งานก่อสร้างทุกประเภท หัวใจสำคัญของการก่อสร้างก็คือการเลือกใช้วัสดุ ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ช่างก่อสร้าง หรือตัวผู้ว่าจ้างเอง หากมีความรู้ความเข้าใจกี่ยวกับการเลือกซื้อหรือเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง ก็จะให้ได้งานที่ออกมาดีมีคุณภาพมีความมั่นคงถาวรและประหยัดงบประมาณได้มาก
วัสดุก่อสร้าง คืออะไร
คำว่า “วัสดุก่อสร้าง” หมายถึง อุปกรณ์เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยของมนุษย์ หรือเป็นวัสดุที่ใช้สำหรับก่อสร้างสิ่งต่างๆเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ เช่น อาคาร บ้าน สำนักงาน ที่รวมไปถึงสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ วัสดุก่อสร้างจะถูกออกแบบมาในลักษณะต่างๆทั้งรูปร่าง ขนาด และรูปแบบที่มีความแตกต่างกัน
การแบ่งประเภทของวัสดุก่อสร้าง
วัสดุก่อสร้างมีหลากหลายรูปแบบและหลายลักษณะ สามารถแบ่งแยกในหลายด้านหรือหลายประเภท เช่น แบ่งประเภทตามโครงสร้างทางวัตถุ แบ่งตามจุดประสงค์การใช้งาน หรือประเภทวัสดุที่ใช้เฉพาะด้านที่มีการจำเพาะเจาะจง
แบ่งตามประภทของวัสดุที่นำมาใช้กับการปลูกสร้าง
- วัสดุก่อสร้างทั่วไป ได้แก่
- หิน ดิน ทราย
- ไม้ ไม้อัด
- วัสดุก่อ อิฐ อิฐมอญ อิฐบล็อก กระเบื้อง
- เหล็ก เหล็กรูปพรรณ อะลูมิเนียม เหล็กกล้า เหล็กเส้น สลิง
- คอนกรีต คอนกรีตเสริมแรง คอนกรีตมวลเบา ปูน
- พลาสติก พอลิเมอร์
- ผ้า เชือก
- กระจก
- ยางมะตอย
- วัสดุก่อสร้างสำหรับมุงหลังคา ได้แก่
- สังกะสี ,กระเบื้องมุงหลังคา, เมทัลชีท
- วัสดุที่ใช้ปูพื้น ได้แก่
- กระเบื้องปูพื้น
- ปาเก้
- ไม้ปูพื้น
แบ่งประเภทตามลักษณะของวัตถุ
- ประเภทที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการก่อสร้าง ได้แก่ วัสดุก่อสร้างบ้าน ก่อสร้างประเภท หิน กรวด ทราย ซีเมนต์ หินปูน แร่ยิบซั่ม
- ประเภทวัสดุก่อสร้างบ้าน กึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ คอนกรีต ยางมะตอย เหล็ก อิฐบล็อก สีสำหรับทาทั้งภายนอก
- ประเภทผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ได้แก่ ระบบกรอบอาคาร ประตู หน้าต่าง แผ่นฟิล์มกันแสง เครื่องสุขภัณฑ์ อุปกรณ์ไฟฟ้า
วัสดุก่อสร้าง และลักษณะการใช้งาน
สำหรับงานก่อสร้าง นอกจากผู้เกี่ยวข้องจะต้องเรียนรู้หรือมีความรู้เกี่ยวกับประเภทของวัสดุก่อสร้างที่ต้องนำมาใช้เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ได้งานก่อสร้างคุณภาพและไม่สิ้นเปลืองงบประมาณแล้ว ควรรู้เรื่องราคา และลักษณะการใช้งานของวัสดุเหล่านั้นด้วย เช่น ปูนเทพื้น หรือปูนสำหรับฉาบผนัง ซึ่งงานก่อสร้างมีวัสดุพื้นฐานและลักษณะการใช้งาน ดังนี้
- ดิน เป็นวัสดุก่อสร้างพื้นฐาน ใช้สำหรับถมหรือปรับพื้นที่ในงานก่อสร้าง เช่นงานถมยกระดับบริเวณก่อสร้างอาคาร บ้าน หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ
- หิน คือ หินชนิดต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างบ้านที่พักอาศัย อาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ นอกจากนั้นยังมีหินประดับที่นำมาดัดแปลงขนาด หรือ รูปร่าง เพื่อนำมา ประดับรวมทั้งใช้ในการก่อสร้าง เพื่อความสวยงาม
- ทราย ที่ใช้เป็นวัสดุหลักในงานก่อสร้าง จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่ ทรายหยาบ ทรายกลาง ทรายละเอียด และทรายถม หรือ ทรายขี้เป็ด ซึ่งทรายแต่ละชนิดก็มีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน
- ไม้ เป็นวัสดุแข็งที่ทำจากแก่นลำต้นของต้นไม้ ส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้น โดยแบ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เต็ง ไม้แดง และไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้สัก ไม้ยางพารา หรือไม้ยูคาที่นำมาใช้ทำไม้แบบ
- อิฐ เป็นวัสดุก่อสร้างพื้นฐานสำหรับการก่อสร้างอาคารทั่วไป ทำจากทรายและดินเหนียว หรือทรายและหินแข็ง แบ่งออกเป็น อิฐมอญหรืออิฐดินเผา อิฐขาวหรืออิฐมอลเบา อิฐประดับ อิฐบล็อกหรือคอนกรีตบล็อก
วัสดุก่อสร้างที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นวัสดุจำเป็นพื้นฐานสำหรับใช้กับงานก่อสร้างที่ช่างก่อสร้าง ผู้รับเหมา หรือผู้ว่าจ้างควรมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง
บทที่ 1
บทนำ
คำนำ
ในการทำการก่อสร้างโครงการหนึ่งๆ มักเกี่ยวข้องกับองค์ความรู้หลาย ๆ ด้านด้วยกัน หนึ่งในองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างได้แก่ เทคโนโลยีก่อสร้างซึ่งมักเกี่ยวข้องกับ วิธีและขั้นตอนในการก่อสร้าง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสิ่งที่ทางสถาปนิกและวิศวกรเขียนอยู่ในแบบและรายการก่อสร้างให้เกิดเป็นสิ่งปลูกสร้างขึ้นมา ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทางผู้ที่จะทำการก่อสร้างโครงการเรียนรู้ถึงเทคโนโลยีก่อสร้างต่างๆ บทนี้อธิบายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง เพื่อให้ผู้อ่านคุ้นเคยกับงานก่อสร้าง ก่อนที่จะศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุและวิธีการก่อสร้างในบทต่อๆ ไป หัวข้อที่จะกล่าวถึงได้แก่ ผู้ที่เกี่ยวข้องในงานก่อสร้างอาคาร ชนิดของงานก่อสร้าง งานหลัก ๆ ในการก่อสร้างอาคาร วัสดุที่ใช้ในงานก่อสร้างอาคาร เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร และ วิธีการก่อสร้าง
โครงสร้างอุตสาหกรรมก่อสร้าง
แหล่งที่มาของงานก่อสร้างสามารถแบ่งใหญ่ ได้ 3 แหล่ง ได้แก่ งานจากภาคเอกชน รัฐวิสาหะกิจ และ ภาคราชการ งานในส่วนของภาคเอกชนแบ่งเป็น 2 ส่วนย่อย ๆ ได้แก่ งานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ งานที่ข้องกับทางธุรกิจ มักเกี่ยวข้องกับการลงทุนทางด้านธุรกิจมีการวิเคราะห์กำไรขาดทุน โดยที่งานก่อสร้างบางอย่างจำเป็นของการทำธุรกิจเช่น การสร้างโรงงาน หรืออาคารสำนักงานเพื่อเป็นที่ดำเนินธุรกิจ ในขณะที่งานบางอย่างเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นการสร้างเพื่อขายหรือเพื่อบริการ เช่น โรงงาน คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ บ้านจัดสรร โรงแรม รีสอร์ท ฯ ในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจได้แก่การก่อสร้างที่พักอาศัย
ในส่วนของรัฐวิสาหกิจการดำเนินงานจะคล้ายกับธุรกิจของเอกชน แต่การลงทุนมาจากรัฐบาลส่วนหนึ่งส่วนที่เหลือมาจากการหารายได้จากการขายบริการ งานก่อสร้างในส่วนรัฐวิสาหกิจมักเป็นการก่อสร้างโครงการที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหน่วยงานนั้นๆ เช่น งานก่อสร้างของการทางพิเศษ ได้แก่การสร้างทางด่วน เพื่อให้บริการ รายได้มาจากการเก็บเงินค่าผ่านทาง การท่าเรือได้แก่การก่อสร้างท่าเทียบเรือรายได้มาจากการเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าเช่าคลังเก็บสินค้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้แก่การก่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้า และระบบจ่ายไฟฟ้า รายได้มาจากการขายไฟฟ้า การประปา ได้แก่การก่อสร้างโรงกรองน้ำ การวางท่อเมนประปาโดยมีรายได้มาจากการขายน้ำประปา ฯ
งานก่อสร้างในส่วนของทางราชการมักเป็นการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค ไม่ใช่เป็นการแสวงหากำไร ตัวอย่างของหน่วยงานราชการ เช่น กรมทางหลวงซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน สะพาน กรมชลประทานทำการก่อสร้างเกี่ยวกับเขื่อนเพื่อการชลประทาน คลองส่งน้ำและโครงสร้างต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชลประทาน กรมโยธาธิการก่อสร้างถนน สะพาน ระบบระบายน้ำทิ้ง ในเขตเมือง ฯ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในการก่อสร้างมาจากงบประมาณแผ่นดิน รูปที่ 1.1 แสดงตัวอย่างของแหล่งที่มาของโครงการก่อสร้างในภาคต่างๆ
รูปที่ 1.1 โครงสร้างของอุตสาหกรรมก่อสร้าง
ชนิดของงานก่อสร้าง
- งานก่อสร้างโดยทั่วไปมักหมายถึง งานวิศวกรรมโยธาครอบคลุมงานก่อสร้าง ตั้งแต่งานก่อสร้างขนาดเล็กไปจนถึงงานก่อสร้างขนาดใหญ่ งานก่อสร้างสามารถแบ่งออกตามประเภทงานได้ดังนี้
- 1. งานอาคาร หมายถึง งานก่อสร้างที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ฐานราก เสา คาน พื้น กำแพง ประตู หน้าต่าง หลังคา รวมไปถึง งานระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ ระบบประปา ระบบสุขาภิบาล ระบบการตกแต่งภายใน ลิฟต์ และอุปกรณ์อาคารอื่น ๆ ตัวอย่างงานอาคาร เช่น งานก่อสร้างบ้าน ที่ทำการ ศูนย์การค้า โรงแรม แฟลต โรงเรียน โรงงาน ฯ งานอาคารแบ่งเป็นประเภทย่อย ๆ ได้ดังนี้
อาคารสูง หมายถึง อาคารที่สูงที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษในการก่อสร้าง เช่น ปั้นจั่น ลิฟต์ นั่งร้านสำหรับแบบหล่อคอนกรีต เป็นต้น
อาคารสำเร็จรูป หมายถึงอาคารที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งอาจทำจากคอนกรีตหรือเหล็ก โดยทั่วไปจะทำจากโรงงาน การประกอบอาคารมักจะใช้ เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการยกติดตั้ง
บ้านพักอาศัย อาคารประเภทนี้เป็นงานขนาดเล็กและเบา โดยทั่วไปจะมีความสูง 1 ถึง 2 ชั้น
อาคารที่พักพิงชั่วคราว ได้แก่ที่พักคนงานหรือสถานที่ทำการชั่วคราว เพื่อการบริหารโครงการ
- 2. งานวิศวกรรมโยธา (Civil Engineering work) ได้แก่ งานถนน ทางหลวง สะพาน งานวางท่อประปา งานฐานราก งานอาคารใต้ดิน งานเขื่อน งานระบบน้ำเสีย งานก่อสร้างท่าเทียบเรือ สนามบิน ฯ ลักษณะงานโยธาที่น่าสังเกตคือ เป็นงานที่ต้องใช้เครื่องจักรหนัก เป็นปัจจัยหลักในการทำงาน มีปริมาณงานมาก และขอบเขตพื้นที่ปฏิบัติงานกว้าง หรือลึก หรือทั้งกว้างและลึก ลักษณะของแรงหรือพลังงานในรูปแรงอัด แรงสั่นสะเทือน แรงเหวี่ยง แรงดัน แรงกระแทก แรงกระทบ ฯ
- 3. โรงงานอุตสาหะกรรม และงานโรงไฟฟ้า (Process and Power Plant) งานประเภทนี้มักเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต เช่น โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปีโตเคมี โรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานแยกแร่และแต่งแร่ สถานีไฟฟ้าย่อย โรงงานโม่หิน ฯ ค่าก่อสร้างส่วนใหญ่จะเป็นค่าสร้างระบบเพื่อให้โรงงานสามารถทำการผลิตได้
- 4. งานก่อสร้างอื่น ๆ นอกเหนือไปจากงาน 3 ประเภทแรก เช่น
งานก่อสร้างแท่นเจาะสูบก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบในทะเล
งานรื้อถอน (Demolition) จัดเป็นงานก่อสร้างแขนงหนึ่ง ช่างและแรงงานที่เกี่ยวข้องในงานด้านนี้ต้องเป็นผู้ชำนาญงานหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานรื้อถอนที่อยู่ในย่านเขตชุมชนที่เป็นอาคารสูง หรือเป็นโรงงานสารเคมี งานรื้อถอนมักจะมีลำดับในการทำงานตรงข้ามกับงานก่อสร้าง เช่น งานรื้อถอนมักจะทำจากสูงลงมาต่ำ แต่งานก่อสร้างจะต้องทำจากล่างขึ้นไปข้างบน
