ธุรกิจท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของการท่องเที่ยว
ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
ธุรกิจการขนส่ง ธุรกิจร้านค้าของที่ระลึก และธุรกิจอื่น ๆ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเหล่านี้ มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอยู่
ตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว
และเป็นธุรกิจที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
มัคคุเทศก์ในฐานะผู้เป็นคนกลางติดต่อประสานงานระหว่างธุรกิจต่าง ๆ เหล่านี้กับนักท่องเที่ยว ดังนั้นการศึกษาถึงธุรกิจท่องเที่ยว
แต่ละประเภทเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ธุรกิจท่องเที่ยวที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีด้วยกันหลายประเภท ซึ่งพอจำแนกออกได้เป็น 6 ประเภท
ได้แก่ ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจการขนส่ง ธุรกิจจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจนำเที่ยว
และธุรกิจท่องเที่ยว
ประเภทอื่น ๆ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. ธุรกิจที่พักโรงแรม
ธุรกิจที่พักโรงแรม (Accommodation Business) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจที่พักแรม
หรือธุรกิจโรงแรม (Accommodation or Hotel Business) หมายถึง ธุรกิจที่ให้บริการด้านที่พักอาศัยแก่นักท่องเที่ยว รวมทั้ง
บริการอาหารและเครื่องดื่ม ตาม ความ ต้องการของนักท่องเที่ยว
โดยคิดค่าตอบแทนเพื่อผลกำไรของธุรกิจนั้นๆ ปัจจุบัน
นิยมใช้คำว่า ธุรกิจโรงแรมมากกว่า “ธุรกิจที่พักแรม”
ประเภทของที่พักแรม
การแบ่งประเภทของที่พักแรมมีความแตกต่างกันออกไปตามเกณฑ์การจัดแบ่งแล้วแต่จะเป็นการจัดจำพวกเพื่อวัตถุประสงค์ใด
เช่น เพื่อนโยบายในการลงทุน เพื่อเก็บรวบรวมสถิติ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวบางประเภท เป็นต้น เกณฑ์ต่า งๆ เหล่านี้พอสรุปได้คือ
1. จัดตามเกณฑ์ความสะดวกสบาย โดยใช้คุณภาพของอุปกรณ์เครื่องใช้ขนาดของการบริการและราคาเป็นตัวกำหนดการเรียก
ชื่อนี้จะต่างกันในบางประเทศ เช่น ในสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส นิยมเรียกเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว หรือ 4 ดาว มากกว่าที่จะเรียกว่า
โรงแรมหรูหรา (Deluxe Hotel) หรือโรงแรมชั้นหนึ่ง (First Class Hotel)
2. จัดตามเกณฑ์ช่วงระยะเวลาที่เปิดดำเนินการ เช่น ยึดฤดูกาลเป็นเกณฑ์ หรือโรงแรมประเภทชั่วคราว อพาร์ตเมนต์ เป็นต้น
3. จัดตามเกณฑ์วัตถุประสงค์ของการท่องเที่ยวเป็นตัวกำหนด เช่น ที่พักบนเขาในประเทศเมืองหนาว ที่พักตามชายทะเล
ทะเลสาบที่พักในป่า สวนสาธารณะใหญ่ ๆ
เผยแพร่ : 10 มิถุนายน 2561 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน กระแสการท่องเที่ยวในประเทศไทยถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จึงทำให้หลายคนมีความคิดที่อยากจะเริ่มต้นทำธุรกิจท่องเที่ยวเป็นของตัวเอง โดยอาจจะเป็นการตั้งโต๊ะทัวร์ การนำเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ รวมถึงการพาไปทัวร์ร้านอาหารดัง ๆ แต่ทั้งนี้ การจะประกอบธุรกิจนำเที่ยวได้ จะต้องมีการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ธุรกิจนำเที่ยว คือ การนำนักท่องเที่ยวทั้งภายในและจากต่างประเทศ เดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการเดินทางเพื่อจุดประสงค์อื่น
โดยได้จัดให้มีบริการในการอำนวยความสะดวกอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เช่น สถานที่พัก ร้านอาหาร ทริปทัวร์ต่าง ๆ รวมถึงการจัดให้มีมัคคุเทศก์นำทาง การจะทำธุรกิจนำเที่ยว ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวก่อน เพราะถ้าหากไม่มีใบอนุญาต ก็มีโทษสูงถึงขั้นทั้งจำและปรับได้ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว มีด้วยกัน 4 ประเภท คือใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว เอกสารแรกที่นักท่องเที่ยว ต้องพิจารณา
ข้อมูลทั่วไปของธุรกิจนำเที่ยว
ประเภทของใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว
- ใบอนุญาตนำเที่ยวเฉพาะพื้นที่ สามารถประกอบธุรกิจนำเที่ยวได้ เฉพาะในจังหวัดที่จดทะเบียนและจังหวัดข้างเคียงเท่านั้น (เช่น จดที่เชียงใหม่ ก็จะนำเที่ยวได้แค่ที่เชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียงที่ระบุเอาไว้) สามารถให้บริการได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยเท่านั้น การจดทะเบียนประเภทนี้ จะต้องวางเงินเพื่อเป็นหลักประกันจำนวน 10,000 บาท ที่สำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้ว จะได้เลขทะเบียนที่มีเลข 13/xxxxx นำหน้า (เหมาะสำหรับไกด์ท้องถิ่น หรือธุรกิจนำเที่ยวเล็ก ๆ)
- ใบอนุญาตนำเที่ยวในประเทศ (Domestic) สามารถประกอบธุรกิจนำเที่ยวได้ทุกที่ในประเทศไทย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเที่ยวไปต่างประเทศ สามารถให้บริการได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยเท่านั้น การจดทะเบียนประเภทนี้ จะต้องวางเงินเพื่อเป็นหลักประกันจำนวน 50,000 บาท ที่สำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้ว จะได้เลขทะเบียนที่มีเลข 12/xxxxx นำหน้า (เหมาะสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวเล็ก ๆ ในประเทศ เน้นนักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก)
- ใบอนุญาตนำเที่ยวแบบอินบาวด์ (Inbound) สามารถประกอบธุรกิจนำเที่ยวได้ทุกที่ในประเทศไทย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเที่ยวไปต่างประเทศ สามารถให้บริการได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเท่านั้น การจดทะเบียนประเภทนี้ จะต้องวางเงินเพื่อเป็นหลักประกันจำนวน 100,000 บาท ที่สำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้ว จะได้เลขทะเบียนที่มีเลข 14/xxxxx นำหน้า (เหมาะสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวเล็ก ๆ เน้นการให้บริการชาวต่างชาติเป็นหลัก)
- ใบอนุญาตนำเที่ยวต่างประเทศ (Outbound) สามารถระกอบธุรกิจนำเที่ยวได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สามารถให้บริการได้ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ การจดทะเบียนประเภทนี้ จะต้องวางเงินเพื่อเป็นหลักประกันจำนวน 200,000 บาท ที่สำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้ว จะได้เลขทะเบียนที่มีเลข 11/xxxxx นำหน้า (เหมาะสำหรับธุรกิจนำเที่ยวขนาดใหญ่ที่ให้บริการครบทุกความต้องการ)
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว
1. ทำไมถึงต้องวางเงินประกัน?
เพราะเงินประกันที่นำมาวางนั้น จะถูกนำมาใช้หากเกิดความผิดพลาด ความเสียหายจนเป็นเหตุให้ถูกฟ้องร้องจากนักท่องเที่ยว ถ้าหากว่าสิ้นสุดการฟ้องร้อง แล้วบริษัทไม่ได้ชดใช้ให้กับนักท่องเที่ยวตามที่กฎหมายกำหนด สำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ที่เป็นฝ่ายเก็บเงินหลักประกันไว้ จะเป็นผู้นำเงินประกันนั้น ๆ มาชดใช้ให้กับนักท่องเที่ยวแทน
2. การต่อใบอนุญาต
จะต้องทำการต่อใบอนุญาตทุก ๆ 2 ปี เพื่อรักษาสถานภาพใบอนุญาตประกอบธุรกิจท่องเที่ยวไว้อยู่เสมอ (ถึงแม้ว่าจะหยุดทำกิจการไปชั่วคราวก็ตาม) โดยค่าธรรมเนียมในการขอต่อใบอนุญาต มีราคา 1,000 บาท ดังนั้นผู้ที่ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว จึงควรต่อใบอนุญาตตามกำหนดเสมอ เพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่อง และไม่มีปัญหาตามมาในภายหลัง
3. ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว และใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ ไม่เหมือนกัน
ถ้าหากว่าทำธุรกิจ โดยที่ไม่ได้เป็นผู้นำเที่ยว หรือเป็นมัคคุเทศก์เอง ก็สามารถใช้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวอย่างเดียวได้ แล้วจ้างมัคคุเทศก์ที่มีบัตรอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์อย่างถูกต้องให้ทำหน้าที่แทน แต่ถ้าเป็นผู้นำแขกไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ก็จะต้องมีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ (บัตรไกด์) ควบคู่ไปด้วย มิเช่นนั้นอาจจะถูกจำคุกหรือถูกปรับเนื่องจากมีการกระทำผิดทางกฎหมาย ดังนั้นหากประกอบธุรกิจนำเที่ยวในลักษณะแบบนี้ ก็ควรขอใบอนุญาตทั้งการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและการเป็นมัคคุเทศก์ควบคู่กันไปด้วย
4. หากต้องการขายทัวร์ในอินเตอร์เน็ต
จะต้องขอใบอนุญาตนำเที่ยวแบบอินบาวด์ (ประเภทที่ 3) ขึ้นไปเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีความตั้งใจที่จะขายทัวร์ให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่การขอใบอนุญาตนำเที่ยวในประเทศ (Domestic) จะสามารถขายได้แบบตั้งโต๊ะเท่านั้น ไม่สามารถขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้
บทลงโทษกรณีไม่ได้ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว
กรณีที่ประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่มีใบอนุญาต จะมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 คือ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท ในรายที่มีการกระทำผิดพรบ.บางมาตรา เช่น มาตรา 30 ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจะเรียกเก็บค่าบริการอื่นใดนอกจากที่ระบุไว้ตามคำโฆษณาหรือที่ตกลงกันล่วงหน้าไม่ได้ หากฝ่าฝืนอาจมีโทษถึงขั้นพักใบอนุญาต หรืออาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวได้ ส่วนกรณีที่กระทำการเป็นมัคคุเทศก์ โดยที่ไม่มีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ จะมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 คือ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องให้ความใส่ใจ ไม่ควรละเลยเป็นอันขาด เพราะหากไม่มีใบอนุญาตก็ไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ และหากฝ่าฝืนก็จะต้องถูกลงโทษด้วยการจำคุกและปรับ ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่น้อย ดังนั้นควรขอใบอนุญาติให้เรียบร้อยก่อนจะดีที่สุด