Show
ฟ้องหย่า จะต้องเริ่มต้นอย่างไร เหตุหย่ามีอะไรบ้าง หาทนายความที่ไหน ค่าใช้จ่ายจะสูงหรือเปล่า จะต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง จะต้องมีพยานไหม ต้องขึ้นศาลกี่ครั้ง ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะได้ใบหย่า ฯลฯ ? สารพัดคำถามเหล่านี้ เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับทุกคนที่ต้องการที่จะฟ้องหย่า วันนี้ผมจะมาตอบคำถามทุกคำถามที่คุณอยากจะรู้ ในการฟ้องหย่า พร้อมอธิบายขั้นตอนวิธีการอย่างละเอียดครับ เหตุหย่ามีอะไรบ้าง ?เหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายของบ้านเรานั้น มีอยู่ด้วยกัน 10 ประการ คือ
เหตุฟ้องหย่าแต่ละมาตรานั้น มีแนวคำพิพากษา มีหลักเกณฑ์ ข้อยกเว้นที่แตกต่างกันไป ซึ่งทนายความที่มีความชำนาญคดีประเภทนี้ จะเข้าใจข้อกฎหมายดังกล่าวเป็นอย่างดี
เริ่มต้นฟ้องหย่าอย่างไรจุดเริ่มต้นของการฟ้องร้องคดีหย่า คุณจะต้องมาพบกับทนายความ โทรศัพท์สอบถาม หรือส่งไลน์ อีเมล์ปรึกษากับทนายความ เพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับทนายความฟัง ว่าสาเหตุที่คุณต้องการจากกับคู่สมรสนั้นเป็นเหตุเพราะอะไร ธรรมดาแล้วหากเป็นคดีที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เช่น คู่สมรสแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปีแล้ว หรือคู่สมรสละทิ้งร้าง เกินกว่า 1 ปี คู่สมรสมีชู้โดยเปิดเผย เช่นนี้ การวินิจฉัยว่าสามารถฟ้องหย่าได้หรือไม่ก็ทำได้ไม่ยาก แต่หาก ข้อเท็จจริงมีความซับซ้อน หรือพยานหลักฐานอาจจะยังไม่ชัดเจน ต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เช่นนี้แนะนำให้มานั่งคุยกันโดยละเอียด ถึงจะให้คำปรึกษาและวางรูปคดีได้ถูกว่าจะสามารถฟ้องหย่าได้หรือไม่ หลังจากสอบข้อเท็จจริงแล้ว ทนายความจะทำการวินิจฉัยข้อเท็จจริงปรับเข้ากับข้อกฎหมายว่า เรื่องราวของคุณสามารถจะเป็นเหตุฟ้องหย่าได้หรือไม่ หากข้อเท็จจริงสามารถฟ้องหย่าได้ตามกฎหมาย ทนายความก็จะจัดการร่างฟ้องและยื่นฟ้องคดีต่อศาลต่อไป หากข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอ ทนายความอาจจะแนะนำ หรือให้ความช่วยเหลือในการหาพยานหลักฐานให้ชัดเจนต่อไป ข้อมูลที่ต้องเตรียมมาให้ทนายความอย่างที่แจ้งไว้ในข้อข้างบน การที่ทนายความจะวินิจฉัยรูปคดีและให้คำปรึกษากับคุณได้ถูกต้องนั้นทนายความจะต้องสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียด ซึ่งธรรมดาแล้วข้อเท็จจริงที่ทนายความจะสอบถามและท่านจะต้องเตรียมตัวมาก็คือ
ทั้งนี้หากคุณพอมีเวลา ถ้าจะพิมพ์เรื่องราวรายละเอียดดังกล่าวส่งให้กับทนายความมาด้วย ทนายความก็จะชอบมาก และจะเป็นประโยชน์และรวดเร็วในการให้คำปรึกษามากขึ้นครับ เอกสารที่ต้องเตรียมให้ทนายความเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องหย่าที่ต้องใช้ในคดี และต้องเตรียมมาให้กับทนายความ มีดังนี้
