สิ่งที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง

2 Min

2226 Views

11 Oct 2020

คุณเคยเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ไหมครับ จำกันได้หรือเปล่าว่าเหตุอะไรที่ทำให้คุณเลือกเปลี่ยนตัวเองในครั้งนั้น แล้วมันเกิดผลกระทบอะไรต่อชีวิตบ้างหลังจากนั้น

ด็อกเตอร์ Marty Nemko ผู้เขียนหนังสือด้านการพัฒนาอาชีพกว่า 10 เล่ม และเป็นไลฟ์โค้ชชื่อดัง มีลูกค้ากว่า 5,000 (แถมยังบอกด้วยว่าอัตราความพึงพอใจของลูกต้าสูงกว่า 95%) จะมาอธิบายกันว่า จาก ประสบการณ์ของเขา มีเหตุการณ์ประมาณไหนบ้างที่ทำให้คนเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นการเลิกสูบบุหรี่ หยุดดื่มแอลกอฮอล์ เลิกเที่ยว เริ่มเก็บเงิน หรือการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในด้านต่าง ๆ มาดูกันดีกว่าจากประสบการณ์ของ Marty Nemko จุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตแต่ละคนนั้นเปลี่ยนแปลงมีอะไรกันบ้าง

ตกหลุมรัก : ข้อนี้เชื่อว่าหลายท่านน่าจะผ่านกันมาบ้าง ความรักเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ใครบางคนเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการลองทำอะไรใหม่ ๆ เปลี่ยนการแต่งตัว อดทนในบางสิ่งบางอย่างมากขึ้น และที่สำคัญถึงแม้ความรักจะไม่สมหวัง แต่อะไรดี ๆ ที่เราทำเพื่อตัวเองก็ยังเหลืออยู่ใช่ไหมล่ะ

มีลูก : สำหรับตัวผู้เขียนเอง รู้สึกว่ากรณีตัวอย่างในแง่ของผู้ชายจะชัดที่สุด บางท่านชอบเที่ยว ชอบดื่ม หรือสูบบุหรี่ แต่พอมีลูกขึ้นมาหรือเป็นสิ่งที่ลูก ก็เลิกสิ่งเหล่านั้นไปอย่างง่ายดายทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนจะพยายามแค่ไหนก็เลิกไม่ได้ก็ตาม

คนสำคัญในชีวิตตาย : ความตายทำให้เราตระหนักรู้ถึงชีวิตมากขึ้น บางทีก็ทำให้เรารู้ว่าชีวิตมันแสนสั้นเกินกว่าจะทำตัวไม่ดี บางก็ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

ตกงาน : การตกงานหรือว่างเป็นหนึ่งในความ ‘พ่ายแพ้’ ที่จับต้องได้มากที่สุดของมนุษย์คนหนึ่ง เพราะฉะนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกการเป็น ‘ขี้แพ้’ แล้ว คนเราก็มักจะฉุดตัวเองขึ้นมาจากเหตุการณ์เหล่านี้นี่แหละ

สมเพชตัวเอง : อาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยพอดู บางครั้งคนเราก็เหนื่อยที่จะเป็นตัวเอง สมเพชตัวเองที่น่าสมเพช แล้วก็เกิดอยากฮึ้บที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นมา อารมณ์ประมาณว่าไม่อยากใช้ชีวิตที่น่าสมเพชอีกต่อไปแล้ว

ประชดใครบางคน : ถ้ายกอาการ ‘อกหัก’ ขึ้นมาจะชัดเจนที่สุด เราจะเห็นหลายครั้งบางครั้งคุณสุภาพสตรีก็หันมาดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย แต่งตัว แต่งหน้า เพียงเพราะอยากจะทำให้ใครบางคนรู้สึกเสียดายที่จากเราไป เหตุการณ์นี้ยังรวมถึงการพยายามที่เอาชนะคำสบประมาทที่ใครบางคนเคยดูถูกเราเอาไว้ได้ด้วย