อย่างไรก็ตามในโครงการก่อสร้างหนึ่ง ๆ อาจประกอบด้วยงานก่อสร้างหลายชนิดด้วยกัน เช่น โครงการก่อสร้างโรงแรมริมแม่น้ำ นอกเหนือจากตัวอาคารแล้วอาจมีโครงสร้างของเขื่อนกันดินริมฝั่งแม่น้ำ ถนนและที่จอดรถภายในโครงการ การจัดสวน ระบบระบายน้ำ โครงสร้างฐานราก และชั้นใต้ดิน ฯ โครงการก่อสร้างเขื่อน นอกเหนือจากการสร้างเขื่อนแล้ว ก็มักจะมีการสร้างอาคารที่ทำการ อาคารซ่อมบำรุง ฯ โครงการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมัน นอกเหนือจากการติดตั้งระบบเครื่องมือและอุปกรณ์ในการกลั่นแล้ว ยังต้องมีการก่อสร้าง ถนนภายในโครงการ อาคารต่างๆ เช่นอาคารควบคุม สถานีไฟฟ้าย่อย อาคารซ่อมบำรุง ระบบระบายน้ำในโครงการ ฯ การเดินท่อต่างๆ รูปที่ 1.2 แสดงตัวอย่างของงานก่อสร้างชนิดต่างๆ
- รูปที่ 1.2 ชนิดของงานก่อสร้าง
ผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการก่อสร้าง
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการก่อสร้าง สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ ด้วยกันซึ่งทำงานประสานกัน กลุ่มต่างๆ เหล่านี้ได้แก่ เจ้าของ ผู้ออกแบบ และผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยที่แต่ละกลุ่มมีหน้าที่หลักๆ ดังต่อไปนี้
เจ้าของ
เป็นผู้ที่ทำให้เกิดงานหรือโครงการขึ้น และเป็นผู้ที่จ่ายเงินให้แก่ผู้ออกแบบและผู้รับเหมาก่อสร้าง หน้าที่หลัก ๆ ของเจ้าของงานพอสรุปได้ดังต่อไปนี้
รับผิดชอบในการระบุรายละเอียดและข้อกำหนดต่างๆให้แก่โครงการ เช่น ความต้องการในการใช้อาคาร ปริมาณน้ำมันดิบต่อวันที่จะต้องกลั่น ปริมาตรก๊าซที่จะต้องส่งตามท่อในหนึ่งชั่วโมง ปริมาณเหล็กเส้นที่จะต้องผลิตต่อวัน ฯ
กำหนดว่าจะเกี่ยวข้องกับโครงการในระดับใด เช่น กระบวนการตรวจทาน (Review Process) รายละเอียดของรายงานต่างๆ ที่ต้องการ (Required reports) ระดับต่างๆที่จะอนุมัติ (Levels of Approval)
รับผิดชอบในการกำหนดปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกับต้นทุนโดยรวม การจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ กำหนดเวลาของงานหลัก (Major Milestones) และวันสิ้นสุดโครงการ
ผู้ออกแบบ
ประกอบด้วย สถาปนิก และวิศวกรด้านต่างๆ เป็นผู้ที่แปลความต้องการของเจ้าของให้อยู่ในรูปของแบบรูปและรายการข้อกำหนด เพื่อให้ผู้รับเหมาก่อสร้างสามารถทำการก่อสร้างได้ตามที่เจ้าของต้องการ โดยทั่วไปมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
- รับผิดชอบในการคำนวณออกแบบทางเลือกต่างๆ
จัดทำแบบรูป และรายการข้อกำหนดตามความต้องการของเจ้าของ
การออกแบบต้องทำตามบทบัญญัติ ข้อกำหนด และมาตรฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
การออกแบบต้องมีกำหนดเวลาที่สอดคล้องกับกำหนดเวลาหลักของเจ้าของ และกำหนดเวลาในการก่อสร้างของผู้รับเหมา
- 3. ตรวจงาน ก่อสร้างเป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม
- 4. ตรวจแบบรายละเอียดก่อสร้าง (Shop drawing)
- 5. ประมาณราคาค่าก่อสร้างคร่าวๆให้แก่ทางเจ้าของงาน เพื่อใช้ในการตัดสินใจ
- 6. ให้คำปรึกษาเมื่อเกิดปัญหาใด ๆ ขึ้นในระหว่างการก่อสร้าง
- 7. กลั่นกรองการขออนุมัติใช้วัสดุจากผู้รับเหมา
การออกแบบจะมีผลกระทบต่อคุณภาพและราคาค่าก่อสร้างอย่างมาก ดังนั้นผู้ออกแบบต้องทำงานประสานกับฝ่ายเจ้าของงานอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะสามารถออกแบบให้ตรงกับความต้องการของทางเจ้าของงานให้มากที่สุด
ผู้รับเหมาก่อสร้าง
มีหน้าที่ทำงานให้เป็นไปตามเอกสารสัญญาซึ่งประกอบไปด้วย แบบรูป รายการข้อกำหนด ขอบเขตงาน และเงื่อนไขสัญญาอื่นๆ ขั้นตอนก่อสร้างเป็นขั้นตอนที่สำคัญค่อนข้างมากเพราะมีผลต่อ งบประมาณ ระยะเวลาก่อสร้าง ที่อาจจะบานปลายได้ อีกทั้งการใช้งานโครงการและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษามีผล อย่างมากจากคุณภาพของงานที่ทำในระหว่างการก่อสร้าง
ผู้รับเหมาจะต้องประมาณราคาโครงการให้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด จัดทำกำหนดเวลาทำงานให้เป็นไปได้ จัดระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพสำหรับควบคุมต้นทุน กำหนดเวลา และคุณภาพงาน
รูปที่ 1.3 ฝ่ายหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้าง
นอกเหนือจาก 3 กลุ่มหลัก ๆ นี้ ในการทำงานโครงการก่อสร้างอาจมีกลุ่มหรือตัวแทนในการดูแลงานให้แก่เจ้าของโครงการ สำหรับในกรณีที่ทางเจ้าของโครงการไม่ค่อยมีเวลา หรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการโครงการก่อสร้างหรือการควบคุมงานก่อสร้าง กลุ่มต่างๆ และหน้าที่ของกลุ่มต่างๆ พอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้
ผู้บริหารโครงการก่อสร้าง
ผู้บริหารโครงการก่อสร้างเป็นหน่วยงานขนาดย่อม มีวิศวกรหรือสถาปนิก เศรษฐกร ผู้ประมาณราคา ช่างเขียนแบบ ฯ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับเจ้าของโครงการตั้งแต่เริ่มต้นจนงานก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยทั่วไปมีหน้าที่ช่วยเจ้าของงานในด้านต่างๆ ดังนี้
- ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการทั้งทางด้านเทคนิควิศวกรรมและทางด้านการเงิน
คัดเลือกผู้ออกแบบโครงการ
ทำการประมาณราคาอย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การประมาณอย่างหยาบจนถึงการประมาณราคาอย่างละเอียด
ให้คำปรึกษาแก่ผู้ออกแบบในฐานะที่ปรึกษาของเจ้าของโครงการ
ควบคุมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง กำหนดเวลาก่อสร้าง ให้เป็นไปตามที่กำหนด
ทำการคัดเลือกผู้รับเหมาขั้นแรก (Pre-qualification)
ร่างเอกสารประกวดราคาและเอกสารประกอบสัญญา
ดำเนินการประกวดราคา ต่อรองราคา และการเซนต์สัญญา
ควบคุมงานก่อสร้าง (ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับทางเจ้าของงาน)
เป็นผู้ประสานงานของทุกฝ่าย รับและจ่ายเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้างที่ตนรับผิดชอบอยู่
จะเห็นได้ว่าผู้บริหารโครงการมีหน้าที่เกือบทุกชนิดยกเว้นการออกแบบและการแก้ไขแบบเท่านั้น ดังนั้นผู้บริหารโครงการมีส่วนที่จะทำให้ค่าก่อสร้างถูกหรือแพงและดีหรือไม่ดี
ผู้ควบคุมงานก่อสร้าง
ผู้ควบคุมงานก่อสร้างคือผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบในระหว่างการก่อสร้าง เพื่อดูว่างานนั้นเป็นไปตามแบบรูปและข้อกำหนดตามสัญญาข้อตกลงการว่าจ้างระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง เป็นผู้ที่คุ้มครองผลประโยชน์ของเจ้าของงาน ขอบเขตหน้าที่ และความรับผิดชอบมักเน้นทางด้านเทคนิควิศวกรรม ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
- เป็นตัวแทนเจ้าของงานทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพของงานจากผู้รับเหมาในระหว่างการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบรูปและข้อกำหนดในรายการก่อสร้างและเงื่อนไขใด ๆ ที่ระบุไว้ในสัญญาก่อสร้าง
- ควบคุมคุณภาพของงานในองค์กรของตัวเองให้เป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้
- ป้องกันความวิบัติทางธุรกิจอันอาจเกิดจากความผิดพลาดในการทำงานที่ทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์สิน
- ป้องกันความวิบัติอันอาจจะเกิดแก่ชีวิตและทรัพย์สินที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความผิดพลาด ประมาท ความเข้าใจผิด หรือความไม่รับผิดชอบของผู้ทำงาน
- เป็นผู้ที่ทำให้งานสำเร็จได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
อย่างไรก็ตาม ขอบเขตความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายมักจะขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถและ ประสบการณ์ของแต่ละกลุ่มหลัก ทั้งนี้ในการทำงานแต่ละโครงการควรมีการระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ้ำซ้อน หรืองานที่ไม่มีคนทำ (สำหรับการกำหนดขอบเขตและหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการก่อสร้างสามารถดูได้จาก หนังสือ ขอบเขตและหน้าที่การให้บริการวิชาชีพ การบริหารงานก่อสร้าง ว.ส.ท. 2540)
งานหลักๆ ในการก่อสร้างอาคาร
ในการทำการก่อสร้างอาคารพอจะแบ่งงานเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ งานอาคาร งานสาธารณูปโภค และงานปรับปรุงพื้นที่ สำหรับงานสาธารณูปโภคและงานปรับปรุงพื้นที่ มักจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ขนาดและชนิดของโครงการ สำหรับงานอาคารโดยทั่วไปแล้วจะมีองค์ประกอบของงานที่คล้าย ๆ กัน
งานสาธารณูปโภค ได้แก่ ระบบระบายน้ำฝนในบริเวณก่อสร้าง ระบบระบายน้ำทิ้ง ระบบไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ภายนอกอาคาร ฯ งานปรับปรุงพื้นที่ได้แก่ ถนนภายในโครงการ ที่จอดรถและทางเท้า รั้วและประตู งานภูมิสถาปัตย์ งานปรับพื้นที่ เป็นต้น
งานอาคาร แบ่งเป็นงานโครงสร้าง งานสถาปัตย์กรรม และงานระบบภายในอาคาร โดยที่ แต่ละงานสามารถแบ่งเป็นงานย่อยๆ ได้ดังต่อไปนี้
งานโครงสร้าง
- งานโครงสร้างใต้ดิน ประกอบด้วย งานดิน (Earth work)ได้แก่ งานขุด งานถม ระบบป้องกันดินพัง งานเสาเสาเข็ม (Piling work) ได้แก่ เข็มคอนกรีต เข็มเหล็ก เข็มไม้ เข็มพืด slurry wall และงานฐานรากอาคาร เป็นต้น
- งานโครงสร้างเหนือพื้นดิน (Super structure work) ได้ประกอบด้วยการก่อสร้าง เสา คาน พื้น หลังคา ผนัง บันได เป็นต้น
งานสถาปัตย์กรรม
- งานหลังคา (Roofing) เช่น กระเบื้องลอนคู่ กระเบื้องมอร์เนียร์ กระเบื้องดินเผา หลังคาสังกะสี แผ่นโลหะ กระเบื้องลูกฟูก เป็นต้น
- งานฝ้าเพดาน (Ceiling) เช่นฝ้า ยิปซั่ม ระแนงไม้ ระแนงอลูมิเนียม กระเบื้องกระดาษ
- งานตกแต่งพื้น (Floor) เช่น พื้น หินขัด ปาร์เก้ กระเบื้องเคลือบ กระเบื้องยาง หินอ่อน บัวผนัง พื้นขัดมัน พื้นขัดหยาบ เป็นต้น
- งานผนัง (Wall) เช่น คอนกรีต อิฐ โครงคร่าวกับยิปซั่มบอร์ด ผนังไม้ หินอ่อน กระเบื้องเคลือบ wall paper เป็นต้น
- งานประตู หน้าต่าง (Doors & windows): เช่น หน้าต่าง ไม้ เหล็ก อลูมิเนียม อุปกรณ์ประตูหน้าต่าง เป็นต้น
- บันได (Stair) ประกอบด้วยราวบันไดไม้ เหล็ก ลูกกรงไม้ เหล็ก จมูกบันได เป็นต้น
- สุขภัณฑ์ (Sanitary wares) ได้แก่ ชักโครก โถปัสสาวะ ที่ใส่กระดาษชำระ ที่ใส่สบู่ ราวแขวนผ้า ฝักบัว สายยางชำระ อ่างล่างหน้า อ่างอาบน้ำ เป็นต้น
งานระบบภายในอาคาร
- งานระบบสุขาภิบาล (Sanitary works) ได้แก่การเดินท่อชนิดต่างๆ เช่น ท่อเหล็ก ท่อ PVC ปัมพ์น้ำ แทงค์น้ำ ระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น
