เที่ยวอย่างไรถึงเรียกว่ารักโลกรักสิ่งแวดล้อม เที่ยวแบบอีโค่คืออะไร ทำอย่างไรถึงจะช่วยในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรามีคำตอบให้ที่นี่
อีโค่ทัวริสซึ่ม (Ecotourism) หรือการท่องเที่ยวเชิงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึงการอนุรักษ์พลังงาน เป็นเทรนด์การท่องเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในวงกว้างและในระดับสากล มากไปกว่านั้นหน่วยงานต่างๆ ก็เริ่มออกมารณรงค์และให้ความรู้ในเรื่องนี้กันเป็นอย่างมาก อย่างที่เราตระหนักกันดีว่า ในปัจจุบันนี้จำนวนของภูเขาหัวโล้นมีเพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจ น้ำทะเลเน่าอย่างไม่น่าเชื่อ ปริมาณขยะในทะเลที่มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นมากกว่าปลา และหลายคนก็กำลังเป็นห่วงกันว่าหากเรายังตะบี้ตะบันใช้ทุกสิ่งโดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสียแต่วันนี้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คนรุ่นหลังคงไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความงามของธรรมชาติที่แท้จริงเป็นอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ เสิร์ชเอ็นจิ้น Skyscanner จึงอยากจะเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการให้ข่าวสารข้อมูลและช่วยรณรงค์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบยั่งยืน เราลองมาดูกันซิว่าหากเราทุกคนร่วมใจร่วมมือกันทำ มีหลักปฏิบัติง่ายๆ อะไรบ้างที่เราสามารถรักโลกรักสิ่งแวดล้อมและท่องเที่ยวได้อย่างเป็นมิตรกับธรรมชาติ และสามารถนำไปสอนเยาวชนให้ทำตามได้บ้าง เชื่อเราเถอะว่า “คุณทำได้” และ “ทุกคนทำได้”
การเตรียมตัวเดินทางแบบไหนที่ช่วยในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ?
พกขวดน้ำไปเอง
เพื่อลดปริมาณขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม เราควรพกขวดน้ำไว้ไปเติมเอง ยิ่งถ้าหากไปเที่ยวกันหลายคน ก็ซื้อน้ำเป็นแกลลอนแล้วแบ่งใส่ขวดแต่ละคน ซึ่งนอกจากจะรักษ์โลกแล้ว ยังเป็นการประหยัดอีกด้วย เพราะราคาค่าน้ำต่อขวดนั้นนับว่าไม่ถูกเลย
พกเครื่องอาบน้ำแบ่งใส่ขวดไปเอง
วิธีนี้เป็นการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ดีมาก เพราะสามารถช่วยลดปริมาณขยะจากการไปซื้อเครื่องอาบน้ำขวดจิ๋วสำหรับการเดินทาง
พกแบตเตอรี่แบบรีชาร์ตได้
นอกจากจะเบากระเป๋าเพราะไม่ต้องหอบถ่านไปเยอะแล้ว ยังเป็นการช่วยลดขยะและลดมลพิษด้วย
อย่าแบกสมบัติไปเยอะ
กฎเหล็กของนักเดินทางขั้นโปรฯ คือ “เดินทางเบาๆ” หรือ “Travel light” เพราะนอกจากจะเปลืองพลังงานตัวเอง เดินได้ช้า เป็นภาระคนอื่น แถมมีส่วนทำให้ข้อเข่าสึกหรอเร็วขึ้น น้ำหนักสัมภาระที่ขนไปมากเกินความจำเป็นนั้นก็ยังไปกินน้ำหนักเครื่องบิน-รถ-เรือให้ใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้น จัดว่า”ไม่เป็นมิตร” กับการรักษาสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงานเป็นอย่างมาก
ระหว่างเดินทางควรทำอย่างไรที่จะช่วยส่งเสริมการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ?