เทรนด์ : ทำแบบนี้ก็เพราะคนอื่นทำ เลิกทำแบบนี้ก็เพราะคนอื่นเลิกทำ ถ้าใครพอนึกออกมันจะอยู่ยุคนึงครับ ไม่ว่าแห่งหนไหนก็จะมีแต่คนสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นภาพลักษณ์ที่ค่อนเท่ สมาร์ท แต่พอยุคปัจจุบันดูเหมือนจะได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไป คนที่สูบอยู่แล้วอยากจะเลิกก็เลือกไปหาผลิตภัณฑ์ทดแทน

อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน : สำหรับคนเรา บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีจุดเปลี่ยนอะไร อาจจะเป็นเพียงการฉุกคิดขึ้นมาตอนตื่นนอนหรืออะไรทำนองนี้ ว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากเป็นคนที่ดีกว่า และมันก็มากพอที่จะทำให้ใครบางคนมาเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วล่ะครับ!

ใครเคยผ่านเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนของชีวิตมาแล้วบ้าง มาร่วมแชร์กันดีกว่า ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไรบ้าง?

อ้างอิง: 

  • //bit.ly/37p1KLg

มีเวลาไม่เยอะอยากอ่านสั้นๆ

  • เราทุกคนควรเปลี่ยนตัวเอง “เพื่อตัวเราเอง” โดยผมรวบคำแนะนำออกมาได้ 3 ข้อหลักๆ
  • 1. สร้างตารางการเปลี่ยนแปลง โดยลิสต์สิ่งที่อยากทำ อยากเปลี่ยน ออกมา
  • 2. ลงทุนในการพัฒนาตัวเอง แม้จะยุ่งมากแค่ไหนก็ควร จัดสรรเวลาเพื่อเรียนรู้อยู่เสมอ
  • 3. ลองจินตนาการ หรือนึกภาพเหตุการณ์ที่เราอยากให้เป็นอย่างนั้นขึ้นมา การจินตนาการเป็นเหมือนการฝึกซ้อมทำสิ่งนั้นในหัวของเรา

ช่วงนี้น้องที่ออฟฟิศคุยเรื่องความรักให้ได้ยินบ่อยครับ แต่ที่ติดหูผมมากคือ ประโยคที่ว่า

“อย่าพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร”

ซึ่งพอได้ยินผมก็มานั่งคิดตามว่าผมเห็นด้วยกับประโยคนี้มากน้อยแค่ไหน สำหรับตัวผม ผมเห็นด้วยครับว่า เราไม่ควรรักใครจนสูญเสียความเป็นตัวเอง แต่การเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครสักคนหนึ่งนั้น ผมว่าก็มีอยู่คนหนึ่งนะครับ ที่เราควรรักและควรเปลี่ยนตัวเองให้

คนนั้นก็คือ ตัวเราเอง

แต่การเปลี่ยนตัวเองในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนเราไปเป็นคนอื่นนะครับ แต่เปลี่ยนให้เป็น “เราที่ดีขึ้น” ซึ่งหัวข้อนี้ก็ประจวบเหมาะด้วยว่า ช่วงนี้ผมได้อ่านหลายบทความเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนตัวเองพอดี 

ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านี้ ผมเคยเขียนถึงเรื่องทำนองนี้มาเยอะแล้ว (มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่บ้าอ่านหนังสือแนวพัฒนาตัวเองมาก) แต่อันนี้เป็นเทคนิคใหม่ๆ ที่ผมว่าน่าสนใจดี และช่วงนี้พยายามใช้เองอยู่ด้วย ก็เลยรวบรวมมาเพิ่มเติมอีก 3 ข้อ ตามนี้ครับ

1. สร้างตารางการเปลี่ยนแปลง

เทคนิคนี้ คือให้เราเขียนลิสต์หรือสิ่งที่เราอยากเปลี่ยน อยากทำ หรืออยากได้ ลงบนกระดาษ ซึ่งอาจจะเป็น 50 ข้อ หรือ 100 ข้อ สมมติเช่น ขี่ม้าเป็น พบปะกับเพื่อนเก่า วิ่งบอสตันมาราธอน ไปเที่ยวอเมริกาใต้ เขียนนิยาย เป็นต้น

จากนั้นให้นำทุกข้อที่เราเขียนมาแบ่งเข้ากล่องแต่ละประเภท คือ

  1. สิ่งนี้ต้องอาศัยทักษะบางอย่างก่อน
  2. สิ่งนี้ทำได้เลย
  3. สิ่งนี้ต้องรอเวลา

ยกตัวอย่างเช่น ข้อ “เขียนนิยาย” จัดอยู่ในกลุ่มที่หนึ่งคือ ต้องไปศึกษาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ก่อน หรือต้องอ่านนิยายให้ได้เยอะๆ ก่อน หรืออีกตัวอย่างเช่น “พบปะกับเพื่อนเก่า” อันนี้ก็ลงมือทำได้เลย คือโทรไปนัดเพื่อน (คุ้นๆ เหมือนจะเคยได้ดูมาจากภาพยนต์เรื่องหนึ่งเลยใช่ไหมครับ ผมเองก็นึกชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ออกเหมือนกัน) 

เมื่อทำตารางแบบนี้ขึ้นมาแล้ว สิ่งที่จะได้คือ เราจะเห็นรายการที่อยากทำเป็นภาพหรือเป็นรูปธรรมมากขึ้น ว่าอะไรทำได้เลย จะได้รีบทำ หรืออะไรต้องสั่งสมเวลา ก็จะได้ทยอยทำไปเรื่อยๆ จากนั้นเราก็มาวิเคราะห์ว่าแต่ละสิ่งที่อยากทำ เมื่อนำแตกมาเป็นภารกิจย่อยๆแล้วมีอะไรบ้าง แล้วเราค่อยๆ ทำไปทีละข้อ ทีละสเต็ป จนในที่สุดจากก้าวเล็กๆแต่ละก้าวก็พาเราไปถึงเป้าหมาย หรือบรรลุสิ่งที่ต้องการทำแล้วนั่นเอง ซึ่งเทคนิคนี้เป็นหลักการเดียวกับไคเซ็น (Kaizen) เลยครับ ตอนทำไคเซ็นที่โรงงานเราก็ทำกันประมาณนี้แหละครับ เพียงแต่มันจะเครียดกว่าเยอะเท่านั้นเอง 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมแนะนำว่า อย่างไรก็ควรจัดลำดับความสำคัญหรือ มุ่งเลือกมาทำไม่กี่ข้อก่อนนะครับ คืออาจจะเลือกมาปีละ 3-5 ข้อ เพราะคนเราไม่สามารถทำทุกอย่างพร้อมกันได้หมด ก็ให้เลือกข้อที่คุณคิดว่าเหมาะสม จำเป็น หรืออยากทำที่สุดไปก่อนแล้วกัน

2. ลงทุนเวลากับการพัฒนาตัวเอง

หลายคนมักบ่นว่าตัวเองไม่มีเวลาทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เหตุผลเพราะยุ่งมาก

แต่ผมจะบอกว่าการยุ่งมากๆจนไม่มีเวลามาพัฒนาตัวเอง เปรียบได้กับการใช้เงินโดยไม่เก็บออม แล้วพอไม่ออมก็ไม่มีเงินไปลงทุนต่อ เพราะไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการใช้ชีวิต สุดท้ายอนาคตจะเรียกร้องขอคุณภาพที่ดีขึ้นจากเราทุกๆวัน ฉะนั้นการที่เรามัวแต่ทำงานหรือทำธุระต่างๆไปเรื่อยๆ จนไม่ได้พัฒนาตัวเองเลย เท่ากับว่าเราหยุดอยู่กับที่

ดังนั้น เรื่องหนึ่งที่ควรทำมากๆ คือต้องรู้จักแบ่งสรรเวลาส่วนหนึ่งไปกับการพัฒนาตัวเองด้วย เช่น อ่านหนังสือ เรียนภาษาที่สาม เข้าคอร์สเรื่องที่เราอยากเชี่ยวชาญ หรือแสวงหาแนวคิดที่ช่วยให้ตัวเองมีความสุข ถ้าพูดอีกอย่างคือ “รู้จักออมเวลาเพื่อตัวเอง”