- งานวิศวกรรมเครื่องกล (Mechanical works) ประกอบด้วย ระบบปรับอากาศ ระบบทำน้ำร้อน น้ำเย็น ลิฟต์ บันไดเลื่อน เป็นต้น
- งานวิศวกรรมไฟฟ้า (Electrical work) ประกอบด้วย ระบบควบคุม ระบบแสงสว่าง ระบบป้องกันฟ้าผ่า ระบบสื่อสารในอาคาร ระบบสัญญาณเตือนภัยต่าง ๆ เป็นต้น
รูปที่ 1.4 แสดงถึงงานหลัก ๆ ในการก่อสร้างอาคาร นอกเหนือจากนี้ยังมีงานที่จำเป็นต้องทำแต่ไม่ได้ระบุในแบบและรายการก่อสร้าง ซึ่งได้แก่งานชั่วคราว (Temporary works) ต่าง ๆ ได้แก่ งานวางผังอาคาร สำนักงานสนาม โรงเก็บวัสดุ ถนนชั่วคราว สาธารณูปโภคชั่วคราว และ งานแบบหล่อ (Formwork) ซึ่งอาจเป็นแบบหล่อ ไม้ เหล็ก ไม้อัด หรือเป็นระบบแบบหล่อพิเศษ เช่น แบบเลื่อน (Slip form) แบบไต่ (Climbing form) หรือ แบบเคลื่อนที่ (Travelling form) เป็นต้น
วัสดุที่ใช้ในงานก่อสร้างอาคาร
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารพอจะจำแนกเป็นประเภทใหญ่ ๆได้ 2 ประเภท ได้แก่
วัสดุพื้นฐาน (Basic Materials)
ได้แก่วัสดุที่เป็นฐานในการผลิตวัสดุอื่น ๆ เพื่อใช้ในการก่อสร้าง เช่น เหล็ก อลูมิเนียม ไม้ กรวด หิน ทราย ซีเมนต์ พลาสติก กระจก เป็นต้น
วัสดุผลิตภัณฑ์
ได้แก่วัสดุที่ผ่านกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเพื่อใช้ในการก่อสร้าง เช่น คอนกรีตสำเร็จรูป อิฐ เหล็กรูปพรรณ เหล็กเสริมคอนกรีต ลวดเหล็กอัดแรง ไม้แปรรูป ชิ้นส่วนสำเร็จรูปที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ ชิ้นส่วนสำเร็จรูปหลังคา ผนังภายในอาคาร วงกบประตู หน้าต่าง วัสดุงานตกแต่งพื้น ผนัง ฝ้าเพดาน หลังคา เป็นต้น
เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร
เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารสามารถแบ่งได้ดังต่อไปนี้
- งานดิน ได้แก่ รถแทรกเตอร์ (Tractors) รถตัก (Loader), power shovel, ปั้นจั่นแบบขุดลาก(Drag line), ปั้นจั่นขุดแบบกาบหอย (Clamp shell), รถขุด (Back hoe) , รถบรรทุก (truck) รถเกลี่ยดิน (grader) เป็นต้น
- งานขนส่งในงานก่อสร้าง เช่น รถเข็น รถขน-เทวัสดุ รถยก รถบรรทุก รอก สายพานลำเลียง ปั้นจั่น เป็นต้น
- งานคอนกรีต เช่น โรงผสมคอนกรีต โม่ผสมคอนกรีต รถคอนกรีตผสมเสร็จ รถขนเทวัสดุ สายพานลำเรียง ถังหิ้วคอนกรีต ถังพักคอนกรีต รางเทคอนกรีต เครื่องสูบคอนกรีต เครื่องสั่นคอนกรีต เครื่องยิงคอนกรีต แบบเลื่อน แบบไต่ เป็นต้น
- งานไม้ เช่น เลื่อย สิ่ว สะหว่านเจาะรู เครื่องไสไม้ เป็นต้น
- งานโลหะ เช่น เลื่อย สว่าน เครื่องเชื่อม เป็นต้น
วิธีการก่อสร้าง
ในการก่อสร้างอาคารสามารถที่จะแบ่งวิธีที่ใช้ในการก่อสร้างได้เป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภทได้แก่
การก่อสร้างอาคารโดยทั่วไป
การก่อสร้างโดยทั่ว ๆ ไปโดยใช้วิธีการก่อสร้างที่ธรรมดาไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษในการก่อสร้าง โดยทั่วไปมักประกอบด้วยงานต่างๆ ดังต่อไปนี้
- การวางผัง ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างชั่วคราว
- งานโครงสร้างใต้ดิน ได้แก่ งานเสาเข็ม และ ฐานราก
- โครงสร้างเหนือพื้นดิน ได้แก่ การก่อสร้าง เสา คาน พื้น บันได ผนัง หลังคา
- งานตกแต่งอาคาร พื้น ผนัง ฝ้าเพดาน หลังคา การติดตั้งประตู หน้าต่าง อุปกรณ์อาคารต่าง ๆ
- งานระบบอาคาร เช่น ระบบงานวิศวกรรมไฟฟ้า เครื่องกล สุขาภิบาล เป็นต้น
- งานที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคภายนอกอาคาร
ในการก่อสร้างจริงในสนามควรต้องมีการประสานกันของงานแต่ละระบบ สำหรับรายละเอียดของขั้นตอนการก่อสร้างจะกล่าวภายหลัง
งานก่อสร้างที่มีลักษณะพิเศษ
ในการทำงานก่อสร้างบางครั้งมีการคิดเทคนิคใหม่ๆ เพื่อให้งานก่อสร้างทำได้เร็วขึ้น ลดค่าใช้จ่าย หรือสามารถควบคุมคุณภาพได้ดีขึ้น เทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในงานก่อสร้างอาคารเช่น
งานก่อสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูปขนาดใหญ่
งานก่อสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูปเป็นวิธีการก่อสร้างที่จะหล่อชิ้นส่วนของอาคารก่อนที่จะนำไปติดตั้ง เป็นเทคนิคที่ช่วยให้งานก่อสร้างประหยัดและเสร็จเร็วขึ้น แต่มีข้อจำกัดคือขนาดของชิ้นส่วนจะถูกจำกัดด้วยเครื่องมือที่ใช้ในการขนส่งและติดตั้ง รอยต่อของชิ้นส่วนจะต้องถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อให้สามารถถ่ายแรงระหว่างชิ้นส่วนเพื่อให้ได้ระบบโครงสร้างที่สมบูรณ์
งานระบบอัดแรง
งานระบบอัดแรง (Prestress) เป็นระบบที่ใส่แรงเข้าไปในโครงสร้างก่อนเพื่อต้านทานน้ำหนักบรรทุกที่จะเกิดขึ้น มี 2 ระบบคือ ระบบอัดแรงก่อนและระบบอัดแรงทีหลัง
แบบเลื่อน
แบบเลื่อน (Slip form)เป็นระบบแบบหล่อที่จะเลื่อนไปขณะเทคอนกรีตเหมาะสำหรับโครงสร้างที่มีขนาดสม่ำเสมอ มี 2 ระบบคือแบบเลื่อนในแนวราบใช้กับงานก่อสร้างถนนคอนกรีต และแบบเลื่อนในแนวดิ่งใช้ก่อสร้าง ปล่องลิฟต์ ไซโล ปล่องควันฯ
Heavy lifting
การก่อสร้างวิธีนี้เป็นการก่อสร้างโดยประกอบชิ้นส่วนโครงสร้างที่มีขนาดใหญ่ในสถานที่ก่อสร้างแล้วใช้แม่แรงยกชิ้นส่วนขึ้นไปประกอบเป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์
Gunite/Shotcrete
Gunite หรือ Shotcrete เป็นการใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายปืนฉีดน้ำ ฉีดพ่นคอนกรีตไปบนที่รองรับ วิธีการก่อสร้างแบบนี้มักใช้กับการก่อสร้างโครงสร้างคอนกรีตบางอย่างเช่น หลังคาโครงสร้างเปลือกบาง โดยคอนกรีตจะถูกพ่นไปบนเหล็กเสริมที่มีลวดตะแกรงผูกอยู่เพื่อเป็นตัวยึดคอนกรีต หรือใช้กับการซ่อมแซมคอนกรีตที่เป็นโพรง เพราะการอัดฉีดเข้าไปด้วยแรงดันสูงจะทำให้คอนกรีตที่พ่นลงไปมีเนื้อแน่น
Pumpcrete
Pumpcrete เป็นการเทคอนกรีตโดยใช้ปัมพ์ เหมาะสำหรับการเทคอนกรีตที่มีปริมาณมาก เพราะอัตราการเทจะเร็วมากทำให้งานก่อสร้างเสร็จเร็ว หรือใช้เทคอนกรีตที่อยู่ในที่สูงหรือไกลจากที่เทมาก
Tremie
Tremie เป็นวิธีการเทคอนกรีตใต้น้ำโดยใช้ท่อเหล็กที่จมอยู่ในคอนกรีตที่เทตลอดเวลาเป็นตัวดันคอนกรีตที่เทไปก่อนแล้วขึ้นข้างบน ทำให้คอนกรีตส่วนที่เททีหลังไม่สัมผัสกับน้ำ
Top-down construction
การก่อสร้างชนิดนี้เป็นการก่อสร้างโครงสร้างอาคารที่แบ่งระบบโครงสร้างเป็น 2 ส่วน ส่วนที่เหนือดินและส่วนที่อยู่ใต้ดิน โดยการก่อสร้างจะทำการก่อสร้างไปเกือบพร้อมๆ กัน เหมาะสำหรับการก่อสร้างในสถานที่แคบแต่ต้องการความรวดเร็ว โครงสร้างใต้ดินจะเป็นผนังกันดินไปในตัว (Diaphragm wall )
การก่อสร้างสลับชั้น
การก่อสร้างสลับชั้นเป็นการก่อสร้างโครงสร้างอาคารสูงโดยทำงานโครงสร้างชั้นเว้นชั้นหรือชั้นเว้นสองชั้น หลังจากที่โครงสร้างพื้นชั้นที่ทำไปแล้วสามารถรับน้ำหนักได้ด้วยตัวเอง และถอดค้ำยันออกแล้ว จึงทำการก่อสร้างโครงสร้างของพื้นชั้นที่เว้นไว้ วิธีนี้เป็นเทคนิคในการเร่งงานก่อสร้างชนิดหนึ่งเพราะสามารถทำงานขนานกันไปพร้อม ๆ กันทำให้สามารถลดระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างได้ แต่มีข้อระวังคือ รอยต่อของเสากับโครงสร้างพื้นที่เว้นไว้ต้องออกแบบและก่อสร้างให้สามารถถ่ายแรงระหว่างกันได้
กลับ