ประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ เสนอ ครูเตือนใจ ไชยศิลป์ from Nattanicha Kanjai
สมัยใหม่ เป็นช่วงเวลาหนึ่งของอารยธรรมต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้ อารยธรรมนั้น ๆ จะเริ่มมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เริ่มมีแนวคิดที่ยึด หลักความจริงหลุดพ้นจากความเชื่องมงายหลายอย่างในอดีต
นักวิชาการได้กำหนดช่วงเวลาที่เป็น "สมัยใหม่" ของสากลโลกไว้ให้เป็นช่วง ค.ศ. 1453-ค.ศ. 1945 โดยเริ่มนับจากการล่มสลายของ จักรวรรดิไบแซนไทน์และสิ้นสุดลงหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ
นับตั้งแต่สมัยกลางตอนปลายเป็นต้นมา ผู้คนเริ่มสงสัยในความเชื่อและเนื้อหาตำราเรียนแบบเก่า ๆ ที่เชื่อกันมายาวนานและไม่นาน ความเชื่อเก่าๆ และอำนาจการปกครองที่เด็ดขาดของศาสนจักรเริ่มเสื่อมถอยลงผู้คนเริ่มเชื่อว่ามนุษย์สามารถลิขิตชีวิตของตนได้ด้วยการ กระทำของตนเองจึงเริ่มดิ้นรนเพื่อชีวิตที่ดีกว่าและมีการคิดค้นทฤษฎี สิ่งประดิษฐ์รวมไปถึงศิลปะขึ้นมากมาย ทำให้เข้าสู่สมัยใหม่ในที่สุด ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่อยู่ในช่วงปลายสมัยกลางถึงต้นสมัยใหม่ ซึ่งการเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในช่วงปลาย สมัยกลาง เป็นปัจจัยสำคัญที่ชักนำโลกเข้าสู่สมัยใหม่ คือ วิทยาการต่างๆ จากโรมัน เริ่มถูกฟื้นฟูขึ้นมาและแผ่กระจายไปในแถบยุโรป
เทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนในช่วงปลายของสมัยใหม่ วิทยาการถูกใช้ไปในทางการเข่นฆ่ากันเองของมนุษย์ เกิดสงครามโลก สังหารผู้คนไปหลายสิบล้านคน จนในที่สุดก็มีการตระหนักถึงการใช้วิทยาการอย่างถูกทางและมีการควบคุมเทคโนโลยีที่อาจก่ออันตราย แต่ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้สมัยใหม่สิ้นสุดลง และเข้าสู่สมัยปัจจุบัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา
สมัยใหม่ช่วงแรก (คริสต์ศตวรรษที่ 15-18)
1.การฟื้นฟูศิลปวิทยาการของกรีกและโรมัน ( Renaissances ) นำความรู้วิธีคิด ใช้ปัญญาและเหตุผลตามแบบอย่างนักปราชญ์ชาว กรีกให้ความสำคัญกับคุณค่าความเป็นมนุษย์หรือเป็นลักษณะยุคมนุษย์นิยม
2.การปฏิรูปศาสนา เกิดการแบ่งแยกศาสนจักรเป็น 2 นิกายใหญ่ๆ คือ
2.1.นิกายโรมันคาทอริก มีศูนย์กลางที่กรุงโรม มีพระสันตะปาปา ( Pope ) เป็นประมุข
2.2.นิกายโปรแตสแตนท์ แบ่งเป็นนิกายย่อยๆอีกหลายนิกาย นับถือในประเทศต่างๆ เช่น นิกายอังกฤษ ( Church of England ) และนิกายลูเธอร์ ( Lutheranism ) ในเยอรมนี
3.การขยายอิทธิพลของชาติตะวันตก
3.1.ยุโรปเข้าสู่ยุคการสำรวจเส้นทางเดินเรือ
ยุคกลาง มีการค้าระหว่างยุโรปกับเอเชีย ผ่านทางทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนและตะวันออกกลาง โดยอิตาลีได้เปรียบประเทศอื่นสามารถควบคุม เส้นทางการค้าเกือบทั้งหมด ทำให้อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน ฮอลันดา พยายามทำลายการผูกขาดนี้ประจวบกับชาวยุโรปส่วนหนึ่ง เบื่อชีวิตที่อยู่ภายใต้อิทธิพลมืดของสันตะปาปาจึงคิดอพยพไปตายเอาดาบหน้าเพื่ออิสระในการนับถือศาสนาเป็นเหตุหนึ่งในการออก สำรวจแสวงหาเส้นทางการเดินเรือใหม่และเส้นทางการค้าทางบกของชาวยุโรปกับตะวันออกตกอยู่ในมือของพ่อค้าชาวมุสลิมทำให้ชาว ยุโรปต้องการหาเส้นทางการค้าใหม่ก็คือ ค้าขายทางทะเลเท่านั้น การติดต่อของชาวยุโรปและโลกตะวันออกจากการค้า ทำให้ชาวยุโรปมี โอกาสสัมผัสกับอารยธรรมของโลกตะวันออกวิชาความรู้ต่างๆ ของกรีกและมุสลิมหลั่งไหลมาสู่สังคมตะวันตกทำให้ปัญญาชนเริ่ม ทบทวนและตรวจสอบความรู้ของตน ตลอดจนเกิดการท้าทายคำสอนศาสนาที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาในสมัยกลางถึงเรื่องโลกแบนความรู้ ทางภูมิศาสตร์และแผนที่ของปโตเลมี (Ptolemy) นักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชาวกรีกที่แสดงให้เห็นดินแดนที่กว้างใหญ่ความ ต้องการสำรวจเส้นทางโดยเฉพาะทางเรือจึงเพิ่มขึ้น
3.2.การค้นพบดินแดนทางตะวันออกของชาติตะวันตก
