ข้อใดเป็นพฤติกรรมที่มีมารยาทที่ควรปฏิบัติเมื่ออยู่บนถนน

คลิปวีดีโอผู้ขับขี่จอมปาดกลายเป็นข่าวโด่งดังในชั่วข้ามคืน เรียกเสียงวิจารณ์จาก “ชาวเน็ต” ได้อย่างอื้ออึงและส่งผลให้ผู้ขับขี่ตัวต้นเหตุต้องถูกตัดสินจำคุกถึงหนึ่งเดือนเลยทีเดียว กลายเป็นคดีตัวอย่างหรือภาษาชาวบ้านบอกว่า “เชือดไก่ให้ลิงดู”

การขับขี่บนท้องถนน (รวมถึงพฤติกรรมอื่นๆ ในสังคม) ไม่เพียงต้องปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังควรคำนึงถึงมารยาทต่อเพื่อนร่วมท้องถนน เพราะไม่เพียงจะช่วยลดความเครียดบนถนนที่มีการจราจรหนาแน่นเท่านั้น แต่บางครั้งยังบรรเทาปัญหาจราจรได้อีกด้วย

วันนี้เรามีมารยาท 6 ข้อที่ควรปฏิบัติบนท้องถนนมาฝากกัน

ขออภัยรถคันอื่น

การขออภัยเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ หากคุณพลั้งเผลอทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างไม่ตั้งใจ อย่างการขับตัดหน้าคันอื่น การจอดกีดขวางบนเส้นเหลืองและอื่นๆ ควรขออภัยโดยสามารถทำได้ด้วยการยกมือหรืออาจเปิดไฟกระพริบฉุกเฉินให้คันหลังได้ทราบ การขออภัยจะช่วยลดบรรยากาศความตึงเครียดบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี

ให้สัญญาณขอบคุณ

ทุกครั้งที่ผู้ขับขี่รถคันอื่นให้ทาง คุณควรแสดงความขอบคุณด้วยการแสดงออกคล้ายกับการขออภัย คือการยกมือและการเปิดไฟกระพริบฉุกเฉิน (ลองดูคลิปวีดีโอด้านล่างของผู้ขับขี่ในญี่ปุ่น)

ไม่เปิดไฟสูงพร่ำเพรื่อ

การเปิดไฟสูงที่ถูกต้องจะใช้เมื่อบนถนนไม่มีแสงสว่างเพียงพอหรือการแจ้งเตือนรถที่วิ่งสวนมาว่าด้านหน้ามีอุบัติเหตุ แจ้งเตือนด่านตำรวจ (ซึ่งการกระทำเช่นนี้ผิดกฎหมายในบางประเทศอย่างออสเตรเลีย) และการแจ้งว่าจะเร่งแซง ในทางกลับกันการเปิดไฟสูงไม่ควรใช้ไล่รถคันที่ช้ากว่าด้านหน้า หรือใช้ในทางก้าวร้าว

ปิดไฟเมื่อจอดที่ทางแยก

ถ้าคุณจอดเป็นคันหน้าสุดที่สี่แยกหรือสามแยกไฟแดง (โดยเฉพาะทางแยกขนาดเล็ก) ไฟหน้าของคุณย่อมแยงตารถฝั่งตรงข้าม ผู้ขับขี่รถในบางประเทศมักปิดไฟหน้าเมื่อจอดติดไฟแดงเพื่อไม่ให้รบกวนเพื่อนร่วมท้องถนน ขณะเดียวกัน เมื่อต้องขับสวนกันในทางแคบๆ การปิดไฟหน้าให้เหลือเพียงไฟหรี่ก็จะเป็นการรักษามารยาทที่ดีเช่นกัน แต่ควรกระทำเมื่อแน่ใจว่าบนถนนมีแสงสว่างเพียงพอและอย่าลืมเปิดไฟหน้าหลังจากนั้นด้วย

รักษาช่องทางจราจร

ถ้าผู้ขับขี่ทุกคนขับอยู่ในเลนของตนเองและไม่เปลี่ยนเลนบ่อยครั้งจะช่วยให้การจราจรในภาพรวมไหลลื่นไปตามปกติ ในทางกลับกันถ้ามีการเปลี่ยนเลนอยู่ตลอดเวลาจะทำให้การจราจรเกิดความคับคั่งขึ้นทันตาเห็น ผลวิจัยระบุว่าการขับขี่บนถนนหลวงทางไกล ถ้าผู้ขับขี่คนใดคนหนึ่งเหยียบเบรกจะทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ทำให้การจราจรมีความหนาแน่นขึ้นทันที (ดูคลิปด้านล่างประกอบ) แม้กระทั่งพิธีกรคนดังแห่งรายการท็อปเกียร์อย่างเจเรมี่ คล๊ากสัน (Jeremy Clarkson) ยังบอกว่า รัฐบาลอังกฤษน่าจะออกกฎหมายห้ามเหยียบเบรกบนทางด่วน

เคารพเพื่อนร่วมท้องถนน

การขับขี่รถอย่างสุภาพไม่ได้หมายถึงการเสียหน้าหรือทำให้ตนเองเสียประโยชน์แต่อย่างใด ผู้ขับขี่ควรคำนึงถึงมารยาทในด้านอื่นๆ อาทิการไม่จอดในที่จอดรถคนพิการ จอดรถให้ตรงตามช่องจอด ระมัดระวังจักรยานและมอเตอร์ไซค์ รวมถึงคนเดินถนน ขับช้าๆ ในที่ชุมชนและจอดให้คนข้ามที่ทางม้าลาย (ควรตระหนักว่าทางม้าลายหมายถึงการอยู่ในพื้นที่ชุมชนที่มีคนพลุกพล่าน) และการใช้แตรอย่างเหมาะสมโดยไม่ควรกดแช่ยาว

ถึงแม้ว่าตัวเราจะขับรถเก่ง คล่องแคล่วเพียงใด การเคารพกฎจราจรและมารยาทในการขับขี่รถก็เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กัน ทั้งช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวเราเองและผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน แต่แฟรงค์เชื่อว่าหลายคนยังคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับพฤติกรรมในการขับรถอยู่ เพราะบางสถานการณ์มันกลายเป็นความเคยชินไปซะแล้ว ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนตามมาก็ต้องหยุดพฤติกรรมเสี่ยงขับรถแบบนี้ก่อน

1. ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ


รถติดถือเป็นเวลาเเสนน่าเบื่อของคนขับรถอยู่แล้ว บางคนเลยเอามือถือมาเล่นแก้เบื่อๆ หรือใช้โทรศัพท์คุยงานขณะขับรถไปด้วย แต่ขอบอกเลยว่า การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่มีโอกาสเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน  มากกว่าเมาแล้วขับถึง 4 เท่า!! เพราะการพูดคุยโทรศัพท์จะทำให้คุณเสียสมาธิระหว่างการขับรถ การทรงตัว และการจับถือพวงมาลัยไม่ถนัด ไม่ว่าคุณจะเล่นเกมส์ ดูหนัง แชทคุย หรือโทรคุย ถ้าไม่จำเป็นก็ควรงดใช้อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดไปเลย

เสี่ยงโดนปรับ! ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ 

ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 หากฝ่าฝืนกฎจะถูกปรับ 400-1,000 บาท  แนะนำใช้เป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้เกี่ยวกับโทรศัพท์แทน เช่น หูฟัง อุปกรณ์ที่วางตั้งโทรศัพท์ มันจะช่วยให้ขับขี่ได้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

2. เมาแล้วขับรถ


เนื่องจากพ.ร.บ.จราจรทางบกกำหนดไว้ว่า “ห้ามผู้ขับขี่ดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับรถทุกชนิด” แต่ก็ยังพบสถิติจำนวนผู้ขับขี่เมาแล้วขับอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์และอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ ทางกฎหมายจึงมีมาตรการเข้มงวดกรณีเมาแล้วขับมากขึ้น หากผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎและพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น จะมีลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาทถึง 20,000 บาท หรือโทษทั้งจำทั้งปรับ หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่ไปเลย
อ่านเพิ่มเติม : เจอคู่กรณีเมาแล้วขับ งานนี้ประกันจะช่วยเหลือยังไง

3. ง่วงแล้วขับรถ


เพียงแค่คุณเผลอหลับใน 3-5 วินาที ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดได้ ถือว่าอันตรายใกล้เคียงกับกรณีเมาแล้วขับเลย เพราะร่างกายของเราจะไม่รู้สติ ไม่สามารถรับรู้ภาพที่อยู่เบื้องหน้าได้ดี ยิ่งถ้าคุณขับรถมาด้วยความเร็วเกินกว่า 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมการเบรคหรือการทรงตัวได้ทันเมื่อโดนชน นอกจากนี้ยังมีโอกาสพิการสูงและเสียชีวิตตามมา แล้วไม่ใช่แค่เป็นอันตรายต่อตัวเองอย่างเดียว แต่ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย
เอาเป็นว่า !! ถ้าคุณรู้สึกง่วงนอน รู้สึกเหนื่อยล้าให้รีบจอดรถในจุดพักรถ เพื่อแวะนอนงีบก่อน หรือจะลองดื่มกาแฟ ล้างหน้าล้างตาก็จะช่วยให้เราหายง่วงได้นะ

4. ขับรถคร่อมเลนถนน


หากใครที่มีพฤติกรรมชอบขับรถคร่อมเลน ไม่ยอมเลือกไปทางซ้ายหรือทางขวาสักเลน ระวังจะเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนโดยไม่รู้ตัว มีผลให้ผู้ขับขี่คนอื่นเสี่ยงอันตรายตามไปด้วย ซึ่งตามพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดไว้ว่า การขับรถคร่อมเลนหรือทับเส้นทึบแนวแบ่งช่องรถ  โดยไม่ได้เปลี่ยนช่องเดินรถ เลี้ยวรถ หรือกลับรถนั้นจะมีความผิดตามกฎหมายจราจรทางบกจะมีโทษปรับอยู่ที่ 400 - 1,000 บาท แล้วยิ่งสมัยนี้มีกล้องคอยตรวจจับถนนทุกเส้นทาง ถ้าไม่อยากเสียค่าปรับฟรีๆ ก็อย่าลืมเคารพกฎจราจรกันนะจ๊ะ
นอกจากนี้เรายังสามารถอ่านข้อสอบใบขับขี่ 2563 สำหรับรถยนต์และมอไซค์เพิ่มเติมได้เลย จะมีสัญลักษณ์ป้ายจราจร เครื่องหมายที่สำคัญ พร้อมวิธีการขับรถให้ปลอดภัยและถูกกฎหมายให้กับผู้ขับขี่ด้วย

5. เเซงแบบกระชั้นชิด


ถึงแม้ว่าเราจะเร่งรีบมากแค่ไหน ก็ไม่ควรแซงหน้ารถคันอื่นแบบกระชั้นชิดเด็ดขาด เพราะการขับรถแซงทันทีจะเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย หลายคนที่ขับรถบนท้องถนนชอบจะเอาเปรียบผู้ร่วมทางอยู่เสมอ เพื่อให้ตัวเองไปถึงที่หมายเร็วๆ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น พอรถเกิดการชนกันก็ต้องมานั่งเสียเวลาเคลมอีก ดังนั้น ผู้ขับขี่รถทุกคันที่ต้องการจะเลี้ยวหรือแซงหน้ารถคันอื่นจะต้องชะลอความเร็ว พร้อมเดินรถไปข้างหน้าให้ห่างกับรถคันที่ต้องการแซงอย่างปลอดภัย แล้วที่สำคัญอย่าลืมใช้สัญญาณไฟกระพริบเลี้ยวล่วงหน้า เพื่อส่งสัญญาณให้คันหลังรู้ตัวด้วยว่าเรากำลังจะเปลี่ยนเลนถนน

6. เปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดสัญญาณไฟ


อีกหนึ่งกฎหมายจราจรที่ยังมีคนฝ่าฝืนอยู่บ่อยครั้ง นั่นก็คือ การเปลี่ยนเลนโดยไม่ได้เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ถือเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนจะต้องรู้ไว้เพราะกฎการเปลี่ยนช่องเดินรถเคยออกข้อสอบใบขับขี่มาแล้วว่า ถ้าผู้ขับขี่ต้องการเข้าช่องเดินรถด้านซ้ายก่อนถึงทางเลี้ยวจะต้องชะลอความเร็ว และเปิดไฟเลี้ยวก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตรทุกครั้ง มันจะช่วยกะเวลาให้รถสามารถเลี้ยวไปได้ อีกทั้งยังช่วยส่งสัญญาณให้รถคันอื่นเตรียมชะลอรถให้เราด้วย

7. เร่งรถเมื่อเห็นสัญญาณไฟเหลือง


ตามปกติแล้ว การเจอสัญญาณไฟเหลือง หมายถึงให้ผู้ขับขี่เตรียมตัวที่ชะลอเพื่อหยุดรถ (หลังเส้นหยุดรถ) แต่หลายคนเข้าใจผิดว่าการเห็นสัญญาณไฟเหลืองกระพริบ คือการเร่งความเร็วผ่านแยกไฟแดง หรือบางคนก็กลัวเสียเวลารถติดนานก็เลยเหยียบคันเร่งจนมิด แต่คุณทราบไหมว่า? การฝ่าไฟเหลืองนั้นถือว่าผิดกฎหมายจราจรเช่นเดียวกับฝ่าไฟเเดง  เพราะมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันได้ หากใครฝ่าฝืนกฎจะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท เว้นแต่กรณีที่คุณขับรถเลยเส้นบังคับหยุดรถไปก่อนไฟเหลืองจะกระพริบ

8. ขับจี้ท้ายรถคันหน้า


“มารยาทในการขับรถ” เป็นสิ่งสำคัญของการใช้ถนนร่วมกัน แต่คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในสถานการณ์เร่งรีบจะชอบจี้ท้ายไล่รถคันหน้า ลองคิดเล่นๆ กันดูนะว่า ถึงเราจะขับรถเก่งเพียงใดหากรถคันข้างหน้าเบรคกะทันหัน เราก็ไม่สามารถเบรคได้ทันอยู่ดี อีกอย่างหนึ่งเวลาเกิดอุบัติเหตุเมื่อเคลมประกัน รถที่ชนท้ายคันข้างหน้ามักจะเป็นฝ่ายผิดเสมอด้วย ดังนั้น ผู้ขับขี่จะต้องขับรถเว้นระยะห่างจากคันข้างหน้าไม่น้อยกว่า 60 เมตร  หรืออยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัยไว้ก่อน 
แต่อย่าทิ้งระยะห่างจากรถคันข้างหน้ามากจนเกินไป อาจจะส่งผลให้การจราจรติดขัด แล้วเพื่อป้องกันไม่ให้รถคันอื่นเข้ามาเเซงด้วย

9. เปิดไฟสูงขณะรถสวนกัน


หลายคนเข้าใจว่า การเปิดไฟสูงจะช่วยทำให้การมองเห็นเส้นทางได้ดีขึ้น แต่ในบางสถานการณ์การเปิดไฟสูงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ตามตัวอย่างดังนี้

  • เปิดไฟสูงขณะรถคันอื่นสวนทางมา
  • เปิดไฟสูงขณะขับรถตามหลังรถคันอื่น
  • เปิดไฟสูงเพื่อไล่รถคันหน้า

เมื่อเราตกอยู่ในเหตุการณ์ที่ขับรถเจอหมอกหนาๆ หรือฝนตกหนัก แนะนำให้ใช้ไฟหน้ารถธรรมดาและเปิดไฟตัดหมอกควบคู่กันดีกว่า ในการเปิดใช้ไฟสูงควรใช้อยู่ในเขตนอกเมืองที่ไม่มีรถสวนทางมา หรือถ้ามีรถสวนทางมาก็ให้เปลี่ยนเปิดไฟหน้ารถตามปกติ แล้วที่สำคัญอย่าเปิดไฟสูงเพื่อไล่รถคันที่อยู่ข้างหน้าเด็ดขาด
อ่านเพิ่มเติม : ไฟหน้ารถ ไฟหรี่ ไฟสูงและไฟท้ายใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

10. จอดรถในบริเวณที่ห้ามจอด


“การจอดรถในบริเวณที่ห้ามจอด”  ก็เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากบริเวณที่ห้ามจอดไม่ใช่ที่สำหรับจอดรถเฉพาะทาง บางคนที่เคยจอดรถทิ้งไว้ก็เคยถูกเฉี่ยวกระจกข้างมาแล้ว บางคนก็พบรอยขูดขีดไม่ทราบสาเหตุ และไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนทำ แถมยังทำให้การจราจรติดขัดอีกด้วย แนะนำให้เราสังเกตป้ายหรือพื้นทางก่อนว่าจุดนี้อนุญาตให้จอดรถหรือไม่ หากใครฝ่าฝืนจอดรถในบริเวณที่ห้ามจอดจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 500 บาท
หมายเหตุ : เครื่องหมายห้ามหยุดรถ จะมีลักษณะแถบสีแดงสลับสีขาว หมายความว่า ห้ามหยุดห้ามจอดรถทุกชนิด
ทั้งหมดนี้ก็คือ 10 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุที่ไม่ควรทำขณะขับรถ ต่อให้เราจะขับรถเก่งแค่ไหน มารยาทในการขับรถก็เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กัน เพราะทุกคนต่างใช้รถใช้ถนนร่วมกัน เราก็ต้องคำนึงถึงเพื่อนร่วมทางด้วย เช่น เคารพกฎจราจร แสดงน้ำใจร่วมกัน ไม่ควรเร่งเครื่องขณะมีคนข้ามทางม้าลาย รวมถึงแสดงคำขอบคุณ และขอโทษต่อเพื่อนร่วมทางเสมอ แม้จะฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็สามารถสร้างความรู้สึกดีๆ บนท้องถนนกันได้
แล้วที่สำคัญเพื่อนอย่าลืมเตรียมต่อประกันรถยนต์ กับ frank.co.th ให้ช่วยคุ้มครองความเสี่ยงอุบัติเหตุบนท้องถนนกันด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการชน อุบัติเหตุรถชนกัน รถหาย รถไฟไหม้ ภัยธรรมชาติ ความคุ้มครองเสริมอื่นๆ แฟรงค์ก็มีให้บริการครบวงจรตามที่คุณต้องการ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. จึงทำให้คุณปลอดภัยทุกเส้นทางในการขับขี่มากขึ้น

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก