การเติม s es ies หลังคํากริยา

    คำกริยาในภาษาอังกฤษ (Verbs) คือ คำที่ใช้แสดงการกระทำของประธาน ซึ่งคาดว่าเพื่อนๆก็คงจะรู้จักกันดี แต่ก็มักจะมีคำถามเกิดขึ้นเสมอ ว่า "ถ้าหากประธานนั้นเป็นเอกพจน์ / พหูพจน์ คำกริยาจะมีการต้อง เติม s es ด้วยหรือเปล่า? " หรือ " กริยาเติม s es ใช้อย่างไร ? " และ " ตำแหน่งของคำกริยา ในประโยค เค้ามักวางกันตรงตำแหน่งไหน?" วันนี้ เรามีคำตอบมาให้แล้วค่ะ

    พบได้ใน tense เดียวเท่านั้นคือ present simple tense และกริยาจะเติม s es ก็ต่อเมื่อ ประธานของประโยคนั้นเป็น เอกพจน์ โดยหลักในการเติม s es ก็จะคล้ายๆกันกับคำนาม ได้แก่

   1. กริยาทั่วไป เติม s ได้เลย 
        เช่น work > works = ทำงาน,  eat  > eats = กิน,  live > lives = อาศัย

   2. กริยาลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, x, z และ o ให้เติม es
       เช่น go > goes = ไป,  pass > passes = ผ่าน,  teach > teaches = สอน

   3. กริยาลงท้ายด้วย y มีอยู่ 2 กรณี

  • ถ้าหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es
    เช่น try > tries = พยายาม,  fly > flies = บิน,  cry > cries = ร้องไห้
  • ถ้าหน้า y เป็นสระ (a, e, i, o, u) ให้เติม s ได้เลย
    เช่น buy > buys = ซื้อ,  play > plays = เล่น,  pay > pays = จ่ายเงิน

การเติม s es ies หลังคํากริยา

**สังเกตุ ข้อแตกต่างระหว่าง คำนามกับกริยา คือ คำนาม จะเติม s es ก็ต่อเมื่อ คำนามนั้นเป็นพหูจน์ (มีมากกว่า 1 ) แต่สำหรับคำกริยา เราจะเติม s es ก็ต่อเมื่อ ประธานของประโยค เป็นเอกพจน์(เท่ากับหนึ่ง) เช่น he, she, it นะคะ

หลักการเติม s และ es หลังคํากริยาในภาษาอังกฤษ เมื่อใช้กับประฐานเอกพจน์ จะต้องเติม s|es (ยกเว้น I,You) ยกตัวอย่าง Tha man runs. และถ้าต้องการกล่าวถึงการกระทำนั้นๆ จะอยู่ในพาทของ Present Continous Tense คำกริยาจะเดิม -ing ดังนั้นแล้วอาจจะต้องจำหลักการเติม s และ -ing ว่าต้องเติมอย่างไร

ที่มา   http://pornthiwateaw.wordpress.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A1-s-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-es-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-v1-%E0%B8%81%E0%B8%A3/

การเติม s es ที่คำกริยา ก็คล้ายกันกับการเติม  s es ที่ท้ายคำนาม เพื่อทำคำนามให้เป็นนามพหูพจน์ทุกประการ ยกเว้นท้ายกริยาที่ลงท้ายด้วย o เท่านั้นที่แตกต่างนิดหนึ่ง เพราะกริยาที่ลงท้ายด้วย o ให้เติม es อย่างเดียว ไม่เหมือนคำนามที่เติม s บ้าง es บ้าง

ใน present simple tense คำกริยาจะมี 2 รูปคือเอกพจน์และพหูพจน์ ซึ่งรูปเอกพจน์นั้นจะเป็นรูปที่ต้องเติม s/es ท้ายคำกริยา อย่างเช่น eats, walks, goes

อย่างไรก็ตาม การเติม s/es หลังคำกริยา ก็จะมีความต่างกันอยู่ โดยที่บางคำนั้นจะต้องเติม s ส่วนบางคำจะต้องเติม es และบางคำก็มีรูปเอกพจน์ที่ต่างจากพหูพจน์โดยสิ้นเชิง

สำหรับคนที่ยังไม่แม่นเรื่องการเติม s/es ท้ายคำกริยา ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงหลักการมาให้ได้เรียนรู้กันแบบง่ายๆแล้ว เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

ทบทวนความรู้
คำกริยารูปเอกพจน์ได้แก่ is, does, has, คำกริยารูปที่เติม s/es
คำกริยารูปพหูพจน์ได้แก่ are, do, have, คำกริยารูปที่ไม่ได้เติม s/es

ใน present simple tense เราจะใช้คำกริยารูปเอกพจน์ กับคำนามเอกพจน์ เช่น Tim walks to school every day. และจะใช้คำกริยารูปพหูพจน์ กับคำนามพหูพจน์ เช่น My friends walk to school every day.

