ประกันคุ้มครองสินเชื่อรถยนต์ คือ

  • ลูกค้าบุคคล
  • สินเชื่อ
  • สินเชื่อรถยนต์
  • เคเคพีเจน คาร์ชิลด์ เอ็กซ์ตร้า

เคเคพีเจน คาร์ชิลด์ เอ็กซ์ตร้า

  • 21 ก.พ. 2561
  • 9,241

ประกัน

คุ้มครองสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์

เป็นหลักประกันให้ครอบครัว รับความคุ้มครองทั้งกรณีเสียชีวิตและทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ด้วยจำนวนเงินเอา ประกันภัยคงที่ตลอดอายุสัญญา

รับค่าชดเชยรายได้ระหว่างเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุสูงสุด 3,000 บาท*/วัน (สูงสุดไม่เกิน 365 วันต่อการบาดเจ็บแต่ละครั้ง)

คุ้มครอง 24 ชั่วโมงทั่วโลก

  1. เป็นลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เท่านั้น
  2. อายุรับประกันภัยระหว่าง 20 – 65 ปี (เมื่อรวมระยะเวลาเอาประกันภัยแล้วต้องไม่เกินอายุ 70 ปี)
  3. ระยะเวลาเอาประกันภัยเป็นไปตามระยะเวลาตามสัญญาเช่าซื้อ 1 ปี - 6 ปี ชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียว
  4. จำนวนเงินเอาประกันภัยขึ้นอยู่กับแผนความคุ้มครอง
  5. การพิจารณาประกันภัยขึ้นอยู่กับถ้อยแถลงสุขภาพในใบคำขอเอาประกันภัยและตามเงื่อนไขของฝ่ายพิจารณารับประกันภัย
  6. อัตราเบี้ยประกันภัยขึ้นอยู่กับอายุ เพศ แผนความคุ้มครอง และระยะเวลาเอาประกันภัย

คำเตือน: ผู้ขอเอาประกันภัยควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง และเมื่อได้รับหนังสือรับรองการประกันภัยแล้ว โปรดศึกษารายละเอียดข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นความคุ้มครองในสำเนากรมธรรม์และหนังสือรับรองการประกันภัย

พิจารณารับประกันชีวิตโดย
บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)

หมายเหตุ:

  1. ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายหน้าประกันชีวิต เป็นผู้เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต และ อำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันภัยเท่านั้น บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุในกรมธรรม์ประกันภัย
  2. การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัท เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
  3. แบบประกันภัยนี้มีชื่อทางการว่า แบบกรมธรรม์ประกันชีวิตกลุ่ม แบบชั่วระยะเวลา
  4. แบบประกันภัยนี้ไม่สามารถนำเบี้ยประกันภัยมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ เนื่องจากมีระยะเวลาเอาประกันภัยน้อยกว่า 10 ปี

ประกันคุ้มครองสินเชื่อคืออะไร? ทำไมต้องทำ?

ประกันคุ้มครองสินเชื่อ หรือประกันชีวิตแบบคุ้มครองสินเชื่อ ซึ่งก็มีความหมายตรงตัวคือ เป็นการประกันความเสี่ยงในการชำระหนี้ ซึ่งประกันนี้จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้กู้ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับผู้กู้ก่อนสัญญาสินเชื่อจะสิ้นสุด พูดง่ายๆก็คือหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับผู้กู้ ในระหว่างที่ยังคงมีหนี้ค้างชำระ บริษัทประกันก็จะรับภาระชำระเงินกู้ส่วนที่เหลืออยู่แทนผู้กู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังผู้กู้ ไม่ต้องมารับภาระแทนผู้กู้ และจะสร้างความสบายใจให้แก่ผู้กู้ได้เช่นกัน

แล้วความคุ้มครองเป็นอย่างไรบ้าง

ส่วนใหญ่แล้ว ประกันคุ้มครองสินเชื่อจะให้จำนวนเงินเอาประกันภัยไม่น้อยกว่าจำนวนวงเงินของการทำสินเชื่อ และระยะเวลาคุ้มครองจะไม่น้อยกว่าระยะเวลาในการผ่อนชำระสินเชื่อ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองจากการทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร หรือ เสียชีวิต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ที่เงื่อนไขของแต่ละบริษัท ฉะนั้นจึงควรอ่านและทำความเข้าใจในเงื่อนไขของประกันโดยเฉพาะสัญญาที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ฯ

การรับผลประโยชน์

ประกันคุ้มครองสินเชื่อมักจะกำหนดในสัญญาให้บริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อเป็นผู้รับผลประโยชน์หลัก ซึ่งผู้รับผลประโยชน์หลักจะได้รับเงินผลประโยชน์ไม่เกินจำนวนหนี้ที่ผู้เอาประกันค้างชำระอยู่ และส่วนเงินผลประโยชน์ที่เกินจากจำนวนหนี้ที่ค้างชำระอยู่จะตกเป็นของผู้เอาประกันในกรณีที่ผู้เอาประกันเกิดการทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือจะตกเป็นของผู้รับผลประโยชน์รองตามที่ผู้เอาประกันระบุไว้ในหนังสือสัญญาในกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท

รูปแบบเงินเอาประกัน

ในแผนประกันคุ้มครองสินเชื่อนั้นอาจจะเสนอเงินเอาประกันภัยเป็น 2 รูปแบบ นั้นก็คือ

1. จำนวนเงินเอาประกันที่ลดลง

จำนวนเงินเอาประกันที่ลดลง หมายถึง แผนประกันสินเชื่อที่จำนวนเงินเอาประกันที่ปรับลดลงตามระยะเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนหนี้สินที่ค้างชำระที่จะลดลงเรื่อยๆตามระยะเวลาผ่อนชำระ หรือพูดง่ายๆก็คือ

หากผู้เอาประกันเกิดเหตุไม่คาดฝันในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งตามความคุ้มครองของประกันก็จะสามารถเอาเงินประกันจากบริษัทประกันตามที่ระบุไว้ในตารางแสดงจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ลดลงตามช่วงเวลานั้นๆจำนวนเงินเอาประกันภัยคงที่

2. แผนประกันภัยแบบเอาเงินประกันคงที่

คือไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่อยู่ในความคุ้มครองของประกันในช่วงเวลาใดตามตลอดระยะเวลาคุ้มครองก็จะได้เงินเต็มจำนวนเงินเอาประกันที่ระบุไว้ โดยที่ไม่มีผลต่อช่วงเวลาในการเกิดเหตุการณ์

และในหลายบริษัทประกันฯ อาจมีรูปแบบการจ่ายเงินเอาประกันแบบผสมกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไข แล้วข้อเสนอของบริษัทนั้นๆด้วย ฉะนั้น ผู้ทำประกันคุ้มครองสินเชื่อจึงควรอ่านและทำความเข้าใจในเงื่อนไขของประกันโดยเฉพาะสัญญาที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ฯ เพื่อจะได้ทราบของผลประโยชน์ที่จะได้รับแก่ตัวผู้ทำประกันเองค่ะ

อาจเกิดคำถามเมื่อมีหลักทรัพย์ในการทำสินเชื่อแล้ว ทำไมยังต้องทำประกันคุ้มครองสินเชื่ออีก?

ก็เพราะลูกค้าที่มาขอสินเชื่อก็ไม่ได้มีต้องการจะให้ยึดหลักทรัพย์จากการทำสินเชื่ออยู่แล้วใช่ไหมคะ เพราะไม่อย่างนั้นคงเอาหลักทรัพย์ไปจำหน่ายน่าจะตรงจุดประสงค์มากกว่า ฉะนั้นการทำประกันคุ้มครองสินเชื่อ จะเป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรกับผู้ขอสินเชื่อ ก็จะมีประกันคุ้มครองสินเชื่อมาชำระหนี้แทนได้และทำให้หลักทรัพย์ของผู้ขอสินเชื่อยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ขอสินเชื่อ หรือครอบครัวผู้ขอสินเชื่อต่อไป

แล้วการทำประกันคุ้มครองสินเชื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ให้บริการสินเชื่อฝ่ายเดียวหรือไม่?

การที่ลูกค้าถือกรมธรรม์คุ้มครองสินเชื่อย่อมเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าสินเชื่อโดยตรงอยู่แล้วค่ะ เพราะบริษัทประกันจะชำระหนี้ส่วนที่เหลือให้ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นลูกค้าทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้อีกต่อไป เพราะถ้าหากลูกค้าไม่มีประกันคุ้มครองสินเชื่อ แม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ หน้าที่รับผิดชอบก็ยังคงติดตัวเป็นพันธะของผู้กู้อยู่ดี ซึ่งสุดท้ายอาจทำให้เสียหลักทรัพย์ค้ำประกันไปหรืออาจจะต้องสืบทรัพย์สินส่วนอื่นเพิ่มเติมเพื่อมาใช้ชำระหนี้ จนกลายเป็นภาระคนข้างหลังได้ และหากว่าเงินเอาประกันสูงกว่าจำนวนหนี้ที่ค้างชำระ ผู้ถือกรมธรรม์ หรือผู้รับผลประโยชน์รองก็จะได้รับเงินส่วนต่างที่เกินจากหนี้ค้างชำระด้วย

แม้ว่าสินเชื่อจะเป็นสิ่งที่สามารถช่วยต่อชีวิต ต่อโอกาสให้แก่ผู้กู้ได้ แต่ก็ยังเป็นข้อผูกมัดระยะยาวและในอนาคตก็เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ประกันคุ้มครองสินเชื่อจึงเป็นตัวช่วยที่จะให้เราสบายใจได้ว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับเราในอนาคต หนี้สินที่เราก่อก็จะไม่ส่งผลกระทบให้กลายเป็นภาระไปยังคนที่อยู่ข้างหลังเราได้ แต่การจะทำประกันใดๆก็ตามก็ต้องอ่านรายละเอียดและทำความเข้าใจในเงื่อนไขของประกันนั้นๆให้เข้าใจชัดเจนเสียก่อนเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ด้วยความปรารถนาดีจาก

#เงินเทอร์โบพร้อมเคียงข้างทุกโอกาส