การนับปีศักราชแบบสากล
1) คริสต์ศักราช หรือ ค.ศ. โดยใช้เหตุการณ์สำคัญทางคริสต์ศาสนาเป็นจุดเริ่มต้น เริ่มนับตั้งแต่ปีที่พระเยซูประสูติเป็นปี ค.ศ. 1 สำหรับช่วงเวลาก่อนพระเยซูประสูติให้เรียกเป็น ก่อนคริสต์ศักราช (ก่อน ค.ศ. หรือ B.C = Before Christ)
2) ฮิจเราะห์ศักราช หรือ ฮ.ศ. ฮิจเราะห์มาจากภาษาอาหรับ แปลว่า การอพยพ เป็นการนับศักราชในประเทศที่มีการนับถือศาสนาอิสลามโดยเริ่มนับ ฮ.ศ. 1 เมื่อท่านนบีมูฮัมหมัดนำเหล่าสาวกอพยพจากเมืองเมกกะไปยังเมืองเมดินา ตรงกับพุทธศักราช 1165 หากจะเทียบ ปีฮิจเราะห์ศักราชเป็นปีพุทธศักราช จะต้องบวกด้วย 1122 เพราะการเทียบรอบปีของฮิจเราะห์ศักราชและพุทธศักราช จะมีความคลาดเคลื่อนทุก ๆ 32 ปีครึ่งของฮิจเราะห์ศักราชจะเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี เมื่อเทียบกับพุทธศักราช
การนับศักราชแบบไทย
1) พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็นศักราชที่นิยมใช้ในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา มีการใช้กันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และใช้กันอย่างเป็นทางการของประเทศไทย ครั้งแรกใน พ.ศ. 2455 แทนรัตนโกสินทร์ศก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยประเทศไทยเริ่มนับ พ.ศ. 1 เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วครบ 1 ปี เป็น พ.ศ. 1
2) มหาศักราช (ม.ศ.) นิยมใช้มากในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทศิลาจารึกและพงศาวดารต่าง ๆ ทั้งสมัยสุโขทัย และสมัยอยุธยาตอนต้น มหาศักราชถูกตั้งขึ้นโดยพระเจ้า กนิษกะแห่งราชวงศ์กุษาณะ กษัตริย์ผู้ครองอินเดีย โดยเริ่มภายหลังพุทธศักราช 622 (มหาศักราชตรงกับ พ.ศ. 622)
3) จุลศักราช (จ.ศ.) เป็นศักราชที่ได้รับอิทธิพลจากพม่า โดยพระมหากษัตริย์ของพุกาม เริ่มใช้นับครั้งแรกในพม่า พ.ศ. 1182 และใช้แพร่หลายเข้าสู่อาณาจักรล้านนา โดยเริ่มภายหลังพุทธศักราช 1181 ปี ไทยนิยมใช้จุลศักราชในการคำนวณทางโหราศาสตร์ ใช้บอกปีในจารึก ตำนาน จดหมายเหตุ พงศาวดาร จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกาศยกเลิก และมีการใช้รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) แทน
4) รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เป็นศักราชที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกำหนดใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2325 โดยเริ่มนับปีที่ได้มีการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีใน พ.ศ. 2325 เป็น ร.ศ. 1 และได้ประกาศยกเลิกใช้ในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
การเทียบศักราช
การนับศักราชที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยและสากล ดังนั้น การเทียบศักราชให้เป็นแบบเดียวกัน จะช่วยให้สามารถศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้เข้าใจมากขึ้น ตลอดจนทำให้ทราบถึงช่วงศักราชหรือช่วงเวลาเดียวกัน ในแต่ละภูมิภาคของโลกเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ศึกษาอย่างแท้จริง จึงต้องมีการเทียบศักราช จากศักราชหนึ่งไปยังอีกศักราชหนึ่ง โดยคำนวณจากศักราชทั้งสองมีช่วงเวลาที่แตกต่างกันอยู่กี่ปี แล้วนำไปบวกหรือลบแล้แต่กรณีหลักเกณฑ์การเทียบศักราช โดยคำนวณหาเกณฑ์บวกลบเฉพาะพุทธศักราช (พ.ศ.) มีดังนี้
การกำหนดเวลาขึ้นมาโดยนับเป็นปี ซึ่งเริ่มนับปีแรกจากเหตุการณ์สำคัญ โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญทางศาสนาและการขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ การนับศักราชจะช่วยให้เรารู้ว่าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเกิดในช่วงเวลาใดนอกจากปี พ.ศ. และปี ค.ศ. ที่เราคุ้นเคยกันแล้ว ยังมีวิธีการนับศักราชอีกหลายรูปแบบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แถมแต่ละประเทศก็ใช้ไม่เหมือนกันอีกต่างหาก วันนี้เราเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับวิธีนับศักราชรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการใช้ทศวรรษ ศตวรรษ และสหัสวรรษ ว่าเริ่มนับจากตอนไหนและแตกต่างกันยังไงบ้าง
ส่วนใครที่อยากเรียนเรื่องนี้ในรูปแบบแอนิเมชัน คลิกดาวน์โหลดแอป StartDee เลย
การนับศักราชที่ใช้ในประวัติศาสตร์ไทย
- พุทธศักราช (พ.ศ.)
เป็นศักราชที่เราคุ้นเคยมากที่สุด ประเทศไทยเริ่มนับ พ.ศ. 1 หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว 1 ปี แต่มีหลายประเทศเริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน เช่น ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ปี พ.ศ. ในไทยกับเมียนมาไม่ตรงกัน เช่น ถ้าไทยตรงกับปี พ.ศ. 2563 เมียนมาจะเป็นปี พ.ศ. 2564 เพราะนับเร็วกว่าไทย 1 ปี การนับศักราชแบบพุทธศักราชในไทยเริ่มต้นครั้งแรกในสมัยอยุธยา และใช้อย่างเป็นทางการในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงปัจจุบัน
- มหาศักราช (ม.ศ.)
สำหรับมหาศักราชนี้มีที่มาจากพระเจ้ากนิษกะแห่งราชวงศ์กุษาณะในประเทศอินเดีย ก่อนจะเผยแพร่มายังประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในศิลาจารึกยุคก่อนสุโขทัยและสมัยสุโขทัย มหาศักราชที่ 1 ตรงกับ พ.ศ. 622
- จุลศักราช (จ.ศ.)
จุลศักราชเริ่มนับครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 1182 ซึ่งที่มาของจุลศักราชนั้น ยังไม่แน่ชัด บ้างก็กล่าวว่ามาจากพม่า โดยเริ่มจากวันที่พระเถระนามว่าบุพโสระหันสึกจากการเป็นพระออกมาชิงราชบัลลังก์ ในสมัยพุกาม บ้างก็กล่าวว่ามาจากล้านนา โดยพระยากาฬวรรณดิศ ได้ตั้งจุลศักราชขึ้นมาใช้แทนมหาศักราช หรือบางแหล่งกล่าวว่า จุลศักราชมีพัฒนาการมาจากศักราชโบราณของอินเดียเช่นเดียวกับมหาศักราช โดยนิยมใช้จุลศักราช สำหรับคำนวณเกี่ยวกับโหราศาสตร์ จารึก ตำนาน จดหมายเหตุ พงศาวดารต่าง ๆ ก่อนจะถูกยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะเปลี่ยนมาใช้รัตนโกสินทรศก (ร.ศ.)
- รัตนโกสินทรศก (ร.ศ.)
หลังจากยกเลิกจุลศักราชแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้ริเริ่มการใช้รัตนโกสินทรศก (ร.ศ.) ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ในปี พ.ศ. 2325 ก่อนจะถูกยกเลิกการใช้ในช่วงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
การนับศักราชแบบอื่น ๆ
- คริสต์ศักราช (ค.ศ.) : เริ่มนับ ค.ศ. 1 ตั้งแต่ พ.ศ. 544 ดังนั้น ค.ศ. = พ.ศ. - 543
เป็นการนับศักราชของศาสนาคริสต์ซึ่งนิยมใช้ในประเทศทางตะวันตก และเผยแพร่ไปทั่วโลก โดยเริ่มนับคริสต์ศักราชที่ 1 ตั้งแต่ปีที่พระเยซูคริสต์ประสูติ ตรงกับ พ.ศ. 544
- ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) : เริ่มนับ ฮ.ศ. 1 ตั้งแต่ พ.ศ. 1665 (แต่จะเพิ่มขึ้น 1 ปี ทุก ๆ 32 ปีครึ่ง เมื่อเทียบกับพุทธศักราช) ปัจจุบัน ฮ.ศ. = พ.ศ - 1122
เป็นการนับศักราชของศาสนาอิสลาม ซึ่งคำว่าฮิจเราะห์ แปลว่า การอพยพ โดยเริ่มนับจากเหตุการณ์ที่นบีมูฮัมหมัดนำเหล่าสาวกอพยพจากเมืองเมกกะไปยังเมืองเมดินา ในช่วงพุทธศักราช 1165 ปัจจุบันเราสามารถคำนวณปีฮิจเราะห์ศักราชได้โดยการนำปี พ.ศ. มาลบกับเลข 1122 อย่างไรก็ดี เนื่องจากการนับปีตามปฏิทินจันทรคติของศาสนาอิสลาม ทำให้ทุก ๆ 32 ปีครึ่งระยะห่างระหว่างปี ฮ.ศ. กับ พ.ศ. จะเพิ่มขึ้น 1 ปี หมายความว่าปัจจุบันเราใช้ 1122 ไปลบกับปี พ.ศ. แต่อนาคตเราจะเปลี่ยนไปใช้เลข 1123 มาลบกับปี พ.ศ. เพื่อคำนวณปี ฮ.ศ.
การเทียบศักราช
ถ้าเพื่อน ๆ อยากรู้ว่าปีพุทธศักราชนั้น ตรงกับปีไหนในศักราชอื่น ๆ ก็สามารถนำตัวเลขพุทธศักราช หรือ พ.ศ. มาคำนวณได้ ดังนี้
- มหาศักราช (ม.ศ.)
คำนวณโดยการนำพุทธศักราช (พ.ศ.) มาลบด้วย 621 (ม.ศ. = พ.ศ. - 621)
- จุลศักราช (จ.ศ.)
คำนวณโดยการนำพุทธศักราช (พ.ศ.) มาลบด้วย 1181 (จ.ศ. = พ.ศ. - 1181)
- รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.)
คำนวณโดยการนำพุทธศักราช (พ.ศ.) มาลบด้วย 2325 (ร.ศ. = พ.ศ. - 2324)
- คริสต์ศักราช (ค.ศ.)
คำนวณโดยการนำพุทธศักราช (พ.ศ.) มาลบด้วย 543 (ค.ศ. = พ.ศ. - 543)
- ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.)
คำนวณโดยการนำพุทธศักราช (พ.ศ.) มาลบด้วย 1122 (ฮ.ศ. = พ.ศ - 1122)
ทศวรรษ ศตวรรษ สหัสวรรษ
- ทศวรรษ
‘ทศ’ แปลว่า สิบ ส่วน ‘วรรษ’ แปลว่า ปี ดังนั้น ทศวรรษจึงใช้เพื่อนับเวลาในรอบ 10 ปี โดยเริ่มนับจากศักราชที่ลงท้ายด้วย 0 ไปจนถึงศักราชที่ลงท้ายด้วย 9 เช่น
ทศวรรษ 1990 หรือ 1990’s หมายถึง ค.ศ. 1990 - ค.ศ. 1999
- ศตวรรษ
‘ศต’ แปลว่า หนึ่งร้อย ส่วน ‘วรรษ’ แปลว่า ปี ดังนั้น ศตวรรษจึงใช้เพื่อนับเวลาในรอบ 100 ปี โดยเริ่มนับจากศักราชที่ลงท้ายด้วย 01 ไปจนถึงศักราชที่ลงท้ายด้วย 00 เช่น
คริสต์ศตวรรษที่ 21 หมายถึง ค.ศ. 2001- ค.ศ. 2100
- สหัสวรรษ
‘สหัส’ แปลว่า หนึ่งพัน ส่วน ‘วรรษ’ แปลว่า ปี ดังนั้น สหัสวรรษจึงใช้เพื่อนับเวลาในรอบ 1000 ปี โดยเริ่มนับจากศักราชที่ลงท้ายด้วย 001 ไปจนถึงศักราชที่ลงท้ายด้วย 000 เช่น
สหัสวรรษที่ 2 ตามคริสต์ศักราช หมายถึง ค.ศ. 1001 - ค.ศ. 2000
นอกจากการใช้ ทศวรรษ ศตวรรษและสหัสววรษ เพื่อบอกปีแล้ว เพื่อน ๆ ยังสามารถใช้สำหรับบอกระยะเวลาในอดีตและอนาคตได้ด้วยนะ เช่น “3 ทศวรรษผ่านไป เขาก็ได้พบกับเธออีกครั้ง” หมายถึง “30 ปี ผ่านไป เขาก็ได้พบกับเธออีกครั้ง” เป็นต้น
ถ้าเพื่อน ๆ สงสัยตรงไหน แล้วอยากทบทวนบทเรียนเพิ่มเติม อย่าลืมโหลดแอปฯ StartDee มาทบทวนกันอีกครั้ง หรือถ้าอยากอ่านต่อ ก็สามารถเสริมความรู้ภาษาไทยไปกับเรื่องนิราศภูเขาทอง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบของชั้นม.1 ให้คะแนนปัง กันทั้งสังคมและภาษากันไปเลย!