การที่เราจะเลือกกองทุนที่ “ใช่” เหมาะกับเป้าหมายและสไตล์การลงทุน แถมอยู่ในความเสี่ยงที่รับได้ เริ่มง่ายๆ จากถามตัวเองให้ชัดเจนก่อน
- วัตถุประสงค์ในการลงทุนของเราคืออะไร?
- ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน?
- มีระยะเวลาลงทุนนานเท่าไหร่?
ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการลงทุนระยะยาว รับความเสี่ยงได้ และคาดหวังผลตอบแทนสูง กองทุนหุ้นอาจเป็นคำตอบ แต่หากเรามีระยะเวลาลงทุนสั้นๆ ยอมรับการขาดทุนแทบจะไม่ได้เลย กองทุนตลาดเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ก็อาจจะเหมาะมากกว่า เพราะความเสี่ยงต่ำ แต่แน่นอนว่าผลตอบแทนก็ต่ำด้วยเช่นกัน
หรือถ้าคุณกำลังมองหาช่องทางประหยัดภาษีอยู่ ก็ต้องแฝดพี่น้องคู่นี้ “กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)” และ “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)” รับรองช่วยประหยัดภาษีได้แน่นอน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด โจทย์และความชื่นชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่า... เลือกลงทุนในแบบที่คุณพอใจก็แล้วกัน เพราะนั่นคือเงินของคุณ คุณจึงต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด
ทีนี้ก็ถึงเวลา... เลือกกองทุนกันจริงๆ เสียที เราลองมาดู
เทคนิคง่ายๆ ในการเลือกกองทุนที่ “ใช่” สไตล์ "S-R-F" กันดีกว่า
1. ตั้งเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่รับได้
ก่อนจะเริ่มลงทุน การมองหาเป้าหมายในการลงทุนก่อนถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะต้องการผลตอบแทนระยะยาวเพื่อชีวิตหลังเกษียณ หรือระยะสั้น ออกไว้เพื่อใช้จ่ายในอนาคตอันใกล้ การเข้าใจเป้าหมายการลงทุนของตนเอง จะช่วยให้เลือกซื้อกองทุนที่ใช่ จากผลิตภัณฑ์ที่มีมากมายได้
และเรื่องการรับความเสี่ยงก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ สามารถรับได้ไหมหากบางกองทุนมูลค่าในพอร์ตก็จะขึ้นลงไปมา หรือรู้สึกว่าลงทุนแบบเสี่ยงน้อยเหมาะกว่า? เพราะความเสี่ยงและผลตอบแทนมักจะไปคู่กัน (เสี่ยงมาก ตอบแทนสูง, เสียงน้อย ตอบแทนต่ำ) ผู้ลงทุนก็ควรให้น้ำหนักระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยงที่จะได้รับ
และสิ่งสุดท้ายคือ ระยะเวลาในการลงทุน ว่าเราสามารถถือเงินไว้ในรูปแบบกองทุนได้นานแค่ไหน? จะมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องเร็วๆ นี้หรือเปล่า? เพราะกองทุนรวมมักจะมีค่าธรรมเนียมการขาย และอาจส่งผลเสียใหญ่ต่อผลตอบแทนได้ วิธีการเลี่ยงค่าธรรมเนียมเหล่านี้คือตั้งระยะเวลาการลงทุนไว้อย่างน้อย 5 ปี
2. รูปแบบและประเภทของกองทุนรวม
จุดประสงค์หลักของกองทุนที่เน้นการเติบโตคือ มูลค่าที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว หากคุณอยากลงทุนระยะยาวและพร้อมรับความเสี่ยง-ความผันผวน กองทุนระยะยาวจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะมาก กองทุนประเภทนี้จะลงทุนไปกับหุ้นเป็นส่วนใหญ่ จึงมีความเสี่ยงสูงเป็นธรรมดา แต่ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงมากเช่นกัน ช่วงเวลาที่กองทุนประเภทนี้กำหนดให้ถือจะอยู่ที่ 5 ปี หรือมากกว่า
กองทุนที่เน้นการเติบโตและเน้นมูลค่าที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาวมักจะไม่มีการจ่ายปันผล หากคุณอยากให้มีกระแสรายรับผ่านการลงทุน ควรเลือกลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้จะดีกว่า เพราะกองทุนเหล่านี้จะเน้นลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ที่มีการจ่ายดอกเบี้ยเป็นระยะ โดยกองทุนรวมประเภทนี้จะเน้นลงทุนในพันธบัตรของรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชนเป็นหลัก กองทุนรวมตราสารหนี้มักจะจำกัดขอบเขตการลงทุนตามประเภทของพันธบัตรที่ถือ โดยความต่างหลักๆ จะอยู่ที่ช่วงเวลา อาจจะเป็นได้ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
กองทุนรวมประเภทนี้มักมีความผันผวนต่ำ โดยขึ้นอยู่กับประเภทของพันธบัตรในพอร์ตการลงทุน แต่กองทุนตราสารหนี้แทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากตลาดหุ้น ดังนั้นจึงเหมาะกับการใช้เพิ่มกระจามความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้น
แต่กองทุนรวมตราสารหนี้ก็มีความเสี่ยงอยู่ ได้แก่
- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะสัมพันธ์ต่อต่อราคาพันธบัตร ถ้าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาพันธบัตรจะตกลง
- ผู้ออกพันธบัตรอาจผิดนำชำระหนี้ (แต่โอกาสเป็นไปได้ต่ำมาก)
แต่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวและยังรับความเสี่ยงไม่ได้มาก กองทุนรวมที่เน้นลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้อาจเป็นตัวเลือกที่ดีในกรณีนี้
3.ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ
บริษัทที่ดูแลกองทุนจะทำเงินผ่านการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนักลงทุน การทำความเข้าใจค่าธรรมเนียมต่างๆ ก่อนทำการซื้อขายถือเป็นเรื่องสำคัญ
กองทุนรวมบางตัวจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อขายอาจเก็บตอนซื้อหรือขายกองทุนก็ได้ อย่างค่าธรรมเนียมจากการขายหน่วยลงทุน (Front-End Fee) คือการเก็บค่าธรรมเนียมในครั้งแรกที่ซื้อกองทุน ส่วนค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Back-End Fee) จะเรียกเก็บเวลาที่คุณขายกองทุนคืน แต่จะเรียกเก็บเฉพาะเวลาขายคืนกองทุนดังที่กำหนดระยะเวลาการถือครองชัดเจน เช่น 5 - 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ ค่าธรรมเนียมเหล่านี้มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้นักลงทุนทำการซื้อขายบ่อยเกินจำเป็น ค่าธรรมเนียมส่วนมากมักจะสูงในปีแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะค่อยลดลงตามระยะเวลา
โดยค่าธรรมเนียมการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนจะคิดที่ 1.5% - 2% ของมูลค่าซื้อขาย ค่าธรรมเนียมส่วนนี้้เป็นรายได้เดียวที่จะกระจายไปยังฝ่ายบริหารจัดการกองทุนต่างๆ
และยังมีการเก็บค่าธรรมเนียมแบบที่สามเรียกว่า Level-Load เป็นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บรายปีจากสินทรัพย์ที่ได้จากกองทุน
หรืออาจจะมีไม่เก็บค่าธรรมเนียมใดๆ เลย แต่เรียกเก็บจากค่าบริหารจัดการกองทุนแทน
บางกองทุนรวมอาจเก็บค่าธรรมเนียม 12b-1 ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายในการกระจายกองทุนรวมและค่าทำการตลาด ซึ่งจะจ่ายให้กับโบรกเกอร์เป็นค่าคอมมิชชั่นในการขายกองทุน
4.เป็นกองทุนที่บริหารเชิงรุก (Active) หรือเชิงรับ (Passive)
ก่อนซื้อกองทุนรวม คุณต้องตัดสินใจแต่เนิ่นๆ ว่าอยากได้วิธีการบริหารจัดการกองทุนเชิงรุกหรือเชิงรับ กองทุนรวมที่ผู้จัดการกองทุนทำงานเชิงรุกจะตัดสินใจว่าควรมีหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ตัวไหนบ้างในกองทุน ด้วยการค้นหาข้อมูลของแต่ละสินทรัพย์ พิจารณาประเภทและพื้นฐานธุรกิจ แนวโน้มเศรษฐกิจ ไปจนถึงปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์มหาภาคก่อนตัดสินใจลงทุน
กองทุนที่เน้นบริหารเชิงรุก (Active) จะหาวิธีเอาชนะดัชนีตลาด ส่งให้มีค่าธรรมเนียมการบริการกองทุนที่ค่อนข้างสูง
ส่วนกองทุนที่เน้นบริหารเชิงรับ (Passive) จะค่อนข้างอิงกับดัชนีตลาด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์ในพอร์ตมากนัก ทำให้มีค่าธรรมเนียมการบริหารที่ค่อนข้างต่ำ
5.การประเมินผลงานที่ผ่านมาของผู้จัดการกองทุน
การศึกษาข้อมูลเก่าๆ ก่อนการลงทุนทุกครั้งถือเป็นเรื่องสำคัญ มีคำถามมากมายที่นักลงทุนควรตั้งคำถามขณะที่กำลังดูข้อมูลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุนนั้นๆ
- ผู้จัดการกองทุนได้ผลลัพธ์การบริหารที่เทียบเท่ากับผลตอบแทนของตลาดหรือไม่?
- กองทุนนั้นๆ มีความผันผวนสูงกว่าดัชนีของตลาดหลักหรือเปล่า
- ผลตอบแทนที่สูงมากผิดปกติจะส่งผลเรื่องค่าดำเนินการและภาษีต่อนักลงทุนไหม?
คำตอบที่หาได้จะช่วยให้คุณมีข้อมูลเชิงลึกว่าผู้จัดการกองทุนบริหารจัดการได้ผลแบบไหน และเห็นคร่าวๆ ว่าแนวโน้มผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร
ก่อนจะซื้อกองทุนการทนทวนพื้นฐานการลงทุนใหม่ก็พอให้แนวทางได้ว่าผลตอบแทน ภาคธุรกิจในกองทุนนั้นๆ และแนวโน้มการตลาดจะส่งผลอย่างไรต่อการดำเนิงานของกองทุน