เลือกบินสำหรับเส้นทางไกล
หากการเดินทางทริปนั้นๆ จำเป็นต้องขับรถข้ามเมืองเป็นวันๆ การใช้บริการเครื่องบินจะถือว่าประหยัดพลังงานมากกว่า อีกทั้งยังรวดเร็วและสะดวกกว่าอีกด้วย ที่สำคัญเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่ช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติ (ดีไม่ดี คำนวณดูแล้ว ค่าน้ำมัน ค่าที่พักระหว่างทางและค่าอาหาร เบ็ดเสร็จแล้วอาจแพงกว่านั่งเครื่องบินอีกต่างหาก)
เช่ารถไฮบริด
สำหรับเส้นทางที่จำเป็นต้องเช่ารถขับเอง หรือเลือกที่เช่ารถขับเที่ยวเพราะคุ้มและแวะเที่ยวได้หลายที่ ขอแนะนำให้เช่ารถแบบไฮบริดรักษ์สิ่งแวดล้อม
แชร์การเดินทาง
สำหรับเส้นทางที่ต้องเหมารถ-ต่อเรือเข้าไปเที่ยว เราก็น่าจะลองถามคนที่ต่อคิวเช่ารถ-เรือติดๆ กันว่ามีใครที่จะไปทางเดียวกับเราบ้าง ไปเกาะเดียวกันไหม ถ้ามีเราก็น่าจะชักชวนให้แชร์รถ-แชร์เรือไปด้วยกัน เพราะทั้งประหยัดค่าน้ำมันรถ-เรือ ช่วยลดการเกิดควันพิษที่มาจากเครื่องยนต์ ซึ่งนับว่าเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าเดินทางอีกด้วย (ได้ตัวหารเพิ่มไง)
เช่าจักรยานขี่เที่ยว
แทนที่จะเหมารถสองแถวหรือสามล้อเที่ยวรอบเมือง ถ้ามีตัวเลือกของจักรยานก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะทั้งช่วยลดมลพิษและได้ออกกำลังกายไปในตัวอีกต่างหาก เฮลตี้สุดๆ
เดินทางบนเส้นทางหลักที่เขาทำไว้
กรณีนี้จะพบมากในเส้นทางเดินป่าที่ส่วนใหญ่แล้วหน่วยงานอุทยานฯ เขาจะทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติไว้ให้เดิน การที่เราเดินมั่วออฟโรดไปเองตามใจอยาก นอกจากจะไม่ปลอดภัยแล้ว ยังไปทำลายระบบชีววิทยาและต้นไม้ในเส้นทางที่เราบุกย่ำเข้าไปอีก
การพักในโรงแรมแบบไหนและอย่างไรถึงจะช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม?
เลือกที่พักแนวรักษ์สิ่งแวดล้อม
ในปัจจุบันโรงแรมที่พักหลายแห่งเริ่มปรับและพัฒนาเป็นที่พักแนวอีโค่กันมากขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นที่สังเกตได้ว่า โรงแรมที่สร้างขึ้นโดยอิงเชิงอนุรักษ์นั้นมักจะมีโลเกชั่นดี ใกล้ชิดธรรมชาติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้พักอย่างสบายใจ ได้ชมวิวสวยๆ แถมยังได้ช่วยรักษ์โลกอีกด้วย
ปิดไฟ-ปิดแอร์ทุกครั้งที่ออกจากห้องพัก
ถึงแม้ว่าสมัยนี้เกือบทุกโรงแรมจะมีระบบตัดไฟทันทีที่ประตูห้องปิดจากด้านนอก (ลูกค้าออกจากห้องพัก) แต่ก็ยังมีอีกหลายแห่งที่ยังไม่มีระบบนี้ ฉะนั้นทุกครั้งที่เราจะออกจากห้องพัก เอื้อมมือไปกดปิดสวิตช์ไฟสักนิด มันก็ไม่ยากอะไรกันใช่ไหม?