ข้อควรระวัง
อย่าสับสนระหว่างพจน์ของคำนามและพจน์ของคำกริยา
คำนามเอกพจน์ คือคำนามที่ไม่ได้เติม s/es อย่างเช่น student, cat, table
คำนามพหูพจน์ คือคำนามที่เติม s/es อย่างเช่น students, cats, tables

ในทางกลับกัน
คำกริยาเอกพจน์ คือคำกริยาที่เติม s/es อย่างเช่น eats, walks, goes
คำกริยาพหูพจน์ คือคำกริยาที่ไม่ได้เติม s/es อย่างเช่น eat, walk, go

เวลาใช้ เราจะต้องใช้คำนามเอกพจน์กับคำกริยาเอกพจน์ และใช้คำนามพหูพจน์กับคำกริยาพหูพจน์
หรือถ้าจะจำแบบง่ายๆก็คือ เราจะเติม s/es คำนามและคำกริยาสลับกัน ถ้าคำนามเติม s/es คำกริยาก็ไม่ต้องเติม แต่ถ้าคำนามไม่ได้เติม s/es คำกริยาก็จะต้องเติมแทน ยกตัวอย่างเช่น
My cat eats very fast. (แมวของฉันกินเร็วมาก)
My cats eat very fast. (บรรดาแมวๆของฉันนั้นกินเร็วมาก)

(จริงๆแล้ว คำนามพหูพจน์บางคำก็ไม่ได้ลงท้ายด้วย s/es หลักการนี้ใช้เพื่อให้จำได้ง่ายเท่านั้น)

หลักการเติม s และ es หลังคำกริยา

การใช้คำกริยารูปเอกพจน์ เราจะต้องเติม s หรือ es หลังคำกริยา ซึ่งจะมีหลักการทั้งหมด 5 ข้อดังนี้

1. คำกริยาส่วนใหญ่ให้เติม s ต่อท้ายได้เลย

คำกริยาส่วนใหญ่ เมื่อใช้เป็นรูปเอกพจน์ ให้เติม s ต่อท้ายได้เลย ยกตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายComesComeมาEatsEatกินLovesLoveรักRunsRunวิ่งWalksWalkเดิน

2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ch, ss, sh, x หรือ zz ให้เติม es

คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ch, ss, sh, x หรือ zz เมื่อใช้เป็นรูปเอกพจน์ ให้เติม es ต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายWatchesWatchดูKissesKissจูบWashesWashล้าง, ซักFixesFixซ่อม, ติดBuzzesBuzzร้องเสียงหึ่ง

3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย o ให้เติม es

คำกริยาที่ลงท้ายด้วย o เมื่อใช้เป็นรูปเอกพจน์ ให้เติม es ต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายDoesDoทำGoesGoไป

4. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วค่อยเติม es

คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y เมื่อใช้เป็นรูปเอกพจน์ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es ต่อท้าย ยกตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายCriesCryร้องไห้FliesFlyบินHurriesHurryรีบเร่งStudiesStudyเรียนRepliesReplyตอบ

แต่ถ้าหน้า y เป็นสระ (a, e, i, o, u) ให้เติม s แทน es อย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายAnnoysAnnoyทำให้รำคาญBuysBuyซื้อEnjoysEnjoyเพลิดเพลิน, สนุกPaysPayจ่ายPlaysPlayเล่น

5. คำกริยาบางคำจะมีรูปเอกพจน์เฉพาะ

คำกริยาบางคำก็มีรูปเอกพจน์เฉพาะตัว ยกตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายIsAre
Beเป็น, อยู่, คือHasHaveมี

จบแล้วนะครับกับการเติม s และ es หลังคำกริยา ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจและสามารถใช้คำกริยารูปเอกพจน์ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะครับ