กฎกระทรวงเป็นกฎหมายลำดับรองซึ่งฝ่ายปกครองตราขึ้นใช้บังคับแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการซึ่งเป็นรายละเอียดที่จะต้องปฏิบัติตามที่พระราชบัญญัติแม่บทฉบับใดฉบับหนึ่งได้กำหนดไว้การออกกฎกระทรวงจะกระทำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับพระราช บัญญัติฉบับใดฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินั้นด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็มีผลใช้บังคับได้ นอกจากนี้ กฎกระทรวงยังรวมถึงกฎกระทรวงที่ออกโดยนายกรัฐมนตรีในฐานะที่บังคับบัญชาสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีฐานะเป็นกระทรวง เรียกว่า กฎสำนักนายกรัฐมนตรี กฎกระทรวงจะออกได้ต่อเมื่อมีพระราชบัญญัติฉบับใดฉบับหนึ่งให้อำนาจไว้อย่างชัดแจ้ง ข้อสำคัญคือจะต้องอ้างอิงพระราชบัญญัติที่ให้อำนาจไว้ในกฎกระทรวงเสมอว่า อาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติฉบับใด มาตราใด ดังนั้น ในพระราชบัญญัติจึงต้องมีบทมาตรากำหนดให้อำนาจออกกฎกระทรวงไว้โดยเฉพาะด้วยเช่นกัน เพราะกฎกระทรวงเป็นกฎหมาย รูปหนึ่งที่ฝ่ายนิติบัญญัติมอบอำนาจให้ฝ่ายปกครองเป็นผู้ออก เพื่อกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในรายละเอียดภายใต้หลักใหญ่ที่พระราชบัญญัติกำหนดไว้ ดังนั้น ผู้ออกกฎกระทรวงจึงต้องอยู่ภายในขอบเขตของอำนาจที่ได้รับมอบหมายจากฝ่ายนิติบัญญัติกฎกระทรวงแบ่งเป็นข้อๆ มิได้แบ่งออกเป็นมาตราเหมือนกับพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวงต้องมีข้อความที่ไม่ขัดแย้งต่อพระราชบัญญัติ และจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติไม่ได้ ทั้งจะต้องไม่บัญญัติในเรื่องที่อยู่ในขอบเขตของฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น มีบทกำหนดโทษไม่ได้ นอกจากนี้ กฎกระทรวงออกโดยอาศัยผู้ใช้อำนาจบริหารเช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกาแต่มีข้อแตกต่างที่ว่า พระราชกฤษฎีกาออกโดยพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของผู้ใช้อำนาจบริหารในฐานะรัฐบาล ส่วนกฎกระทรวงออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ในฐานะประมุขของผู้ใช้อำนาจบริหารในฐานะฝ่ายปกครอง
กฎหมายที่ใช้ในประเทศไทยมีมากมาย หลายประเภท เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เป็นต้น กฎหมายบางประเภทก็มีผลบังคับใช้ กับบุคคลโดยทั่วไป บางประเภทก็มีผลบังคับใช้เฉพาะประชาชนที่อยู่ในเขตท้องที่นั้นๆ กฎหมายที่มีความสำคัญบังคับใช้กับบุคคลทั่วไปย่อมมีความสำคัญมากกว่ากฎหมายที่มีผลบังคับใช้เฉพาะประชาชนที่อยู่ในเขตท้องที่นั้นๆ ซึ่งเรียกลักษณะนี้ว่า ลำดับศักดิ์ของกฎหมาย ศักดิ์ของกฎหมายไทย มีดังนี้
1. ลำดับศักดิ์ของกฎหมายไทย
2. ประโยชน์การจัดลำดับศักดิ์ของกฎหมาย
ลำดับศักดิ์ของกฎหมายไทย
การจัดลำดับฐานะหรือความสูงต่ำของกฎหมาย โดยมีหลักในการตีความว่า กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่า คือ มีลำดับชั้นต่ำกว่าจะขัดหรือแย้งต่อกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่า หรือมีลำดับชั้นสูงกว่ามิได้ ดังนั้นกฎหมายที่มีศักดิ์หรือลำดับชั้นต่ำกว่าหรืออาจเรียกอีกอย่างว่ากฎหมายลูก จะต้องออกหรือตราออกมาให้มีข้อความสอดคล้องกับกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่า ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ให้อำนาจกฎหมายลูกไว้ หากบัญญัติออกมามีข้อความขัดแย้งหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายแม่แล้ว จะมีผลให้กฎหมายลูกที่มีศักดิ์ต่ำกว่าใช้บังคับมิได้ ดังนั้น ศักดิ์ของกฎหมายจึงหมายถึง ลำดับฐานะหรือความสูงต่ำของกฎหมายที่มีความสำคัญสูงกว่าหรือต่ำกว่ากัน การจัดแบ่งลำดับชั้นของกฎหมายไทยสามารถจัดแบ่งลำดับชั้น ออกเป็น 7 ประเภท ดังนี้
1. รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กฎหมายใดขัดแย้งไม่ได้ โดยจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้อำนาจอธิปไตย ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเมือง สิทธิเสรีภาพของประชาชน
2. พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมาย เป็นกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้น
3. พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีตามบท บัญญัติในรัฐธรรมนูญใช้ในกรณีจำเป็นรีบด่วนหรือเรื่องที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ความปลอดภัยของประเทศ แต่ต้องเสนอต่อรัฐสภาโดยเร็ว
4. พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี เพื่อกำหนดรายละเอียดตามพระราชบัญญัติที่กำหนดไว้
5. กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีตราขึ้นผ่านคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด
6. ข้อบังคับหรือข้อบัญญัติ เป็นกฎหมายขององค์กรปกครองท้องถิ่น เช่น เทศบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เป็นต้น
7. ประกาศคำสั่ง เป็นกฎหมายเฉพาะกิจ เช่น พระบรมราชโองการ ประกาศคณะปฎิวัติ คำสั่งหน่วยงานราชการ เป็นต้น
ประโยชน์การจัดลำดับศักดิ์ของกฎหมาย
การจัดลำดับศักดิ์ของกฎหมายก็เพื่อประโยชน์ในการเริ่มต้นจัดทำร่างกฎหมายว่ากฎหมายประเภทนี้ระดับใดเป็นผู้จัดทำร่างเพื่อตราและประกาศใช้บังคับ นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ใช้กฎหมายทราบลำดับชั้นของกฎหมายที่ใช้อยู่ว่าประเภทใด หรือฉบับใดมีศักดิ์และความสำคัญสูงกว่ากัน สามารถพิจารณาตรากฎหมายฉบับใหม่เพื่อแก้ไข เพิ่มเติม หรือยกเลิกฉบับเดิมได้ตามศักดิ์ของกฎหมาย รวมทั้งกรณีมีปัญหาในการวินิจฉัยและตีความกฎหมาย โดยยึดหลักว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้นต้องให้กฎหมายที่มีศักดิ์ระดับเดียวกันหรือสูงกว่ามาแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก จึงจะมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย
กฎกระทรวง
ฉบับที่ 296 (พ.ศ. 2555)
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยภาษีเงินได้
---------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2521 และมาตรา 4 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 20)
พ.ศ. 2513 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 และมาตรา 41 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น ( 17/2 ) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 144 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยภาษีเงินได้
( 17/2) ��การจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการซื้อพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน� แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าว หรือที่ทำขึ้นใหม่ เพชร ไข่มุก และสิ่งทำเทียมเพชรหรือไข่มุกหรือที่ทำขึ้นใหม่ ให้แก่
ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 311) �พ.ศ.� 2540 ร้อยละ �1.0 �ทั้งนี้ สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินระหว่างวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับถึงวันที่� 31 ธันวาคม พ.ศ.� 2557
ให้ไว้� ณ� วันที่� 28� ธันวาคม �พ.ศ. 2555
กิตติรัตน์ ณ ระนอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรกำหนดให้มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินบางประเภทเพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 144 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในประมวลรัษฎากร� ว่าด้วยภาษีเงินได้ เนื่องจากการหักภาษี ณ ที่จ่าย จะเป็นการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีและทำให้รัฐสามารถควบคุมตรวจสอบการเสียภาษีของผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอันจะทำให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
(ร.จ. ฉบับกฤษฎีกาฯ เล่ม 130 ตอนที่ 3 ก วันที่ 11 มกราคม 2556)