ซึ่งเทคนิคนี้สามารถปรับใช้กับข้อแรกได้นะครับ ก็คือเอาเวลาที่แบ่งสรร มาทำภารกิจที่แตกมาจากลิสต์ที่ตัวเองอยากทำ

3. จินตนาการถึงสิ่งที่เราอยากให้เป็น

ผมอ่านเจอจากหนังสือหลายเล่มมาก ที่แนะนำการปรับพฤติกรรมตัวเองด้วยการให้เราลองจินตนาการ หรือนึกภาพเหตุการณ์ที่เราอยากให้เป็นอย่างนั้นขึ้นมา เพราะในทางจิตวิทยาเชื่อกันว่า การจินตนาการเป็นเหมือนการฝึกซ้อมทำสิ่งนั้นในหัวของเรา ตอนแรกก็รู้สึกว่ามันดูไม่น่าจะจริง แต่พอได้ลองใช้แล้วพบว่า มันใช้ได้จริงเหมือนกันนะวิธีนี้

อย่างนักว่ายน้ำเจ้าของสถิติโอลิมปิกไมเคิล เฟลป์ส นอกจากซ้อมว่ายน้ำอย่างหนักแล้ว โค้ชของเขาก็ใช้วิธีให้เฟลป์สฝึกจินตนาการเวลาที่เค้าว่ายน้ำ ในแง่หนึ่งเป็นการหลอกสมองให้รู้สึกว่ากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ตลอด และยังเป็นการทำให้เราคุ้นเคยกับพฤติกรรมนั้นมากขึ้น

ส่วนตัว ผมว่าเรื่องนี้มันคล้ายๆ เรื่องกฎแรงดึงดูดนะครับ เมื่อเราคิดว่าเราได้ทำอะไรอยู่บ่อยๆ ก็เหมือนเพิ่มโอกาสให้เราเข้าใกล้สิ่งนั้นมากขึ้น อย่างผมเองได้ยินหลายคนเล่าให้ผมฟังว่า เขาจินตนาการล่วงหน้าถึงตอนตัวเองไปเที่ยวที่อยากไป พอจินตนาการเข้าบ่อยๆ สุดท้ายก็เก็บเงินซื้อตั๋วไปเที่ยวได้สำเร็จ 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จากทั้งสามข้อ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้เลย อาศัยเวลา หรือใช้จินตนาการเข้าช่วย ทุกอย่างจะเดินหน้าได้ก็ด้วย “การกระทำ” เท่านั้น และหากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ต้องสั่งสมเวลา การกระทำจะต้องเกิดอย่างสม่ำเสมอ

โดยผมขอแนะนำว่า ตอนเริ่มควรเริ่มจากทีละเล็กๆ หรือใช้เวลาเพียงน้อยๆก่อนครับ อย่างในหนังสือ ทำ “เล็ก ๆ” ทีละน้อย ค่อยๆทำทีละนิด เปลี่ยนวิธีคิดและชีวิตคุณได้ (One Small Step Can Change Your Life) ยังพบเลยว่า

เวลาเพียง 30 วินาทีของทุกวัน สามารถปรับนิสัยของคนคนหนึ่งได้สำเร็จ

ซึ่งจะว่าไป พอมานึกกันดีๆ เทคนิคที่เล่ามานี้ก็สามารถใช้กับความรักความสัมพันธ์ได้ด้วยนะครับ บางครั้งคุณอาจไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่หมด แต่อาจใช้การ “ปรับ” เพื่อให้ความรักความสัมพันธ์นั้นดีขึ้น

อย่างถ้าเผอิญความความสัมพันธ์ของคุณมีปัญหา ก็ลองหาให้เจอครับว่าลิสต์ที่คุณอยากปรับนั้นคืออะไร แล้วลองใช้เทคนิคเหล่านี้ทำไปเรื่อยๆ บางทีอาจกลายเป็นว่า ทั้งคุณและความรักนั้นต่างดีขึ้นก็เป็นไปได้ครับ 🙂

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก