ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคอะไร

ไลฟ์สไตล์

6 โรคร้ายที่ทำคนไทยตายสูงสุด

บทความ 5 นาที

ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคอะไร
ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคอะไร

6 โรคร้ายที่ทำคนไทยตายสูงสุด โรคร้ายที่ทำคนไทยตายสูงสุด โรคไหนบ้างไปดูกันเลย 

6 โรคร้ายที่ทำคนไทยตายสูงสุด

โรคร้ายที่ทำคนไทยตายสูงสุด โรคไหนบ้างไปดูกันเลย

ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคอะไร

 

อันดับ 1 # มะเร็ง

อันดับ 1 ของมะเร็งคือ มะเร็งตับ รองลงมาคือมะเร็งลำไส้ใหญ่และปอด ( อ้างอิงจากผลวิจัยปี 2546 ) ซึ่งโรคเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นโรคจากการใช้ชีวิตประจำวันแบบผิด ๆ ของคนในยุคสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดใด มะเร็งลำไส้, มะเร็งมดลูก หรือมะเร็งเต้านม ก็ล้วนแล้วแต่คร่าชีวิตคนไทยมาแล้วนักต่อนัก สถิติการเป็นมะเร็งของคนไทยนั้นเพิ่มสูงขึ้นถึง 70,000 คน และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ  มะเร็งยังครองแชมป์การเป็นโรคที่มีคนเป็นมากที่สุดในประเทศ อันดับที่ 1 ถึง 5 ปีซ้อน และมีผู้เสียชีวิตไปด้วยโรคนี้ถึงปีละ 50,000 คนอีกด้วย

อันดับ 2 # โรคหลอดเลือดหัวใจ

โรคที่คนไทยนิยมเป็นกันไม่แพ้มะเร็ง เพราะด้วยนิสัยการทานอาหารที่มีไขมันสูง ไม่ยอมออกกำลังกาย เป็นโดยพันธุกรรมและยังเป็นอีก 1 โรคแทรกซ้อนของผู้ที่เป็นเบาหวาน เกิดจากการที่ไขมันไปจับ หรือเกาะผนังของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ จนเลือดไม่อาจถูกส่งไปเลี้ยงหัวใจได้ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด ส่งผลให้หัวใจยุดเต้นอย่างเฉียบพลัน และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

อันดับ 3  #โรคเบาหวาน

เบาหวานเป็นอีกโรคที่เป็นสาเหตุของการเป็นโรคที่ทำให้คนไทยเสียชีวิต เกิดจากการที่ร่างกายสร้างฮอร์โมนอินซูลินมามากทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ร่างกายจึงไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเหมาะสม และตับอ่อนทำงานได้อย่างไม่เต็มที่ จนไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้งานได้ หรือใช้งานได้น้อย จนทำให้น้ำตาลค้างอยู่ในเลือดสูง การรักษาโรคนี้ มีทั้งการฉีดอินซูลินเข้าไป เพื่อกระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างอินซูลิน และการดูแลชีวิต ที่ต้องควบคุมอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควรเช็คน้ำตาลในเลือดทุกวัน, งดอาหารเค็ม และพบแพทย์ตามนัดเสมอ

อันดับ 4 # โรคความดันโลหิตสูง

โรคภาวะความดันโลหิตสูง โดยมีความดันสูงถึง 140/90 มิลลิเมตร - ปรอท ขึ้นไป โดยที่ความดันของคนปกติจะอยู่ที่ 90 - 119/60 - 79 มิลลิเมตร - ปรอท

แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

  • ชนิดแบบที่ไม่ทราบสาเหตุ   ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร พบได้สูงถึง 90 - 95% ของผู้ป่วยโรคนี้ เชื่อว่าน่าจะเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันของเอ็นไซม์ ฮอร์โมน และต่อมต่าง ๆ ที่ต้องควบคุมความดันในร่างกาย ทำงานไม่สอดคล้องกัน หรือผิดปกติไป ไม่ก็อาจจะเกิดจากพันธุกรรม, เชื้อชาติ, การทานอาหารที่มีรสเค็ม และสมดุลของเกลือแร่ แคลเซียมทำงานไม่สมดุลกัน
  • ชนิดแบบทราบสาเหตุ พบแค่ 5 - 10% ของผู้ป่วย เกิดจากโรคต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อหลอดเลือด ต่อหัวใจ และสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ที่พบบ่อยคือ โรคไตเรื้อรังจากการติดสุรา, เนื้องอกที่ต่อมหมวกไต และเนื้องอกในสมอง นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน, โรคอ้วน หรือแม้แต่การทายาสเตียรอยด์บางชนิด ก็สามารถทำให้เป็นโรคนี้เช่นกัน

ถ้ามีอาการมึนหัว วิงเวียนศีรษะ สับสน เจ็บหน้าอก ใจสั่น เหงื่ออกมาก และปวดศีรษะมาก ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะนั่นอาจเป็นอาการเริ่มต้น ของโรคความดันโลหิตสูงได้ ควรจำกัดแป้ง น้ำตาล ไขมัน และอาหารเค็ม ออกกำลังกาย ลดความเครียดลง ไม่สูบบุหรี่ เลิกสุรา และรีบพบแพทย์ทันที่เมื่อมีอาการ

อันดับ 5 # วัณโรคที่มากับอากาศ

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า มายโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลสิส (Mycobacterium tuberculosis) ซึ่งมีแนวโน้มของผู้ป่วยรายใหม่ เพิ่มสูงขึ้นถึงปีละ 70% อาการของผู้ที่เป็นวัณโรคจะไอแห้ง ติดต่อกันเกิน 3 สัปดาห์ และมีเลือดปนออกมาด้วย นอกจากนี้ ในบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลีย หรือไข้ร่วมด้วย แต่ผู้ที่เป็นระยะแรก ๆ มักจะไม่ค่อยแสดงอาการมากนัก เบื่ออาหาร น้ำหนักลดมาก แน่นและเจ็บหน้าอกทุกครั้งที่ไอ ถ้าต้องอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโรคนี้ ก็ให้จัดสถานที่ให้โล่งโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่คลุกคลีหรือสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง  การรักษาระยะแรกผู้ป่วยต้องไปรับยาอย่างสม่ำเสมอติดต่อกัน 6 เดือน อาการก็จะดีขึ้นจนอาจหายป่วยได้ แต่ถ้าไม่รับยาตามนัด จะก่อให้เกิดเชื้อดื้อยา และต้องทานยาใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น และใช้เวลาถึง 18 เดือนในการรักษา เพราะฉะนั้นจึงควรที่จะไปรับการรักษา ตั้งแต่ต้นที่ตรวจพบ และทานยาตลอดจนอาการดีขึ้น

อันดับ 6 # โรคปอดเรื้อรัง

เกิดจากการสูบบุหรี่ การหายใจเอาละอองสารเคมีเข้าไปนาน ๆ จนเกิดการสะสม มลภาวะในอากาศ และโรคทางพันธุกรรมบางชนิด ก็ทำให้เกิดโรคนี้ได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมาจากผู้ที่สูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่จะเข้าไปทำลายเนื้อปอด และหลอดลม ซึ่งในยุคปัจจุบัน คนนิยมสูบบุหรี่กันเยอะขึ้นโรคปอดเรื้อรังสามารถกลายเป็นโรคถุงลมโป่งพอง ที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ เข้ามาอยู่ในชั้นเยื่อบุ และชั้นใต้เยื่อบุมากขึ้น ต่อมผลิตเมือกที่อยู่ใต้ชั้นเยื่อบุจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และผลิตเมือกเข้าสู่หลอดลม จนทำให้เซลล์ที่ทำหน้าที่กวัดกวาดสิ่งสกปรกโดนเมือกเคลือบ แล้วนำพาเอาเมือกจากจุดอื่น ๆ เข้าสู่หลอดลมอย่างล้นหลาม และถุงลมก็จะถูกทำลายจนหายไป

ที่มา

บทความเกี่ยวข้อง

เตือนโรคร้ายที่มากับหน้าหนาว แม่ๆ รีบดูแลลูกด่วน! 

โรคแทรกซ้อนแม่ท้องต้องระวัง 10 โรคอันตรายที่คุณหมอพบบ่อย  

บทความจากพันธมิตร

ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคอะไร

ไลฟ์สไตล์

กระเป๋าแม่ลูกอ่อน สำคัญอย่างไร เลือกกระเป๋าแบบไหนให้สะดวกต่อการใช้งานมากที่สุด

ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคอะไร

ชีวิตครอบครัว

อัปเดต แอปพลิเคชันดูแลสุขภาพ ALive Powered by AIA ใคร ๆ ก็มีไว้ในสมาร์ตโฟน

ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคอะไร

ชีวิตครอบครัว

5 เคล็ดลับการเลือก รถยนต์อเนกประสงค์สำหรับครอบครัว ปลอดภัย พร้อมไปทุกที่ได้อย่างมั่นใจ

ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคอะไร

ข่าว

วันเด็กแห่งชาติ ปี 2565 กระทรวง อว. ชวนเจ้าตัวเล็ก ร่วมกิจกรรม Online “ถนนสายวิทยาศาสตร์” ลุ้นเปิด “กล่องสุ่มของเล่น” กระจายความสนุกพร้อมกันทั่วประเทศ

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

ปัจจุบันโรคที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุดคือโรคอะไร

โรคมะเร็ง ถือเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตของประชากรไทยตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมะเร็งมีโอกาสเกิดขึ้นกับคนอายุน้อยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากผลกระทบภายในและภายนอกร่างกาย ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้น ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้

คนไทยป่วยเป็นโรคอะไรมากที่สุด 2564

สปสช.เปิด 10 อันดับโรค คนไทยใช้ 'สิทธิบัตรทอง' รักษาสูงสุด ปี 2564 พบ โรคความดันสูง รั้งอันดับ 1 รองลงมา โรคเบาหวาน ขณะใช้สิทธินอน รพ. เพื่อรักษาอาการจากโรคโควิด-19 สูงสุด

โรคอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของคนไทยในปัจจุบันเพราะอะไร

ในแต่ละปีคนไทยเสียชีวิตจากหลายสาเหตุ ทั้งจากการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ แต่สาเหตุหลักของการเสียชีวิตที่พบได้บ่อยในคนไทยมักมาจากโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดบวม หัวใจขาดเลือด และอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งก็อาจมาจากวัฒนธรรม อาหาร สภาพแวดล้อม และสภาพสังคม