Show แบบอย่างงานทัศนศิลป์สมัยอยุธยาเจริญขึ้นทางภาคกลางของประเทศไทย มีช่วงเวลาวิวัฒนาการนานถึง 417 ปี แนวคิดและเนื้อหาของผลงานทัศนศิลป์ส่วนใหญ่จะยังคงสะท้อนถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีการสร้างผลงานทัศนศิลป์เป็นจำนวนมากเพื่อถวายแด่พระศาสนา แต่ขณะเดียวกันก็มีการสร้างสรรค์ผลงานสำหรับพระมหากษัตริย์ด้วย โดยเฉพาะการก่อสร้างปราสาทราชวังเพื่อใช้เป็นที่ประทับในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีความงดงามวิจิตร โดยนำเอาช่างแขนงต่างๆ มาร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้น ด้านจิตรกรรม จิตรกรรมในสมัยอยุธยาส่วนใหญ่ จะเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา โดยช่วงแรกจะได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบลพบุรี สุโขทัย และลังกาผสมผสานกัน บางภาพจะมีลักษณะแข็งและหนัก ใช้สีดำ ขาว และแดง มีการปิดทองบนภาพบ้างเล็กน้อย เช่น ภาพเขียนบนผนังในกรุพระปรางค์ วัดราชบูรณะ ซึ่งสร้างขึ้นสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ภาพเขียนบนผนังในตำหนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดพุทไธศวรรย์ เป็นต้น แต่ช่วงหลังจิตรกรรมสมัยอยุธยามักวาดภาพที่เกี่ยวกับไตรภูมิ และมีภาพพุทธประวัติประกอบอยู่ด้วย ซึ่งวิธีการเขียนภาพจะเป็นเช่นเดียวกับจิตรกรรมฝาผนังสมัยสุโขทัยที่นิยมใช้สีแดงเข้มเป็นพื้น แต่สมัยอยุธยาจะมีการใช้สีเพิ่มมากขึ้น อาทิ ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดราชบุรี วัดใหม่ประชุมพล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2172–2199) จนสิ้นสุดสมัยอยุธยา จิตรกรรมของอยุธยา แสดงให้เห็นถึงลักษณะของจิตรกรรมไทยแท้อย่างสมบูรณ์ มีการปิดทองบนรูปและลวดลายเนื้อเรื่องที่เขียนจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพชุมนุม พุทธประวัติ ไตรภูมิ วิธีการเขียนยังคงใช้สีน้อย ภาพมีลักษณะแบน และตัดเส้นด้วยสีขาว และสีดำ ด้านประติมากรรม ผลงานที่มีลักษณะเด่นทางด้านทัศนศิลป์ประเภทประติมากรรมในสมัยอยุธยา ที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างพระพุทธรูป ซึ่งจำแนกเป็นกลุ่มได้ ดังนี้ 1) พระพุทธรูปแบบศิลปะทวารวดีผสมเขมร สร้างขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ 17–18 มีพุทธลักษณะที่สำคัญ คือ มีรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูม มีจีวรคล้ายแบบทวารวดี มีพระพักตร์เป็นลักษณะสี่เหลี่ยมตามแบบเขมรองค์พระพุทธรูปทำด้วยศิลาหรือโลหะ 2) พระพุทธรูปแบบศิลปะอู่ทอง ศิลปะอู่ทองเป็นศิลปะที่แพร่หลายอยู่แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างก่อนการสถาปนาอาณาจักรอยุธยา ซึ่งจะมีลักษณะบางอย่างผสมผสานกันระหว่างศิลปะทวารวดีกับศิลปะลพบุรี ซึ่งต่อมาศิลปะอู่ทองก็ค่อยผสมกลมกลืนเปลี่ยนไปเป็นศิลปะแบบอยุธยา ตัวอย่างพระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง เช่น หลวงพ่อโตหรือพระพุทธไตรรัตนนายก วัดพนัญเชิง เศียรพระพุทธรูปสำริด วัดธรรมิกราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระพุทธรูปหลายองค์ที่พบในเขตอำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท และจังหวัดสุพรรณบุรี ด้านสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยานอกจากจะสร้างขึ้นเพื่อศาสนาแล้ว ยังมีการสร้างเป็นตำหนักสำหรับพำนักอาศัยของเชื้อพระวงศ์ และเป็นอาคารเพื่อว่าราชการอีกด้วย ซึ่งสามารถจำแนกลักษณะสถาปัตยกรรมเด่นๆ สมัยอยุธยาได้ ดังนี้ 1) เจดีย์ หมายรวมถึงสถูปด้วย เจดีย์ในสมัยอยุธยาสามารถจำแนกได้หลายรูปแบบไปตามแนวความคิด