-บาร์โธโลมิว ไดแอส ชาวโปรตุเกสสามารถเดินเรือเลียบทวีปแอฟริกาจนเข้าแหลม กู๊ดโฮม ได้สำเร็จใน ค.ศ.1488
-วาสโก ดา กามา ใช้เส้นทางของไดแอส จนถึงเอเชีย และสามารถขึ้นฝั่งที่เมืองคาลิกัตของอินเดียและสามารถซื้อเครื่องเทศโดยตรง จากอินเดียนำกลับไปขายในยุโรปได้กำไรมากมาย
-คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ชาวอิตาลีรับใช้กษัตริย์สเปนในการสำรวจเส้นทางเดินเรือไปประเทศจีน เป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกาและเป็น ผู้เชื่อว่าโลกมีสัณฐานกลมไม่แบนตามคำสอนของคริสต์ศาสนาในสมัยกลาง
-เฟอร์ดินานด์ มาเจลแลน ชาวโปรตุเกส รับอาสากษัตริย์สเปนหาเส้นทางเดินเรือมายังตะวันออกจนสามารถเข้าฟิลิปปินส์แต่เขาถูก ชาวพื้นเมืองฆ่าตายแต่ลูกเรือสามารถนำเรือกลับมาสเปนได้
4. การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ปัญญาชนชาวตะวันตกให้ความสนใจศึกษาค้นคว้าจนเกิดความรู้และความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ แขนงต่างๆ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์และจากการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ของ โยฮัน กูเตนเบอร์ก ชาวเยอรมันทำให้ วิทยาการความรู้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว
สมัยใหม่ช่วงหลัง (นับแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2)
1. การปฏิวัติอุตสาหกรรม
1.1 เป็นยุคที่เปลี่ยนวิธีการผลิตสินค้าจากใช้แรงงานคนและสัตว์มาใช้เครื่องจักร
1.2 ประเทศแรกที่บุกเบิกคืออังกฤษโดยอุตสาหกรรมแรกที่มีการปฏิวัติ
2.การเกิดแนวความคิดทางการเมือง และเศรษฐกิจแบบใหม่
- การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีนักปราชญ์ที่เสนอแนวคิด ดังนี้
จอห์น ล๊อค ชาวอังกฤษกล่าวว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันและมีอิสระไม่มี ผู้ใดมีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจในการคุกคามชีวิต เสรีภาพและทรัพย์สินของผู้อื่นได้
มองเตสกิเออ ชาวฝรั่งเศส ได้เขียนหนังสือเรื่อง เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ( The Spirit of Laws ) เสนอความคิดการแบ่งแยกอำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการเขาเชื่อว่าหากแยกอำนาจสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะได้รับการคุ้มครอง แต่ถ้าอำนาจทั้ง 3นี้รวมกันอยู่ ในองค์การเดียวกัน อาจจะทำให้เกิดการกดขี่ประชาชน
วอลแตร์ ชาวฝรั่งเศส เป็นนักคิดและมีผลงานด้านการเขียนมากมายให้ความสำคัญแก่เสรีภาพในการพูดและการนับถือศาสนาต่อ ต้าน ความอยุติธรรมในสังคมแต่ในด้านการเมืองไม่เคยแสดงความคิดเห็น อย่างชัดเจน จึงไม่มีทฤษฎีการเมืองที่แน่นอน
รุสโซ ชาวฝรั่งเศส ผลงานหนังสือที่สำคัญคือ สัญญาประชาคม ( The Social Contract ) ข้อความที่จับใจคนเป็นจำนวนมากคือ
"มนุษย์ทุกคนเกิดมามีอิสระ แต่ทุกหนทุกแห่งเขาถูกพันธนาการ" รุสโซ เน้นเรื่องเจตจำนงร่วมกันของประชาชน( General Will ) เขาได้รับ สมญาว่า "เจ้าทฤษฎีแห่งอำนาจอธิปไตย"
- เศรษฐกิจแบบทุนนิยม สังคมนิยม พาณิชย์นิยม
3.สงครามโลกครั้งที่ 1
3.1 ปัญหาหลักคือ ลัทธิชาตินิยมและจักรวรรดินิยมเกิดการแย่งชิงผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง
3.2 มีการแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายมหาอำนาจกลาง
3.3 สงครามครั้งนี้ ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ
3.4 เกิดสนธิสัญญาแวร์ซายน์และองค์การสันนิบาตชาติ
4.สงครามโลกครั้งที่ 2
4.1 ปัญหาหลักคือ การละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายน์ของเยอรมันและการล่มขององค์การสันนิบาตชาติ
4.2 มีการแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ
4.3 สงครามครั้งนี้ ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ
4.4 เกิดองค์การสหประชาชาติและสงครามเย็น
ที่มา : //www.skb.ac.th/~skb/computor/ganjana/west_modern_data.htm#first
ที่มา : //th.wikipedia.org/wiki/สมัยใหม่