมีที่อยู่ในขวดหรือภาชนะอื่นที่ไม่มีฉลากบอกชื่อสารเคมี ให้ถ่ายสารเคมีมาใช้เพียงปริมาณที่ต้องการ ส่วนเกินที่เหลือต้องกำจัดทิ้ง ตามคำแนะนำของผู้ควบคุมปฏิบัติการหรือหัวหน้าห้องปฏิบัติการ ห้ามเทกลับคืนลงสารเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งปนเปื้อนในขวดบรรจุสาร ทุกครั้งที่ใช้ เอเจนต์เสร็จแล้วต้องเซ็ตรอบขวดภายนอกและปิดจุกหรือฝาให้เรียบร้อย 6. ถ้าทำสารเคมีหกเลอะเล็กน้อย (น้อยกว่า 50 กรัมหรือ 50 มิลลิลิตร) บนพื้นห้องบนโต้ะปฏิบัติการจะต้องทำความสะอาดด้วยวิธีการที่ถูกต้อง แต่ถ้าทำหกเลอะปริมาณมาก (มากกว่า 50 กรัมหรือ 50 มิลลิลิตร) ให้รายงานผู้ควบคุมปฏิบัติการหรือหัวหน้าปฏิบัติการทราบ 7. เมื่อจะใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าควรตรวจสอบก่อนว่าสายไฟที่ต่อกับเครื่องมือไม่ชำรุด 8. ในห้องปฏิบัติการต้องมีเครื่องดับเพลิงประจำห้อง ที่นิยมใช้ได้แก่ ประเภทคาร์บอนไดออกไซต์เหลว หรือผงเคมี เช่นโซเดียมคาร์บอเนต และแอมโมเนียมฟอสเฟตผู้ปฏิบัติงานควรทราบตำแหน่งที่ตั้งและวิธีใช้เครื่องดับเพลิง ในกรณีที่เกิดเพลิงลุกไหม้ให้ปิตหรือคลุมภาชนะนั้นทันทีด้วยภาชนะหรืออุปกรณ์อื่นใดที่อยู่ใกล้หรือใช้ผ้าชุบน้ำปิดคลุมไฟทันที เพื่อป้องกันไฟไม่ให้ไฟลุกติดเสื้อผ้า ห้ามวิ่งเพราะจะทำให้ไฟลุกมากขึ้นให้นอนกลิ้งบนพื้นและคลุมด้วยผ้าห่มคลุมเพลิงหรือผ้าชุบน้ำ 9. ทำงานในห้องปฏิบัติการด้วยความระมัดระวังอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องใช้ตัวทำละลายและสารอินทรีย์เคมีที่มีจุดวาบไฟต่ำ เช่น ไดเอทิลอีเทอร์ เพราะไอจะกระจายทั่วห้องได้อย่างรวดเร็ว จึงมีโอกาสเกิดไฟไหม้ได้ง่าย ไม่ควรนำตัวทำละลายง่ายมาทำให้ร้อนโดยตั้งเป็นฮอตเพลต (hot plate) หรือเตาไฟฟ้าโดยตรง เพราะถ้าตัวทำละลายหกหรือเดือดล้นออกมาจากภาชนะจะลุกไหม้ได้ทันที ข้อปฏิบัติหลังทำการทดลองเสร็จ 1. กำจัดของเสียที่เกิดขึ้นตามคำแนะนำที่ระบุไว้ในการทดลอง หลักเกณฑ์ทั่วไป คือ ของเสียที่เป็นสารละลายในน้ำ หรือในตัวทำละลายที่รวมเป็นเนื้อเดียวกับน้ำ และมีปริมาณเล็กน้อย (3-10 มิลลิลิตร) ไม่มีเกลือโลหะหนัก สารประกอบไซยาไนด์เกลือไนเตรต หรือสารอันตรายอื่น ๆ ที่เทลงในท่อน้ำทิ้งได้เลย โดยต้องเปิดน้ำปริมาณมากเป็นเวลา 1-2 นาที สารละลายกรดและสารละลายเบสที่มีความเข้มข้น 10% ต้องทำให้เป็นกลางก่อน แล้วจึงเทลงท่อน้ำและเปิดน้ำตามปริมาณมากได้ ของเสียบางอย่างต้องบำบัดก่อนเทลงท่อน้ำทิ้งซึ่งต้องหาวิธีการไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่บางอย่างเทลงท่อนาทิ้งไม่ได้เลย เช่น ตัวทำละลายอินทรีย์ที่มีแฮโลเจน สารละลายหรือของผสมที่มีเกลือของหนักหรือสารพิษ ให้เทในภาชนะที่จัดแยกไว้สำหรับเก็บของเสียแต่ละประเภทเพื่อรวบรวมและน้ำส่งไปกำจัดต่อ 2. ต้องล้างเครื่องแก้วให้สะอาด เพราะนอกจากจะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการทดลองครั้งต่อไปแล้ว ยังเป็นการลดโอกาส อันตรายจากปฏิกิริยารุนแรง ที่อาจเกิดจากสารเคมี ที่อาจหลงเหลืออยู่ในเครื่องแก้วเหล่านั้น และควรเก็บเครื่องแก้วที่ล้างสะอาดแล้วและอุปกรณ์ให้เรียบร้อย 3. ต้องเช็ดโต๊ะปฏิบัติการให้สะอาดก่อนออกจากห้องปฏิบัติการ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารเคมีใดตกค้างอยู่ อันอาจเป็นอันตรายที่อาจจะมาทำการทดลองต่อไป 4. ตรวจดูว่าได้ถอดปลักไฟ ปิดวาล์วน้ำ และเก็บอุปกรณ์เครื่องมือทั้งหมดเข้าที่เรียบร้อย เทคโนโลยีพื้นบ้าน เทคโนโลยีพื้นบ้าน หมายถึง ด้วยการนำเอาความรู้ เทคนิค วิธีการต่าง ๆ มาคิดประดิษฐ์เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สะดวก ใช้ง่าย ประหยัด ง่ายต่อการบำรุงรักษาและจัดหาโดยใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่น เพื่อนำมาแก้ปัญหา หรือพัฒนาวิธีการประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีพื้นบ้านเป็นการนำเอา ภูมิปัญญาชาวบ้าน และเทคโนโลยีท้องถิ่นมาผสมผสานกันอย่างลงตัว โดยภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ความรู้ของชาวบ้านที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์และความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน ซึ่งได้เรียนรู้มาจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้อง และผู้มีความรู้ในชุมชน ความรู้เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตเป็นแนวทางหลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวความสัมพันธ์กับคนอื่น ความสัมพันธ์กับผู้ล่วงลับไปแล้ว กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชาติ และเทคโนโลยีท้องถิ่น หมายถึง การประดิษฐ์เครื่องมือต่าง ๆ หรือทำในสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น และคนในท้องถิ่นยอมรับแล้วนำออกใช้ ภายใต้คุณสมบัติ 4 ประการคือขนาดเล็ก เรียบง่าย ประหยัด ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้และธรรมชาติ โดยภูมิปัญญาชาวบ้านและเทคโนโลยีท้องถิ่นที่ปรากฏในวิถีชีวิตของชาวบ้านในแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของแต่ละชุมชน เช่น เทคโนโลยีพื้นบ้านของชาวจังหวัดจันทบุรีอาจแยกเป็นด้านต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1. ภูมิปัญญาชาวบ้านด้าน“ การทํามาหากิน “เทคโนโลยีพื้นบ้านแรงบันดาลใจจากสายยางรั่วของนายจรวยพงษ์ชีพจนเกิดระบบน้ำหยด 1.1 การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ“ ระบบน้ำหยด” นายจรวย พงษ์ชีพ เกษตรสวนผลไม้ชาว อ.ขลุง จ.จันทบุรี เป็นผู้มีความคิดริเริ่มหาวิธีแก้ขปัญหา เงาะขี้ครอก หรือเงาะไม่ติดผล และผลงานชิ้นสำคัญของนายจรวย พงษ์ชีพ คือ เป็นผู้ริเริ่ม ระบบน้ำหยด โดยได้แรงบันดาลใจจากสายยางรั่ว งานคิดจึงเริ่มต้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่องส่วนหนึ่งเป็นระบบให้น้ำจากระบบสปริงเกอร์ จนชาวจันทบุรีต่างเรียกนายจรวยว่านายดำน้ำหยด หมวกกันฝนต้นยางพารา ผลงาน ของนายสำเริง แสวงพรหมมณี 1.2 หมวกกันฝนต้นยางพารา เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2542 นายสำเริง แสวงพรหมมณี เกษตรกรสวนยางพารา ได้แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับชาวสวนยางพาราออกสู่สายตาสาธารณชน ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีชื่อว่า“ หมวกกันฝนต้นยางพารา “ ก๋วยเตี๋ยวเส้นจันทน์ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กคุณภาพดี 1.3 ก๋วยเตี๋ยวเส้นจันทน์ เมื่อเอ่ยถึงก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กคุณภาพดี หลายคนคงจะนึกถึงเส้นจันทน์ด้วยคุณสมบัติที่เหนียวนุ่ม ไม่เปื่อยยุ่ยเหมือนก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กอื่น ๆ ทำให้เส้นจันทน์มีชื่อเสียงแพร่หลาย กลายเป็นชื่อที่เรียกติดปากคนทั่วไป จากชื่อเสียงที่ขึ้นชื่อลือชาของจันทน์ เส้นก๋วยเตี๋ยวจากจันทบุรีนี้เองจึงมีโรงงานจังหวัดอื่น ๆ แอบอ้างชื่อเลียนแบบว่าจันทน์บ้างเส้นจันทน์ที่ผลิตในจังหวัดจันทบุรีมีตราพญานาคเจ็ดเศียรตราพลอยแดงตรามังกรคู่ตรามงกุฏเป็นต้น เทคโนโลยีพื้นบ้านการจับจักจั่นของชาวบ้านในแถบจังหวัดทางภาคอีสาน จักจั่นเป็นแมลงที่ชาวบ้านนิยมบริโภคมีวิธีการไล่ล่าซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีดังนี้ 1. ใช้ยางพันไม้แล้วติดที่ปีกของจักจั่นวิธีนี้ชาวบ้านเรียกว่า“ ติดจักจั่น” จะเริ่มจากนำยางที่เรียกว่า“ ดัง” ซึ่งได้จากต้นไม้มาผสมกับยางของต้นกุงคนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันชาวบ้านใช้ไม้ไผ่มาจุ่มลงแล้วพันยางตั้งให้ติดบริเวณปลายของไม้นำไปแตะที่ปีกจักจั่นที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้เมื่อปีกติดยางตั้งจักจั่นจะบินไม่ได้ชาวบ้านใช้มือดึงจักจั่นออกจากตั้งวิธีนี้ทำให้ปีกของจักจั่นฉีกขาดชาวบ้านนิยมหาจักจั่นด้วยวิธีนี้เพราะเห็นตัวจักจั่นได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนักข้อควรระวังในการไล่ล่าด้วยวิธีนี้คือต้องระวังไม่ให้ยางตั้งติดเสื้อหรือผมของผู้ไล่ล่าเพราะยางยังไม่สามารถซักหรือล้างออกได้ 2. ใช้วิธีการเขย่าต้นไม้วิธีการนี้ชาวบ้านใช้เมื่อไล่ล่าจักจั่นตอนกลางคืนชาวบ้านสังเกตตัวจักจั่นจากต้นกุงเป็นหลักการหาจะไปพร้อมกับไฟฉายหรือโคมไฟแบตเตอรี่บางคนก็ยังใช้เทคโนโลยีพื้นบ้านคือใช้การ“ กระบอง “เมื่อพบก็เขย่าต้นกุงให้ตัวจักจั่นหล่นลงมา ชาวบ้านอธิบายว่า ตอนกลางคืนจักจั้นจะมองไม่เห็นและไม่สามารถบินได้ เมื่อตัวหล่นลงมาจึงใช้มือเปล่าตะครุบได้อย่างง่ายดาย นอกจากสังเกตจากต้นกุงแล้ว ชาวบ้านยังสังเกตจากต้นไม้อื่นๆ อีกโดยชาวบ้านไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้ถ้าต้นใดมีจักจั่นก็จะมีละอองน้ำมาก ก็แสดงว่ามีจักจั่นอยู่มาก ก็ลงมือเขย่าต้นไม้ หรือใช้ไม้ตีตามกิ่งเพื่อให้ต้นตัวจักจั่นล่วงลงพื้น และเก็บด้วยมือเปล่า |