1.5 ความเปลี่ยนแปลงจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความก้าวหน้าของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสรเทศและการสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อนสนองความต้องการด้านต่างๆ ของผู้ใช้ปัจจุบันซึ่งมีจำนวนผู้ใช้งานเทคโนโลยีสารสรเทศและการสื่อสารทั่วโลกประมาณพันล้านคน และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวได้ทุกที่ ทุกเวลา จึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆทั้งที่เกิดประโยชน์และโทษ เช่น ด้านสังคมสภาพเสมือนจริง การใช้อินเตอร์เน็ตเชื่อมโยงการทำงานต่างๆ จนเกิดเป็นสังคมที่ติดต่อผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรือที่รู้จักกีนว่า ไซเบอรฺ์สเปช (cyber space) ซึ่งมีกิจกรรมต่างๆ เช่นการพูด การชื้อสินค้า และบริการ การทำงานผ่านเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดสภาพที่เสมือนจริง (virtual) เช่น เกมส์เสมือนจริง ห้องเรียนเสมือนจริง ซึ่งทำให้ลดเวลาในการเดินทางและสามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา ด้านเศรษกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารส่งผลให้เกิดสังคมโลกาภิวัตน์(globalization) เพราะสามารถชมข่าว ชมรายการโทรทัศนที่ส่งกระจายผ่านดาวเทียมของประเทศต่างๆ ได้ทั่วโลก สามารถรับรู้ข่าวสารได้ทันที ใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ระบบเศรษกิจซึ่งแต่เดิมมีขอบเขตจำกัดภายในประเทศ ก็กระจายเป็นเศรษญกิจโลก เกิดกระแสการหมุนเวียนแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลกจึงเชื่อมโยงและผูกพันกันมากขึ้น ด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีประโยชน์ในด้านธรรมชาติและและสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม หรือภาพถ่ายทางอากาศ ร่วมกับการจัดเก็บรักษาข้อมูลระดับน้ำทะเล ความสูงของคลื่นจากระบบเรดาร์ เป็นการศึกษาเพื่อหาสาเหตุ และนำข้อมูลมาวางแผนและสร้างระบบเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งแต่ละแห่งได้อย่างเหมาะสม ถ้าอยากรู้ว่าเจ้านายคนก่อนของคุณเวิร์คไหม ให้ดูว่าตอนแกอยู่ “แกเปลี่ยนอะไรบ้าง” คงไม่มีใครปฏิเสธว่าองค์กรในยุคนี้ต้องการผู้นำที่เข้ามา Change ไม่ใช่แค่เข้ามาเพื่อ Maintain ผู้บริหารที่คุณจะจดจำไปนานแสนนานไม่ใช่คนที่เข้ามาทำงาน Routine หรือรักษาสภาพเดิมให้คงที่ แต่จะเป็นผู้นำที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในองค์กรต่างหาก อย่างไรก็ตามใบเบิกทางของการเปลี่ยนแปลง คือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด สำเร็จได้โดยปราศจากการสื่อสาร แต่การสื่อสารแบบเว่อร์เกินจริงหรือการสื่อสารแบบทำพอเป็นพิธีนั้นแทบไม่ต่างกัน เพราะมันไม่ทำให้คนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้น จนถึงขั้นหันมาให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง ถ้าอยากรู้ว่าการสื่อสารของเราใช้ได้หรือไม่ ให้ดูว่ากลุ่มเป้าหมายเกิดความตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ (Sense of Urgency) พวกเขาแสดงท่าทีที่จะยอมรับและปรับตัวกับสิ่งใหม่ ๆ หรือไม่ (Acceptance) และพร้อมที่จะทำมันอย่างจริงจังและต่อเนื่องหรือไม่ (Commitment) ถ้าคำตอบคือ “ใช่” แปลว่าการสื่อสาร “เวิร์คแล้ว” เมื่อผู้นำพร้อมแล้วที่จะใส่เกียร์เดินหน้าเข้าสู่โหมดการสื่อสาร ต้องเดินไปอย่างมีแบบแผน โดยยึดหลัก 3 ประการดังต่อไปนี้
งั้น! ถ้าพรุ่งนี้ คุณต้องสวมบทบาทผู้นำการเปลี่ยนแปลง คงรู้แล้วว่าจะสื่อสารอย่างไรให้เวิร์ค |