เอกสารทุกอย่างที่นำมามอบให้กับทนายความให้นำแต่สำเนามามอบให้เท่านั้น ทนายความจะไม่เก็บหรือขอตัวจริงไว้ เพราะเอกสารตัวจริงจะต้องนำไปใช้ในวันขึ้นศาลเท่านั้น จะต้องมีพยานบุคคลด้วยไหม ?คดีฟ้องหย่า จะต้องใช้พยานบุคคลประกอบด้วยหรือไม่ แบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ 1.กรณีพยานหลักฐานที่เป็นพยานเอกสารหรือพยานวัตถุยังไม่ชัดเจนตัวอย่างเช่น คดีฟ้องหย่าที่อ้างเหตุคู่สมรสมีชู้ แต่ยังไม่มีรูปถ่าย คลิปวีดีโอ ที่ปรากฏเรื่องการเป็นชู้อย่างชัดเจนมีแต่เพียงพยานบุคคลที่พบเห็นเหตุการณ์ กรณีเช่นนี้ย่อมจะต้องใช้พยานบุคคลมาประกอบด้วย ซึ่งท่านจะต้องนำพยานบุคคลดังกล่าวมาพบทนายความ และนำไปเบิกความในชั้นศาล 2.กรณีพยานหลักฐานที่เป็นพยานเอกสารหรือพยานวัตถุชัดเจนแล้วตัวอย่างเช่น คดีฟ้องชู้ที่มีรูปถ่าย คลิปวีดีโอ กล้องวงจรปิด หรือมีพฤติการณ์ ปรากฏตามสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆอย่างชัดเจน เช่นนี้ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้พยานบุคคล มาเป็นพยานในชั้นศาลหรือมาพบทนายความแต่อย่างใด ฟ้องหย่า ต้องขึ้นศาลกี่ครั้งในกรณีฟ้องหย่า ตัวโจทก์ซึ่งเป็นคนฟ้องหย่าจะต้องมาศาลกี่ครั้งนั้น แบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ 1.จำเลยไม่มาศาล และไม่ต่อสู้คดีในคดีฟ้องหย่า อย่างน้อยตัวคุณซึ่งเป็นคนฟ้องคดีนั้นจะต้องมาศาล 1 ครั้ง กล่าวคือตัวคุณต้องมาศาลในนัดแรก ซึ่งธรรมดาแล้วศาลจะนัดไกล่เกลี่ย / สืบพยานโจทก์ พร้อมกันในนัดแรก ในนัดพิจารณาคดีครั้งแรกนั้น หากจำเลยไม่ได้มาศาล และไม่ได้ส่งทนายความมาขอเลื่อนคดี แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์ต่อสู้คดี ในกรณีที่จำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนนัด ศาลก็จะให้คุณสาบานตัวตามกฎหมาย และเบิกความเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อศาลเลยว่าสาเหตุที่ฟ้องหย่าคู่สมรส เป็นเพราะอะไร โดยทนายความจะทำหน้าที่เป็นผู้ถามคุณ พร้อมกับส่งเอกสารหลักฐานต่างๆให้ศาลตรวจสอบ ซึ่งก่อนวันขึ้นศาล ทนายความจะทำการซักซักการถามตอบ รวมทั้งเตรียมเอกสารหลักฐานกับคุณก่อนวันขึ้นศาลก่อนอยู่แล้ว เมื่อศาลฟังเรื่องเล่าจากคุณแล้วเห็นว่า เป็นสาเหตุที่จะสามารถฟ้องหย่าได้ตามกฎหมาย ศาลจะพิพากษาให้คุณและคู่สมรสหย่าขาดจากกัน ทางปฏิบัติแล้ว เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว จะยังคัดคำพิพากษาวันนั้นเลยไม่ได้ แต่ต้องรออีกประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้ศาลและผู้พิพากษาทุกคนลงลายมือชื่อให้ครบก่อน หลังจากศาลพิพากษาให้หย่าขาดกันแล้ว อีก 1 เดือน คุณจึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลพร้อมหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดไปจดทะเบียนหย่าที่ว่าการอำเภอได้ สาเหตุที่ต้องรอ 1 เดือน เนื่องจากการนำคำพิพากษาไปจดทะเบียนหย่าขาดกันที่สำนักงานทะเบียน หรือที่ว่าการอำเภอนั้น จะต้องมี “ หนังสือรับรองคดีถึงที่สุด “ ไปพร้อมกับคำพิพากษาด้วย ซึ่งหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดนี้ จะออกได้หลังศาลพิพากษาไปแล้วเกินกว่า 30 วันเท่านั้น 2.จำเลยมาศาล หรือมาต่อสู้คดีหากจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดี และแต่งตั้งทนายความเข้ามาในวันนัด หรือเดินทางมาศาลในวันนัด หรืออาจจะมอบให้เสมียนทนายความเลื่อนคดีนัดแรก ซึ่งเป็นสิทธิที่ฝ่ายจำเลยจะกระทำได้ ศาลจะจัดให้คู่ความทั้งสองฝ่าย เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความ โดยจะมีผู้ไกล่เกลี่ยและประนีประนอมคดีครอบครัว มาเป็นคนกลาง ช่วยไกล่เกลี่ยให้กับทั้งสองฝ่าย ผู้ไกล่เกลี่ยประนีประนอมคดีครอบครัวนี้ ไม่ใช่ผู้พิพากษา ไม่ใช่ข้าราชการ แต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีคุณสมบัติตามที่ศาลคัดเลือก และมีจิตอาสาต่อสังคม มาช่วยเหลืออำนวยความยุติธรรมให้ทุกฝ่าย ด้วยการใช้ความรู้และประสบการณ์ของตน มาช่วยไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันด้วยดี ซึ่งธรรมดาแล้วในคดีครอบครัวประเภทเรื่องหย่านั้น ทุกฝ่ายมักเจรจาตกลงกันได้ เพราะธรรมดาแล้วหากคนไม่รักกันแล้ว เป็นการยากที่จะให้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกและไม่เป็นประโยชน์ที่จะให้ถือทะเบียนสมรสอยู่ด้วยกัน ทนายความคดีครอบครัว ที่มีความชำนาญและประสบการณ์จะรู้ดีว่า การต่อสู้คดีในลักษณะนี้ ไม่ค่อยเกิดประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย แต่การร่วมกันพูดคุยหาทางออกร่วมกัน จะเป็นประโยชน์มากที่สุดกับทุกฝ่าย ดังนั้นธรรมดาแล้ว คดีลักษณะแบบนี้ จึงมักจะจบด้วยการเจรจาไกล่เกลี่ย และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเป็นส่วนมาก กรณีตกลงกันได้ ต้องทำอย่างไรถ้าทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ ซึ่งโดยมากก็คือ ทั้งสองฝ่ายตกลงสมัครใจหย่า หรือ ฝ่ายที่เป็นฝ่ายผิดยอมหย่าให้ หรือฝ่ายที่ต้องการหย่า ยอมชดใช้เงินให้ส่วนหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายยอมหย่าให้ ทนายความก็จะจัดการให้ทั้งสองฝ่ายทำ “สัญญาประนีประนอมยอมความ” โดยเนื้อหาของสัญญาประนีประนอมยอมความก็คือ ทั้งสองฝ่ายตกลงหย่าขาดจากกันและจะไปหย่าขาดกันภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ตัวอย่างเนื้อหาในสัญญาประนีประนอมยอมความ เช่น
หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว ผู้พิพากษาก็จะตรวจดูว่า สัญญาประนีประนอมยอมความของเรา ขัดกับกฎหมายหรือไม่ ถ้าผู้พิพากษาตรวจแล้วเห็นว่าถูกต้อง ก็จะมีคำพิพากษาให้แต่ละฝ่ายมีสิทธิและหน้าที่ตามที่ปรากฎตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งนี้หากทั้งสองฝ่ายทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว ฝ่ายใดไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่าตามกำหนด อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถนำเอา สัญญาประนีประนอมยอมความ คำพิพากษาที่พิพากษาให้เป็นตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด ไปดำเนินการจดทะเบียนหย่าขาดที่อำเภอได้ฝ่ายเดียวเลย กรณีตกลงกันไม่ได้ ต้องทำอย่างไรหากผู้ไกล่เกลี่ยไม่สามารถเจรจาให้ทั้งสองฝ่ายตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ ผู้ไกล่เกลี่ยก็จะส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้น ก็อาจจะทำการเจรจาไกล่เกลี่ยอีกรอบนึง ในบัลลังก์ศาล ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็อาจจะตกลงกันได้ในรอบนี้ ซึ่งหากตกลงกันได้ ก็จะเข้าสู่กระบวนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไป แต่หากทั้งสอง ฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้อีก ศาลก็จะนัดสืบพยานของทั้งสองฝ่ายอีกต่อไป และเมื่อสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นแล้ว ศาลก็จะมีคำพิพากษาว่าให้หย่าหรือไม่ให้หย่าต่อไป ซึ่งรวมแล้ว กรณีที่จำเลยมาศาลต่อสู้คดี ตัวโจทก์จะต้องมาศาลตั้งแต่ละประมาณ 2 ถึง 5 ครั้ง แล้วแต่กรณี ฟ้องหย่า นานแค่ไหนถึงได้หย่าแบ่งออกเป็น 3 กรณีด้วยกัน 1.กรณีจำเลยไม่มาศาลและไม่มาต่อสู้คดี นับแต่วันที่เริ่มฟ้องศาลมีคำพิพากษาจนได้คำพิพากษาและหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด เพื่อไปใช้จดทะเบียนหย่าประมาณ 3 เดือน 2.กรณีจำเลยมาศาลและมาต่อสู้คดี ถ้าสามารถพูดคุยเจรจาตกลงกันได้ ใช้เวลาประมาณ 2-6 เดือน นับแต่วันยื่นฟ้อง จนได้จดทะเบียนหย่า แล้วแต่ว่าจะสามารถตกลงกันได้ช้าหรือเร็ว 3.กรณีจำเลยมาศาล มาต่อสู้คดีและไม่สามารถตกลงกันได้ ใช้เวลาตั้งแต่เริ่มคดีจนจบในศาลชั้นต้นประมาณ 6 เดือน – 9 เดือน และชั้นอุทธรณ์ ฎีกา อีกประมาณ 1-2 ปี รวมแล้วใช้เวลา 6 เดือนถึง 2 ปี ถึงจะได้หย่า ได้คำพิพากษาให้หย่าแล้วต้องทำอย่างไรเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้หย่าขาดจากกันแล้ว และคดีถึงที่สุดโดยไม่มีฝ่ายใดยื่นอุทธรณ์ หรือฎีกา หรือในกรณีที่ทั้งสองฝ่าย สามารถตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้ และตกลงหย่าขาดจากกัน และคดีถึงที่สุดแล้ว คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สามารถถือเอาใบสำคัญการสมรส คำพิพากษาของศาล หรือสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม และหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด ไปดำเนินการจดทะเบียนหย่าแต่ฝ่ายเดียวได้เลย ทั้งนี้ตาม ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2541 ที่ออกตามความใน ตาม พ.ร.บ. จดทะเบียนครอบครัว2478 ที่วางหลักไว้ว่า
ฟ้องหย่าเป็นคดีอะไรฟ้องหย่า เป็นคดีแพ่ง และยังเป็นคดีแพ่งประเภทพิเศษที่จะต้องขึ้นศาลพิเศษคือศาลเยาวชนและครอบครัว ไม่ใช่ศาลจังหวัดทั่วไป โดยในคดีหย่านั้น ยังกระบวนพิจารณาต่างๆยังมีความพิเศษและแตกต่างไปจากคดีแพ่งทั่วไปหลายประการ เพราะศาลมองว่าสถาบันครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญอีกทั้งคดีที่เกี่ยวกับครอบครัวนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงสมควรจัดตั้งศาลพิเศษขึ้นมาพิจารณาคดีประเภทนี้โดยเฉพาะ โดยกฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆไว้ใน พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 ฟ้องหย่าที่ศาลไหนคดีฟ้องหย่านั้้นจะต้องฟ้องที่ ” ศาลเยาวชนและครอบครัว ” โดยสถานที่นั้นสามารถฟ้องได้ 2 ที่ด้วยกันก็คือ 1.สถานที่ที่มูลคดีเกิดคำว่า “มูลคดี’ หมายถึงสถานที่ที่เกิดเหตุทำให้ฟ้องหย่านั่นเอง เช่นสถานที่ที่พบเห็นหรือเกิดการกระทำเป็นชู้ สถานที่ที่คู่สมรสทำร้ายร่างกาย สถานที่ที่เริ่มแยกกันอยู่ เป็นต้น หากว่ามูลคดีที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องหย่าเกิดขึ้นที่ไหนเราก็สามารถฟ้องได้ที่ศาลนั้น เช่น พบเห็นการเป็นชู้ที่จังหวัดชลบุรี ก็สามารถฟ้องหย่าได้ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชลบุรี แม้ว่าคู่สมรสจะอยู่กินกันที่จังหวัดกรุงเทพฯก็ตาม 2.สถานที่ที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่คำว่าภูมิลำเนา หมายถึงสถานที่ที่จำเลยมีที่อยู่เป็นประจำหรือที่ปรากฏตามทะเบียนบ้าน คำว่าจำเลยในที่นี้หมายความรวมถึงตัวคู่สมรสที่เราฟ้องหย่า รวมทั้งตัวหญิงชู้หรือชายชู้ในกรณีที่เราฟ้องชู้ด้วย เช่นตัวสามีมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จังหวัดกรุงเทพฯ ส่วนตัวชู้มีภูมิลำเนาอยู่ที่พัทยา เหตุการณ์เป็นชู้เกิดขึ้นที่เชียงใหม่ เช่นนี้เราสามารถฟ้องคดีได้ทั้งที่จังหวัดกรุงเทพฯซึ่งเป็นภูมิลำเนาของสามี รวมทั้งจังหวัดชลบุรีที่เป็นภูมิลำเนาของชู้ และที่เชียงใหม่ที่เป็นสถานที่มูลคดีเกิด ฟ้องหย่า เรียกค่าเลี้ยงดูบุตร เรียกค่าเลี้ยงชีพ ฟ้องหย่าลูกอยู่กับใครในกรณีที่คู่สมรสมีบุตรด้วยกัน เมื่อมีการฟ้องหย่าก็จะต้องมีการ พูดถึงหรือฟ้องเรื่องอำนาจปกครองบุตรเข้าไปด้วย ธรรมดาแล้วฝ่ายที่ฟ้องหย่าก็มักจะต้องการนำบุตรไปเลี้ยงด้วยตนเอง แต่ธรรมดาแล้วในคดีประเภทฟ้องหย่าอำนาจปกครองบุตรนี้ศาลจะไม่ได้กำหนดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรหรือเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว แต่ศาลมักจะกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันเลี้ยงดูบุตร แบ่งกันเลี้ยงดูเพราะจะเป็นวิธีที่เกิดประโยชน์แก่บุตรผู้เยาว์มากที่สุด และธรรมดาแล้วในประเด็นเรื่องอำนาจปกครองบุตรหรือการแบ่งกันเลี้ยงดูบุตรนั้น การพูดคุยเจรจาตกลงกัน ว่าจะแบ่งกันเลี้ยงดูอย่างไรย่อมจะเป็นประโยชน์มากกว่าการที่ให้ศาลเป็นคนกำหนด ฟ้องหย่า เรียกอะไรได้อะไรบ้างเรียกค่าทดแทนธรรมดาแล้ว หากฟ้องหย่าสามีหรือฟ้องหย่าภรรยา ด้วยสาเหตุว่าเป็นชู้หรือมีชู้ นอกจากจะสามารถฟ้องหย่าได้แล้ว ยังสามารถฟ้องเรียก ค่าทดแทน ได้จากตัวสามีภรรยาคู่สมรส รวมทั้งตัวหญิงชู้หรือชายชู้ที่เป็นเหตุหย่า ได้อีกด้วย หรือหากเรายังไม่ต้องการฟ้องหย่า ก็สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากชู้แต่เพียงอย่างเดียวได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1523 ส่วนการฟ้องจะสามารถเรียกเงินได้เท่าไหร่นั้นสามารถอ่านได้จากบทความเรื่อง “ฟ้องชู้เรียกเงินเท่าไหร่ ศาลใช้อะไรเป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าเสียหาย “ ซึ่งผมเคยได้เขียนอธิบายไว้อย่างละเอียดแล้วครับ เรียกค่าเลี้ยงดูบุตรในเรื่องการฟ้องหย่า หากคู่สมรสมีบุตรด้วยกัน และบุตรอยู่ในความดูแลของฝ่ายที่ฟ้องหย่า ฝ่ายที่ฟ้องหย่าย่อมสามารถฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรตามสมควรไปพร้อมกับการฟ้องหย่าได้ด้วย ส่วนค่าเลี้ยงดูบุตร จะเรียกร้องได้เท่าไหร่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องๆไป เรียกค่าเลี้ยงชีพถ้าเหตุหย่านั้นเกิดจากความความผิดของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ไปมีชู้ หรือละทิ้งร้างคู่สมรสอีกฝ่ายเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี คู่สมรสฝ่ายที่ฟ้องหย่า ย่อมมีสิทธิฟ้องค่าเลี้ยงชีพได้ด้วย ทั้งนี้สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพนั้น คู่สมรสจะต้องฟ้องหรือฟ้องแย้งเข้าไปในคดีหย่าเท่านั้น ถ้าไม่ได้ฟ้อง จะมาฟ้องหรือเรียกร้องภายหลังไม่ได้ ตามป.พ.พ. ม.1526
ทั้งนี้หากคู่สมรสฝ่ายที่ได้รับค่าเลี้ยงชีพ จดทะเบียนสมรสใหม่ สิทธิรับค่าเลี้ยงชีพจะสิ้นไปทันที ตาม ป.พ.พ.ม.1528
เรียกแบ่งสินสมรสในคดีฟ้องหย่า คู่สมรสสามารถฟ้องแบ่งหรือเรียกร้องให้แบ่งสินสมรสไปพร้อมกันในคราวเดียวกันเลย เพียงแต่จะต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมตามทุนทรัพย์ที่ขอแบ่ง ซึ่งธรรมดาแล้วในทุกคดีที่มีสินสมรสด้วยกัน เราก็นิยมจะฟ้องแบ่งสินสมรสเข้าไปพร้อมคดีหย่าอยู่แล้ว ฟ้องหย่าสามีต่างชาติ หรือฟ้องหย่าภริยาต่างชาติ มีขั้นตอน กระบวนการ อย่างไรการฟ้องหย่าชาวต่างชาติ ในกรณีที่เรามีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ หรือในกรณีที่คุณเป็นคนต่างชาติและต้องการฟ้องหย่าคู่สมรสชาวไทย มีหลักเกณฑ์และขั้นตอนคล้ายกับการฟ้องหย่าคนไทยด้วยกันตามปกติ แต่จะมีข้อกฎหมายและขั้นตอนที่จะต้องพิจารณาเพิ่มเติมมา ก็คือ 1.กฎหมายหย่าของประเทศคู่สมรสพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายพ.ศ.2481 ม.24 วางหลักไว้ว่า “ศาลสยามจะไม่พิพากษาให้หย่ากัน เว้นแต่กฎหมายสัญชาติแห่งสามีภริยาทั้งสองฝ่ายยอมให้กระทำได้ เหตุหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า “ หมายความว่าในคดีฟ้องหย่าชาวต่างชาติ หรือคดีที่ชาวต่างชาติฟ้องหย่าคนไทย หรือชาวต่างชาติฟ้องหย่ากันเอง ในศาลของประเทศไทย โจทก์จะต้องนำสืบว่า กฎหมายของประเทศของสัญชาติโจทก์หรือจำเลยนั้น ไม่ขัดกับกฎหมายของประเทศไทย กล่าวคือจะต้องนำสืบว่า ตามกฎหมายของประเทศสัญชาติโจทก์หรือจำเลยนั้น ยอมให้ทั้งสองฝ่ายสามารถฟ้องหย่า หรือหย่าขาดจากกันได้ ทั้งนี้เพราะในบางประเทศที่เคร่งศาสนามาก คู่สมรสหากจดทะเบียนสมรสกันแล้ว จะไม่สามารถหย่าขาดกันได้เลย เช่นนี้ศาลไทยก็ไม่สามารถพิพากษาให้ทั้งสองฝ่ายสามารถให้ฟ้องหย่ากันได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ในปัจจุบันแทบทุกประเทศทั่วโลก ต่างผ่อนปรนความเคร่งครัดทางศาสนา และอนุญาตให้คู่สมรสหย่าขาด หรือฟ้องหย่ากันได้อยู่แล้ว ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องกังวลข้อกฎหมายนี้แต่อย่างใด ส่วนสาเหตุการหย่านั้น ให้พิจารณาตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ฟ้องหย่า คือตามกฎหมายแห่งประเทศไทยอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องไปพิจารณาถึงเหตุฟ้องหย่าของกฎหมายต่างประเทศ ตัวอย่างเช่นตามกฎหมายของประเทศไทยหากคู่สมรสแยกกันอยู่กันเป็นเวลาเกินกว่า 3 ปีแล้วคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถฟ้องหย่าได้ หากเราฟ้องหย่า คู่สมรสซึ่งเป็นคนสัญชาติอังกฤษ แล้วตามกฎหมายของประเทศอังกฤษ สมมุติว่าจะต้องแยกกันอยู่เกินกว่า 10 ปี ถึงจะฟ้องหย่าได้ เช่นนี้การพิจารณาเหตุในการฟ้องหย่า ให้พิจารณาเฉพาะตามกฎหมายไทยเท่านั้นคือหากแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปีก็สามารถฟ้องหย่าได้แล้วไม่ต้องรอถึง 10 ปี ตัวอย่างเช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6499/2557 , คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6625/2549 , คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9681/2557 , เป็นต้น 2.การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องการฟ้องหย่าคู่สมรสที่เป็นชาวต่างชาติ หากคู่สมรสนั้นยังพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย หรือมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย การฟ้องก็ไม่ต่างกับคดีทั่วไป กล่าวคือการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ก็สามารถขอให้ศาลส่งให้ตามภูมิลำเนาของจำเลยในประเทศไทยได้เลย แต่หากคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ และเดินทางกลับประเทศของตนเองไปแล้ว ไม่ได้อยู่อาศัยในประเทศไทย และไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย เช่นนี้อาจจะมีกระบวนการต้องส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปยังต่างประเทศ ผ่านกระบวนการของศาลเป็นวิธีพิเศษ พร้อมต้องแปลคำฟ้องเป็นภาษาตามสัญชาติของคู่สมรสด้วย ซึ่งกรณีนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากปกติประมาณ 5,000 บาทเป็นค่าแปลและค่าจัดส่งเอกสาร และอาจจะใช้เวลาทำการมากกว่าคดีปกติประมาณ 1-2 เดือน ค่าธรรมเนียมศาลเท่าไหร่ธรรมดาแล้วคดีฟ้องหย่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ เสียค่าธรรมเนียมศาลในอัตราเพียง 200 บาทเท่านั้น และนอกจากค่าธรรมเนียมศาลแล้ว ก็ยังมีค่าธรรมเนียมการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้กับจำเลยซึ่งจะอยู่ประมาณ 500 ถึง 1,000 บาท รวมแล้วค่าธรรมเนียมศาลในคดีฟ้องหย่าอย่างเดียวจะตกไม่เกิน 2,000 บาท ธรรมดาแล้วหากมีประเด็นเรื่องฟ้องหย่าอย่างเดียว ค่าธรรมเนียมศาลส่วนนี้ ทางสำนักงาน พิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความจะเหมารวมให้ในอัตราค่าทนายความอยู่แล้ว แต่หากมีประเด็นเรื่องการแบ่งสินสมรส เพิ่มเติมเข้ามาด้วย ค่าธรรมเนียมศาลก็จะเพิ่มขึ้นต่ำจำนวนเงินสินสมรสที่ต้องการฟ้องขอแบ่ง ซึ่งธรรมดาแล้วหากยอดทุนทรัพย์ของสินสมรส ที่ฟ้องแบ่งไม่เกิน 300,000บาทก็จะเสียค่าธรรมเนียมศาลไม่เกิน 1,000 บาท ยอดทุนทรัพย์ของสมรสที่ฟ้องแบ่งเกินกว่า 3 แสนบาท ก็จะเสียค่าธรรมเนียมศาลในอัตราร้อยละ 2 ของจำนวนเงินที่ยื่นฟ้อง ทั้งนี้จำนวนเงินค่าธรรมเนียมศาลที่เสียไปนั้น หากทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ศาลจะคืนให้เป็นจำนวน 7ใน 8 ส่วนของจำนวนเงินที่จ่ายไป หรือหากไม่สามารถตกลงกันได้มีการสืบพยานจนศาลตัดสินคดีไป ก็มีโอกาสที่ศาลจะสั่งให้ฝ่ายจำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่เราเสียไปให้กับเรา หรือศาลอาจจะสั่งว่าค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คือให้เป็นตกไปทั้งสองฝ่ายไม่ต้องจ่ายให้กันและกัน ค่าทนายความเท่าไหร่ธรรมดาแล้วค่าวิชาชีพทนายความนั้น ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้จ้างและผู้ว่าจ้าง ไม่มีกำหนดหลักเกณฑ์ตายตัว แต่อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์เรา ทางสำนักงาน พิศิษฐ์ ศรีสังข์ ทนายความ มีเรทราคาปกติในการว่าจ้างฟ้องหย่าดังนี้ 1.คดีฟ้องหย่าทั่วไปไม่มีข้อยุ่งยากซับซ้อนกล่าวคือ คดีมีพยานหลักฐานเรื่องเหตุหย่าชัดเจน ยากที่จะโต้แย้งได้ ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีประเด็นเรื่องอำนาจปกครองบุตร ค่าเลี้ยงชีพ แบ่งสินสมรส ด้วยหรือไม่ ค่าวิชาชีพทนายความจะอยู่ที่ประมาณ 40,000-50,000 บาท แล้วแต่รูปคดี ธรรมดาแล้วทางสำนักงานจะแบ่งจ่ายเป็น 2 งวดคืองวดแรกตอนเซ็นสัญญาว่าจ้าง งวดที่ 2 เมื่องานสำเร็จสามารถจดทะเบียนหย่าได้ หรือเมื่อได้คำพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน 2.คดีฟ้องหย่าที่มีข้อยุ่งยากซับซ้อนกล่าวคือ คดีที่มีพยานหลักฐานซับซ้อน มีประเด็นข้อพิพาทกันหลายประเด็น มีทุนทรัพย์ในความรับผิดชอบของทนายความเป็นจำนวนสูง เช่นนี้ค่าวิชาชีพทนายความทนายความจะต้องประเมินรูปคดีโดยรวมจึงจะแจ้งได้ แต่ก็จะอยู่ที่ตั้งแต่ประมาณ 50,000-100,000 บาท เลือกทนายอย่างไรดีคดีฟ้องหย่า จะหาทนายที่ไหน จะเลือกทนายอย่างไร ? ธรรมดาแล้วคดีฟ้องหย่าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1.คดีฟ้องหย่าแบบง่ายๆไม่ซับซ้อน ไม่มีประเด็นเรื่องแบ่งสินสมรส ไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจปกครองบุตร มีพยานหลักฐานเรื่องเหตุหย่าชัดเจนยากที่จะโต้แย้งได้ กรณีแบบนี้ ผมแนะนำให้เลือกใช้ทนายความที่อยู่ใกล้ตัว และคิดราคาที่เหมาะสมไม่สูงจนเกินไป จะดีที่สุดเพราะคดีแบบนี้เป็นคดีค่อนข้างง่าย ทนายความทั่วไปที่ไหนก็ทำได้ 2.คดีฟ้องหย่าแบบซับซ้อนมีข้อยุ่งยาก เช่นเหตุหย่ายังไม่ค่อยชัดเจนหรือมีประเด็นต้องถกเถียงกันเป็นจำนวนมาก หรือมีประเด็นเรื่องแบ่งสินสมรสหรืออำนาจปกครองบุตรที่ซับซ้อน หรือมีประเด็นเรื่องการเรียกค่าทดแทนค่าเลี้ยงชีพหรือประเด็นอื่นด้วย กรณีแบบนี้ผมแนะนำให้ใช้ทนายความที่มีประสบการณ์และมีความสามารถเฉพาะทาง ในเรื่องการฟ้องหย่า สรุปการฟ้องหย่า ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงคุณมาพบและปรึกษาทนายความ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทนายความฟัง เตรียมข้อมูลและเอกสารหลักฐานต่างๆตามที่ทนายความร้องขอ หาข้อมูลหรือเหตุในการหย่าของคุณชัดเจนไปขึ้นศาลเพียงไม่กี่ครั้งก็จะสามารถได้ใบหย่าแล้ว นอกจากนี้ค่าทนายความในคดีฟ้องหย่าก็ไม่สูงมากอีกด้วย แสดงความเห็นเกี่ยวกับบทความนี้comments |