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอน-ผ้าเช็ดตัวทุกวัน
ทำไมนะหรือ ก็เพราะว่าการซักล้างบ่อยๆ นั้นก็ก่อให้เกิดมลพิษและเปลืองพลังงานเช่นกัน ซึ่งปกติเวลาเราอยู่บ้าน เรายังไม่เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว ซักผ้าปูที่นอนกันทุกวันเลย แล้วทำไมเราต้องทำตัว “เยอะ” เวลาไปเที่ยวกันด้วยหละ
อย่าอาบน้ำนาน
อย่าถือว่าจ่ายค่าห้องแล้วต้องเอาให้คุ้ม การอาบน้ำนานนอกจากจะเปลืองน้ำแล้ว ยิ่งน้ำอุ่นด้วยละก็ส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังงานการหุงต้มเพิ่มขึ้นไปอีก
แยกขยะ
ไม่ว่าจะที่บ้านของเราเองหรือที่โรงแรมที่พัก ก็ควรแยกทิ้งขยะให้เป็นนิสัย เพราะขยะหลายอย่างสามารถนำไปรีไซเคิลได้ อย่าเอาไปรวมกับพวกขยะสด นอกจากนั้นยังเป็นการช่วยพนักงานกำจัดขยะให้ทำงานได้ไวขึ้นและสะดวกขึ้น
ปิดทริปด้วยการรักโลกรักสิ่งแวดล้อม ทำอย่างไรหละ?
ขยะของเราเก็บเอามาทิ้งที่ถัง
ไม่ว่าจะเป็นถุงขนม ถุงพลาสติก หีบห่อสินค้าใดๆ ที่เราพกไป แกะซองแกะห่อแล้วก็ทิ้งลงถังขยะให้เรียบร้อย ในกรณีที่ไม่มีถังขยะ (บนเกาะหรือบนเขาที่ไปเที่ยว) ก็ขอให้เก็บกลับมาด้วย เพื่อเอามาทิ้งที่ถังขยะในเมือง แบบนี้ซิถึงเรียกว่าเที่ยวแบบอีโค่ตัวจริง!
ครอบครัวใคร ใครก็รัก อย่าลักสมาชิกครอบครัวอื่นกลับมาด้วย
ปลาทะเลเขาก็ต้องอยู่ในทะเล ปะการังก็ต้องอยู่ใต้น้ำเพราะที่นั่นคือบ้านของเขา เราเก็บกลับมา ใช่ว่าเขาจะรอด ถึงรอดก็อยู่ไม่นาน แล้วเราจะทำไปทำไม กรณีนี้นับว่าใจร้ายมาก ….. จริงไหม
เก็บแค่ภาพสวยๆ ตามครรลองธรรมชาติไว้เป็นความทรงจำดีๆ
อย่างที่เราเคยเห็นเคยได้ยินจากโลกโซเชียลที่นักท่องเที่ยวช้อนตัวปลาขึ้นมาถ่ายรูป อุ้มลูกนกจากรังมาเซลฟี่ “มันไม่คูล” แต่ดูไร้จิตสำนึก และไม่มีใครชื่นชม เก็บภาพสวยๆ ของธรรมชาติแบบที่ควรจะเป็น นั่นแหละคือภาพที่สวยที่สุด
ซื้อของฝากทำมือจากท้องถิ่น
ของที่ระลึกท้องถิ่นนั้นมักเป็นงานฝีมือของชาวบ้าน นอกจากจะเป็นเอกลักษณ์ไม่โหลแบบของชำร่วยที่ทำจากโรงงานไปวางขายเป็นล็อตๆ แล้ว ยังช่วยลดปริมาณขยะจากการผลิตของชำร่วยโรงงาน นับว่าช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมในทางอ้อม
ไม่ต้องจารึก “ศิลเปรอะ” ให้ขายหน้า
ขอเลยข้อนี้ว่าอย่าไปฝากลงนามที่ระลึกตามกำแพงผนังสถานที่เที่ยวหรือต้นไม้ในป่า ไม่สลักชื่อ ไม่เขียนสี ไม่ขีดเขียนหรือทำการจารึกร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้เป็นที่ระลึก เพราะมีแต่คนก่นด่ามิได้ชื่นชม มากไปกว่านั้นในกรณีที่ไปเขียนไว้ที่เที่ยวในต่างประเทศแล้วคนอ่านเขารู้ว่ามาจากเมืองไทย มันคือการเอาชาติไปทำลายชื่อเสียง อีกหน่อยพาสปอร์ตไทยจะกลายเป็นที่รังเกียจเสียเปล่าๆ