ทฤษฎีสมุทรานุภาพ : ความเป็นมหาอำนาจของเกาะอังกฤษ และมรดกที่ทิ้งไว้ในดินแดนอาณานิคม ทำไมอังกฤษถึงเป็นชาติมหาอำนาจที่มีบทบาทสำคัญบนเวทีโลก ทั้งที่เป็นแค่เกาะ ? อังกฤษ เป็นชาติที่มีความสำคัญและยังคงถูกจับตามองจากนานาประเทศ ตลอดจนยังรักษาความเป็นชาติมหาอำนาจเบอร์สำคัญของโลกในปัจจุบันได้อยู่ แม้ว่าอังกฤษจะถูกลดบทบาทลงหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลงก็ตาม
และภายเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงกลับกลายเป็นสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกแทน แต่ความยิ่งใหญ่ของอังกฤษที่เคยสั่งสมมาในอดีตนั้นยังมิได้เลือนหายไปเสียทีเดียว ยังคงมีเรื่องราวมากมายจารึกอยู่หน้าของประวัติศาสตร์โลกและประวัติศาสตร์อังกฤษ ดังคำเปรียบเทียบสุดคลาสสิคที่ว่า ทะเลทรายซาฮารามากด้วยเม็ดทรายฉันใด ประวัติศาสตร์อังกฤษก็มากด้วยเรื่องราวฉันนั้น อังกฤษเป็นดินแดนส่วนหนึ่งบน เกาะบริเตนใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป และเป็นดินแดนส่วนที่ใหญ่ที่สุดในจำนวน 4
แคว้น คือ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ของสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ อังกฤษมีอาณาเขตติดต่อกับอีกสองแคว้นที่อยู่บนเกาะบริเตนใหญ่ด้วยกัน คือ เวลส์ทางด้านตะวันตก และสกอตแลนด์ทางด้านเหนือ พรมแดนนอกเหนือจากนี้แล้วจะติดกับทะเลเหนือ ทะเลไอริช มหาสมุทรแอตแลนติก และช่องแคบอังกฤษ เมืองหลวงของอังกฤษคือกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสหราชอาณาจักรด้วย เพราะเหตุใด คนทั่วโลกต้องใช้ภาษาอังกฤษ ? อังกฤษทิ้งมรดกชิ้นสำคัญที่ได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเข้าให้แก่ชาวโลกอย่างหนึ่งซึ่งก็คือ
ภาษาอังกฤษนั่น ซึ่งเป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และได้กลายเป็นภาษากลางที่มีส่วนสำคัญช่วยให้โลกทั้งโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันได้เฉกเช่นปัจจุบัน คำว่า “อังกฤษ” ในภาษาไทย มีที่มาจากคำอ่านของคำว่า Inggeris ในภาษามลายูที่ยืมมาจาก anglais ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส อังกฤษเป็นดินแดนที่มีสมญานามอันไพเราะว่า ดินแดนแห่งพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ซึ่งได้สมญานี้จากการล่าอาณานิคมในช่วงจักรวรรดินิยมของอังกฤษนั่นเอง