คติความเชื่อทางศาสนาในแต่ละช่วงเวลา โดยในช่วงระยะแรก อยุธยานิยมสร้างเจดีย์แบบทรงปรางค์ตามธรรมเนียมนิยมที่เคยมีมาก่อน แต่มีการปรับเปลี่ยนรูปทรงองค์ปรางให้มีความเพรียวได้สัดส่วนมากกว่าศิลปะแบบขอม เช่น ปรางค์วัดพระราม ปรางค์วัดพุทไธศวรรย์ เป็นต้น 2) อาคาร นอกจากอาคารที่เป็นแบบไทย ซึ่งเคยสร้างกันขึ้นมาแล้ว ยังเป็นสมัยแรกที่มีการนำเอาแบบอย่างการก่อสร้างสถาปัตยกรรมตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมไทยด้วย โดยสร้างอาคารแบบก่ออิฐถือปูน มีการวางผังการก่อสร้างอย่างเป็นระเบียบจัดบริเวณให้ร่มรื่น มีลานกว้าง มีการสร้างอ่างเก็บน้ำหรือประปาไว้ใช้ ที่เห็นได้เด่นชัด คือ สถาปัตยกรรมภายในเขตพระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี 3)โบสถ์ วิหาร มณฑป นิยมสร้างให้มีขนาดใหญ่ ยกฐานสูง ผนังด้านข้างทำเป็นช่องแบบลูกมะหวด และแบบหน้าต่าง เสาจะมีการก่อด้วยอิฐเป็นส่วนใหญ่ ทำเป็นเสากลม ปลายเสาตกแต่งด้วยบัวหัวเสาหรือบัวกลุ่มในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย จะทำฐานให้เห็นเป็นแนวแอ่นโค้งรับกับส่วนหลังคาที่ทำซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้นและโค้งมักใช้เสากลมก่ออิฐสอปูน ตรงหัวเสาจะทำเป็นบัวตูม มีการตกแต่งด้วยลายปูนปั้น ในส่วนของซุ้มประตู หน้าบัน หน้าต่าง นิยมแกะสลักไม้ปิดทองประดับกระจก
พระปรางค์ของไทยโดยทั่วไปมีลักษณะรูปทรงคลี่คลายมาจากอิทธิพลแบบอย่างสถาปัตยกรรมสิขร ของขอมและอินเดียผสมผสานกัน แต่มิได้ลอกเลียนแบบมาโดยตรง พุทธปรางค์ในสมัยสุโขทัยแม้จะมีอยู่เพียงไม่กี่องค์ก็ตาม แต่ก็มีปัญหาถกเถียงกันในหมู่นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ศิลปะ ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ปรางค์ต่างๆ เป็นปรางค์ที่ขอมสร้างไว้เมื่อครั้งยังมีอำนาจในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและเลยขึ้นไปถึงลำน้ำยม ต่อมาเมื่อไทยมีอำนาจมากขึ้น ได้ดัดแปลงแต่งเติมเพิ่มขึ้นภายหลัง จึงปรากฏรูปแบบศิลปะของฝีมือช่างไทย คือรูปทรงสูงชลูด ความเห็นส่วนน้อยคือ ขอมไม่เคยมีอำนาจปกครองดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเลย ปรางค์ต่างๆ ล้วนเป็นฝีมือช่างไทยก่อสร้างขึ้นตามแบบอย่างขอม พุทธปรางค์เท่าที่ปรากฏอยู่มี พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พระปรางค์วัดเจ้าจันทน์ ในอำเภอศรีสัชนาลัย พระปรางค์วัดศรีสวาย (สามองค์) พระปรางค์วัดพระพายหลวง (สามองค์) และศาลผาตาแดง(ยอดพังลงหมดแล้ว)ในอำเภอเมืองสุโขทัย
4. เจดีย์บุษบก หรือเจดีย์ทรงวิมาน แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม ย่อมุมไม้ยี่สิบ และย่อมุมไม้สิบสองเรือนธาตุมีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง 4 ทิศ ส่วนยอดทำเป็นชั้นๆ ซ้อนกันถึง 9 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นรูป อามลกะ ตามแบบยอดสิขรของอินเดีย และยอดบนสุดเป็นยอดแหลม เจดีย์แบบนี้พบอยู่ สามสี่องค์ เช่น ที่วัดชนะสงคราม วัดตระพังเงิน ที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว อำเภอศรีสัชนาลัย ก่อด้วยศิลาแลง ยอดทำเป็นชั้นลดหลั่นกันถึง 9 ชั้น อยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ เจดีย์แบบจอมแหนี้ ที่ฐานทำเป็นกลีบดอกบัว 3 ชั้น ชั้นที่ 3 ทำเป็นซุ้มคูหาสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ด้านสี่ทิศ เรือนพระเจดีย์ทำเป็นรูประฆังครอบปากผาย ออกเป็นแบบระฆัง 8 เหลี่ยม แต่ตอนที่เป็นตัวระฆังไม่กลมอวบอ้วนเหมือนอย่างเจดีย์ทรงระฆังครอบ คือ ทำเป็นอย่างกระโจมมีกลีบยาวเป็นลอนเรียงกันเป็นกลีบ ๆ รอบองค์พระเจดีย์ นับได้ 28 กลีบ จากลักษณะของรูปกระโจมเจดีย์ที่คล้ายกับร่างแหที่แขวนตากแดดแขวนไว้กับเสากระโดง จึงเรียกกันว่า เจดีย์จอมแห มีพบเพียงแห่งเดียวบนเนินเขาวัดพระบาทน้อย อำเภอเมืองสุโขทัย เท่านั้น เจดีย์แบบนี้นักโบราณคดีเชื่อกันว่าได้รับอิทธิพลแบบอย่างจากเจดีย์วัดมหาธาตุเมืองไชยา และเจดีย์วัดมหาธาตุ
เมืองนครศรีธรรมราช เป็นเจดีย์แบบหลายยอด เช่น เจดีย์วัดมหาธาตุ เมืองไชยา ลักษณะโดยทั่วไปมีฐานสี่เหลี่ยมสูง เรือนธาตุเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประกอบด้วยซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทับยืนทั้ง 4 ทิศ แต่ละซุ้มนิยมจัดเสาแบนและหน้าบันซ้อนกันสองชั้น ลวดลายประดับซุ้มประดิษฐ์เป็นรูปใบไม้ หรือขนนกยาว ๆ เรียงลดหลั่นกันซุ้มละ 7 อัน เหนือเรือนธาตุทำเป็นฐาน 8 เหลี่ยม ตรงส่วนที่เป็นบัวปากระฆังนิยมทำเป็น "บัวกลุ่ม" องค์ระฆังตอนบนพองออกมากกว่าส่วนที่เป็นปากระฆัง มีลาย "รัดอก" หรือ "รัดเอว" คาดเป็นเครื่องประดับ
ไม่มีบัลลังก์ เหนือองค์ระฆังทำเป็นบัวกลุ่มอีกสองชั้นก่อนที่จะถึงปลียอด ตามมุมเจดีย์ทั้งสี่มีการประดิษฐ์เจดีย์บริวารสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก หรือ "สถูปิกะ" เช่น เจดีย์บริวารที่วัดมหาธาตุ อำเภอเมืองสุโขทัย และเจดีย์รายที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว อำเภอศรีสัชนาลัย
ผลงานทัศนศิลป์ของไทยสมัยสุโขทัยมีลักษณะอย่างไรงานจิตรกรรมสมัยสุโขทัยนั้นปรากฏว่ามีการทำภาพแกะลายเบา โดยแกะสลักบนหินเป็นลายเส้น ตัวอย่างเช่น ภาพแกะสลักลายเส้นบนเพดานผนังอุโมงค์วัดศรีชุม สลักเรื่องโคชานิยชาดก สำริดจากวัดเสด็จ ตลอดจนจิตรกรรมฝาผนังพบที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว ภายในคูหาชั้นในของมณฑปที่มีเรือนยอดเป็นปรางค์ผสมเจดีย์ทรงระฆังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง แต่ปัจจุบันลบเลือน ...
งานทัศนศิลป์สมัยอยุธยามีลักษณะอย่างไรงานทัศนศิลป์สมัยอยุธยาประกอบด้วย งานจิตรกรรม , ประติมากรรม , และสถาปัตยกรรม เช่นเดียวกันกับสมัยสุโขทัย ซึงได้ แสดงให้เห็นถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมดังนี งานจิตรกรรม งานวาดภาพระบายสีในสมัยอยุธยา เป็นงานศิลปะทีนิยมวาดในสมุดข่อย เพือ บันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ หรือประกอบเรืองราวทางวรรณกรรม หรือวรรณคดี และภาพจิตรกรรมฝาผนัง ...
งานทัศนศิลป์สมัยสุโขทัยได้รับอิทธิพลจากสิ่งใดมากที่สุดศิลปะสุโขทัย เป็นศิลปะที่เกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18–19 ในบริเวณลุ่มแม่น้ำยม แม่น้ำน่าน แถบจังหวัดสุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ พิษณุโลก และบริเวณลุ่มแม่น้ำปิง ทางตอนใต้ของจังหวัดกำแพงเพชร ถือกำเนิดขึ้นมาจากแรงบันดาลใจทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาแบบเถรวาทซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากลังกา ดังปรากฏในโบราณสถานหลายแห่งที่มีแนวความ ...
ข้อใดคือลักษณะเด่นของศิลปกรรมในสมัยสุโขทัยศิลปกรรมของอาณาจักรสุโขทัยมีความงดงามและเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง โดยมีพื้นฐานมาจากความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วยสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและ ศิลปกรรมต่างๆ โดยเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นสถาปัตยกรรมไทยสมัยสุโขทัย สร้างขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 19 – 20 ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบต่างๆ เข้ามาผสมผสานกับศิลปะ ของสุโขทัย ...
|