กล่าวคือเมื่อพระอาทิตย์ล่วงลับขอบฟ้าของประเทศหนึ่งก็จะไปโผล่เหนือฝั่งฟ้าของอีกประเทศหนึ่งเสมอ ประโยชน์ของอาณานิคมนั้นมีอย่างมากมาย อาทิ เป็นแหล่งวัตถุดิบหลักของประเทศแม่ และรวมถึงยังเป็นตลาดไปในตัวด้วย อาจใช้ดินแดนอาณานิคมเหล่านั้นเป็นที่ตั้งฐานทัพหรือแม้กระทั่งเกณฑ์ไพร่พลเข้ามาเป็นกองกำลังทหารของตนก็ได้ โดยอาณานิคมของอังกฤษนั้น ได้แก่ ประเทศในเครือจักรภพทั้งหลายทั้งปวง เช่น เกรนาดา ตรินิแดดและโตบาโก นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ศรีลังกา อินเดีย ปากีสถาน มาเลย์เซีย บรูไน สิงคโปร์ แคนาดา บาฮามาส
ไนจีเรีย กานา และอีกสารพัดรวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย ที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ สำหรับคำว่า สหราชอาณาจักร ( United Kingdom) หมายถึง เกาะใหญ่ ( Great -Britain) และแคว้นไอร์แลนด์เหนือ( Northern Island) โดย Great Britain หมายถึงเกาะใหญ่ซึ่งรวมถึงอาณาเขตของ อังกฤษ ( England ), เวลส์ ( Wales) และสก็อตแลนด์ ( Scotland )ดังนั้น คำว่าสหราชอาณาจักร จึงหมายถึงประเทศที่รวมอาณาเขตของ 4 ประเทศเข้าด้วยกันคือ
หมู่เกาะอังกฤษนั้นประกอบด้วย เกาะน้อยใหญ่ถึงประมาณ 1,098 เกาะ และด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะนั้นเองทำให้อังกฤษมิต้องหวาดกลัวจากการรุกรานของต่างชาติทางบก
ทำให้ประเทศมีความมั่นคง และเอื้อต่อการเป็นมหาอำนาจที่มีแสนยานุภาพทางทะเล ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เมื่อเปรียบเทียบที่ตั้งของเกาะอังกฤษกับประเทศฝรั่งเศสและฮอลแลนด์ ความปลอดภัยของเกาะอังกฤษช่วยให้รัฐบาล ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับกองทัพบกที่ใหญ่โตซึ่งทำให้เกิดความสิ้นเปลืองลดความมั่งคั่งของประเทศลง เกาะอังกฤษอยู่ใกล้ทวีปยุโรปในระยะที่จะถูกโจมตีจากข้าศึกได้ แต่ก็ไกลพอที่จะปลอดภัยจากการบุกรุก กองทัพเรืออังกฤษสามารถจะรวมกำลังและทำการป้องกันพร้อมกันได้
หรือทำการปิดกั้นท่าเรือต่าง ๆ ตามขอบทวีปได้ แต่ฝรั่งเศสต้องแยกกำลังทางเรือออกไปปฏิบัติการ ตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์- เรเนียน ลักษณะที่ตั้งของหมู่เกาะอังกฤษยังช่วยให้สามารถควบคุมเส้นทางเดินเรือไปยังและจากยุโรปเหนือได้อีกด้วย การขอใช้เกาะสำคัญ ๆและฐานทัพทางยุทธศาสตร์อย่างยิบรอลตาร์ จะทำให้อังกฤษสามารถควบคุมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีความสำคัญมาแล้วในประวัติศาสตร์โลกทั้งในด้านการพาณิชย์และการทหารยิ่งกว่าทะเลใด ๆ ขนาดเดียวกัน
การมีอิทธิพลของอังกฤษไม่ได้อยู่ที่กำลังกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่และยุทธศาสตร์ที่เหนือกว่าเท่านั้น หากแต่อังกฤษยังควบคุมท้องทะเล แคบ ๆ อีกด้วย เช่น ช่องแคบอังกฤษ ช่องแคบยิบรอลต้า ซิซีเลียน ดาร์ดาเนลส์ และบอสฟอรัส ซึ่งอาจจะควบคุมได้ง่ายจากชายฝั่งทั้งสองข้าง อังกฤษมีที่ตั้งกำลังทางเรือหลายแห่ง เมื่อประกอบกับกองเรือรบแล้วทำให้สามารถควบคุมทะเลได้เป็นอย่างดี ไม่มีความขัดแย้งใด ๆ การควบคุมน่านน้ำยุโรปได้ก็เท่ากับได้ควบคุมมหาสมุทรทุกแห่งของโลก
จะถูกคุกคามบ้างก็แต่เฉพาะจากการมีกำลังอำนาจของประเทศนอกยุโรปเท่านั้น อย่างไรก็ดี ตลอดศตวรรษที่ 19 การมีกำลังทางเรือเหนือกว่าใครทำให้เส้นทางเดินเรือหลัก ๆ ของโลกกลายเป็นเส้นทางคมนาคมภายในจักรวรรดิอังกฤษไป แม้ว่าอังกฤษเองจะเป็นแค่เกาะเล็กๆก็ตาม แต่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่ง กินเวลาร่วม 250 ปี ซึ่งอังกฤษได้พิสูจน์ว่าตนเป็นชาติที่มีกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่และทรงประสิทธิภาพมากที่สุดกองทัพหนึ่งเท่าที่เคยปรากฏมา
ทฤษฎีสมุทรานุภาพ
: หนึ่งในทฤษฎีที่ทรงอิทธิผลต่อโลก ทฤษฏีสมุทรานุภาพเป็นทฤษฎีของ พล.ร.ท. อัลเฟรด เทเยอร์ มาฮาน ( Rear Admiral Alfred Thayer Mahan: 1840 – 1914) ให้แนวคิดไว้ว่า ประเทศที่เป็นมหาอำนาจต้องเป็นประเทศที่มีกำลังอำนาจคุมท้องทะเลและมหาสมุทร แต่จะไม่มีประเทศใดที่มีแสนยานุภาพทางบกและทางทะเลไปพร้อมๆกันได้ โดยให้ความสำคัญกับ กำลังอำนาจทางเรือ (Maritime Power) ที่ประกอบด้วย กำลังอำนาจทางทะเล (Sea Power) หรือที่เรียกว่า สมุทรานุภาพ และ กำลังอำนาจกำลังรบทางเรือ (Sea Force Power)
หรือที่เรียกว่า มาฮานยังแสดงความเห็นไว้อีกว่า ความเร็ว ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นเจ้าสมุทรเช่นเดียวกัน แต่ในกรณีนี้จะพูดถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและศักยภาพในการเสริมสร้างกองทัพเรือของสหรัฐอเมริกาให้เข้มแข็ง ถือว่าแนวคิดนี้เป็นการส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของกองทัพเรือ โดยมีการพัฒนาการใช้เครื่องจักรไอน้ำเพื่อจะนำไปเพิ่มความเร็วในการเดินเรือ
เพราะชาติได้ที่สามารถแล่นเรือได้เร็วกว่าย่อมจะได้เปรียบชาติที่เชื่องช้า อีกประเด็นหนึ่งที่มาฮานให้ความสำคัญกับทฤษฎีสมุทรานุภาพ คือ การทำสงครามอาวุธหนักเช่นปืนใหญ่และลูกระเบิดต่างๆที่มีน้ำหนักมากนั้น จะเป็นการยากในการขนส่งลำเลียงอาวุธเหล่านี้ไปตามเส้นทางทางบก ซึ่งในการขนส่งลำเลียงอาวุธเหล่านี้ไปทางเรือ(ทางน้ำ) สามารถทำได้ง่ายและสะดวกมากกว่า ประเด็นต่อมาเป็น กฎการเคลื่อนที่ข้อที่สามของ เซอร์ ไอแซค นิวตัน (Newton’s Third Law of Motion)
ซึ่งอธิบายไว้ว่า ในธรรมชาติเมื่อมีการกระทำ(หรือแรง)ใดๆ ต่อวัตถุอันหนึ่ง จะปรากฏแรงที่มีขนาดเท่ากันแต่มีทิศทางที่ตรงกันข้ามกระทำกลับต่อแรงนั้น หรืออาจกล่าวว่า แรงกริยาเท่ากับแรงปฏิกิริยา (Action = Reaction)
เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับทฤษฎีของเขา
จะสามารถอธิบายได้ว่า การตั้งปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ไว้บนบก ฐานยิงปืนใหญ่จะมีความยืดหยุ่นน้อย ลองจินตนาการดูไม่ต้องถึงขนาดเป็นปืนใหญ่ แค่ปืนพกที่มีอานุภาพแรง ยิงออกไปแรงก็จะถีบกลับมาแรงเช่นกันตามกฎของนิวตัน กรณีปืนใหญ่นั้น อานุภาพในการถีบกลับย่อมมีแรงถีบมากกว่าปืนพกมหาศาล อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวปืน (แตกหัก) และเกิดอันตรายต่อฝ่ายผู้ใช้เสียเองก็เป็นได้ แต่สำหรับการตั้งปืนใหญ่ไว้บนเรือให้เรือบรรทุกออกไปรบ
เมื่อนำปืนไปติดตั้งอยู่ในเรือฐานที่รองรับปืนจะมีความยืดหยุ่นได้มากกว่าบนบก เพราะมีพื้นน้ำเหมือนเป็นเบาะใหญ่รองรับแรงสะท้อนหรือแรงปฏิกิริยาได้ดีกว่า ส่งผลให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตปืนใหญ่ให้มีอานุภาพรุนแรงได้เต็มศักยภาพ ไม่ต้องกลัวปัญหาว่าถ้าผลิตปืนใหญ่เกินไปจะเกิดปัญหาอย่างที่เคยเป็นมาแน่นอนที่สุดประเด็นสุดท้าย การเคลื่อนทัพโดยกองทัพเรือสามารถทำได้สะดวกรวดเร็ว กว่าการเคลื่อนทัพทางบก และสามารถเข้าบุกทำลายฐานที่มั่นของศัตรูได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่สามารถเดินเรือเข้าไปได้ ในปัจจุบันมีการใช้เรือบรรทุกเครื่องบินซึ่งช่วยยืดระยะทำการในการรบทางอากาศโดยการโจมตีพื้นที่ต่างๆที่อยู่ไกลๆได้ ลดปัญหาการที่เครื่องบินไม่สามารถบินไกลๆได้และต้องวกกลับมาเติมน้ำมัน เป็นการยกระดับการโจมตีทางอากาศไปในตัวด้วย จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิอังกฤษ จุดเริ่มต้นของความรุ่งเรืองของกองทัพเรืออังกฤษต้องอ้างถึงนโปเลียนโดยย้อนไปในปี ค.ศ. 1798(พ.ศ. 2341)เมื่อนโปเลียน จักรพรรดิในตำนานได้นำกองทัพฝรั่งเศสบุก
อียิปต์ ถึงแม้ในการต่อสู้ทางบก กองทัพของนโปเลียนจะมีชัย แต่ในการสู้รบทางเรือ กองทัพของนโปเลียนถูกกองทัพเรืออังกฤษ ภายใต้การนำของ Lord Nelson สอนเชิงจนแพ้ราบคาบ เมื่อแพ้สงครามนโปเลียนได้เดินทาง กลับฝรั่งเศส แต่ประชาชนฝรั่งเศสจดจำนโปเลียนในฐานะผู้พิชิตอิตาลีดียิ่งกว่าผู้พ่ายแพ้สงครามที่อียิปต์ ในปี ค.ศ. 1763 ( พ.ศ.2306 ) นโปเลียนได้ทำ สัญญาสงบศึกกับอังกฤษเพื่อให้ทหารในกองทัพได้พักผ่อนหลังจาก ที่ได้ทำสงคราม 7 ปีกับอังกฤษ
ทำให้อังกฤษรักษาอาณานิคมทั้งหมดไว้ได้และกลายเป็นชาติมหาอำนาจสำคัญ หลังจากตั้งอาณานิคมแรกที่เวอร์จิเนียในอเมริกาในปี ค.ศ. 1607 ( พ.ศ.2150 ) จักรวรรดิอังกฤษก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ.1620 ( พ.ศ.2163 ) พวกเพียวริตันจากอังกฤษตั้งถิ่นฐานที่ แมสซาชูเซตซ์ (Massachusetts) มีการตั้งถิ่นฐานอีกหลายแห่งในช่วงศตวรรษนี้ เมื่อถึงปี ค.ศ. 1700 ( พ.ศ.2243 ) ชุมชนส่วนใหญ่ก็อยู่ภายใต้การปกครองของข้าหลวงอังกฤษและรวมกันเป็นจักรวรรดิแอตแลนติกของอังกฤษขน สัตว์ ข้าว ผ้าไหม
ยาสูบและน้ำตาลเป็นชนวนให้อังกฤษรบกับดัทช์และฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 17 อังกฤษยืดดินแดนส่วนใหญ่ในแอฟริกาตะวันตก เกาะนิวฟาวด์แลนด์ โนวาสโกเชีย และหมู่เกาะคาริบเบียนบางส่วนได้ ในปี ค.ศ.1760 ( พ.ศ.2303 ) นายพลเจมส์ วูล์ฟ สามารถยืดควิเบกอันเป็นการสิ้นสุดอำนาจของฝรั่งเศสในแคนาดา โรเบิร์ต ไคลฟ ทำศึกชนะชาวอินเดียและฝรั่งเศสได้อนุทวีปอินเดีย บริษัทอีสต์อินเดียจึงกุมอำนาจการค้ากับอาณานิคมแต่ผู้เดียว ทำให้อังกฤษเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง ต่อมาในปี ค.ศ.1805 พ.ศ. 2348
(พ.ศ. 2348 ) ภายหลังจากทำสัญญาสงบศึกกับอังกฤษในสงคราม 7 ปี ได้ 42 ปี (ค.ศ. 1763 )สงครามกับอังกฤษก็ได้เกิดขึ้นอีก เพราะนโปเลียนคิดจะยึดเกาะอังกฤษ ถึงแม้สงครามทางบกจะชนะแต่ในการสู้รบทางเรือของฝรั่งเศสก็ยังคงแพ้กองทัพเรืออังกฤษอยู่นั่นเอง และเมื่อนโปเลียนแพ้สงครามเรือที่ Trafalgar อย่างราบคาบ ( ปัจจุบันมีจตุรัสทราฟัลการ์ที่โด่งดั่งมากในอังกฤษสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Lord Nelson ) ภายหลังจากสงครามครั้งนี้อังกฤษก็กลายเป็นเจ้าสมุทรอย่างไร้ชาติใด
เทียมทานตั้งแต่นั้นมาเจริญรอยตามรุ่นพี่อย่างสเปนและโปรตุเกส
ดินแดนอาณานิคมเหล่านี้มีส่วนสำคัญมากในการนำแนวความคิดและทักษะต่างๆของอังกฤษไปแพร่ขยายทั่วดินแดนอาณานิคม มรดกของอังกฤษที่ได้ทิ้งไว้ให้อาณานิคมนั้นมีมากมายและมีความสำคัญมาก อาทิ
นอกจากนี้อังกฤษก็ยังได้บำรุงรักษาอาณานิคมเหล่านั้น เช่น สร้างถนนหนทาง
สร้างทางรถไฟให้ความรู้และสวัสดิการทางการแพทย์ ให้การศึกษา นำเอาวิธีการทำไร่สวนขนาดใหญ่เข้ามา รวมถึงให้ความรู้ด้านการปกครองแก่ประชาชนในอาณานิคมด้วย กล่าวโดยสรุปแล้ว ผลกระทบจากการตกเป็นดินแดนอาณานิคมยังคงพบได้อยู่ในดินแดน 1. ) ดินแดนอาณานิคมได้นำเอาระบบการเมือง และการปกครองที่ใช้กันอยู่ในอังกฤษและได้นำไปใช้ในดินแดนอาณานิคม เช่น
การมีรัฐบาลเป็นผู้บริหารกิจการของรัฐ การมีรัฐสภา ซึ่งอาณานิคมส่วนใหญ่จะใช้ระบบการปกครองแบบเดียวกับอังกฤษ ยกเว้นบางประเทศเช่น มาเลเซียใช้รูปแบบการมีกษัตริย์จากการเลือกตั้งเป็นประมุข 2. ) เศรษฐกิจในดินแดนอาณานิคมหลายแห่งเปลี่ยนไป เพราะ อังกฤษได้นำพืชชนิดใหม่ๆเข้ามา นำเอาวิธีการเพาะปลูกแบบใหม่ๆมาใช้ เช่น การเลี้ยงสัตว์แบบปศุสัตว์ การผลิตเพื่อการค้า สิ่งต่างๆทีอังกฤษทิ้งไว้นี้นอกจะเป็นประโยชน์ต่อชาติต่างๆในการนำไปใช้แล้ว มองอีกมุมหนึ่งนั้นจะเห็นได้ว่าเป็นการตราความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิที่จะไม่เลือนหายไปเวลาด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ ที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่ากลายเป็นภาษาที่เป็นภาษาหลักหรือภาษากลางที่สำคัญของโลก ทั้งหมดทั้งปวงที่อังกฤษสามารถก้าวขึ้นมายืนในแถวหน้าบนเวทีโลกได้ นั้นก็เป็นเพราะการที่อังกฤษมีภูมิประเทศเป็นเกาะทำให้ปลอดภัยจากการรุกรานจากชาติอื่นๆ ผนวกกับการขยายแสนยานุภาพทางทะเล โดย การมีกองทัพเรือที่แข็งแกร่งจนกลายเป็นเจ้าสมุทรสามารถควบคุมจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางทะเลหรือด่านสมุทร ทำให้อังกฤษสามารถยึดครองดินแดนกินบริเวณถึงหนึ่งในสี่ของโลก
ตลอดจนมีอาณานิคมมากมายจนได้รับสมญานามว่า เป็นดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ตลอดจนทิ้งมรดกที่แสดงให้เห็นถึงว่ารุ่งโรจน์ของอาณาจักรไว้ต่างๆมากมายดังเช่นที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งสามารถอธิบายนโยบายที่อังกฤษพัฒนาศักยภาพทางกองทัพเรือนี้ได้ด้วย ทฤษฎีสมุทรานุภาพของมาฮาน นั้นส่งผลต่อโลกเป็นอย่างมาก
ไม่ได้แค่เฉพาะสามารถอธิบายความเป็นมหาอำนาจของอังกฤษว่ามาจากการดำเนินนโยบายพัฒนาศักยภาพของกองทัพเรือจนกลายเป็นจักรวรรดิอันเกรียงไกรและได้ทิ้งมรดกต่างๆไว้ให้แก่เหล่าดินแดนอาณานิคมและชาติที่นำมรดกเหล่านี้ไปใช้ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่แนวความคิดทฤษฎีสมุทรานุภาพของมาฮานยังได้รับความเชื่อถือจากเหล่าชาติมหาอำนาจต่างๆ ทั้งจากสหรัฐอเมริกาซึ่งมีผลอย่างมากในการออกนโยบายของสหรัฐ หรือเยอรมันในสมัยของพระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ 2 (Wilhelm II หรือ Friedrich Wilhelm Albert Viktor von Preußen )
จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายแห่งจักรวรรดิเยอรมัน จะเห็น ได้ว่าทฤษฏีและแนวคิดของมาฮานเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในดำเนินนโยบาย เพื่อความเป็นมหาอำนาจซึ่งชาติต่างๆใฝ่ฝันอยากที่จะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลต่อกองทัพเรือและความเชื่อมั่นของผู้นำชาติมหาอำนาจ ทั่วโลกที่ต่างนำเอาแนวคิดทฤษฎีของเขาไปประยุกต์ใช้รวมทั้งยังเป็นเครื่อง มือในการวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกตามหลักภูมิรัฐศาสตร์ได้ดีอีก ด้วย |