นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสววรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ปีที่แล้ว กรมศิลปากรซึ่งเป็นหน่วยงานหลักทีเก็บรักษาและสืบทอดศิลปะทุกแขนงประเทศก็กลายเป็นหน่วยงานหลักที่ต้องรับผิดชอบโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนชีวิตข้าราชการกรมศิลปฯทุกคน นั่นคือการจัดสร้างพระเมรุมาศ องค์ประกอบ และรายละเอียดนับหมื่นรายการสำหรับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เพื่อให้งดงามศพพระเกียรติตามโบราณราชประเพณี
และหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่เป็นหน้าที่ของอาจารย์พิจิตร นิ่มงาม นายช่างศิลปกรรมอาวุโส และทีมงาน จากสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ก็คือการจัดสร้าง “พระโกศจันทน์” และ “พระหีบจันทน์” งานที่อาจารย์พิจิตร ผู้ซึ่งเพิ่งเกษียณอายุราชการในปีนี้ แต่ยังคงทำงานอยู่เพื่อในหลวงอันเป็นที่รักจนกว่างานพระราชพิธีฯ จะเสร็จสิ้น กล่าวกับเราว่า “ภูมิใจที่สุดที่ได้ทำถวาย... แต่ไม่มีความยินดีเลย”
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok
พระโกศจันทน์ ปรากฏอยู่ในเอกสารจดหมายเหตุว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายชั้นสูงมาตั้งแต่โบราณกาล โดยตามโบราณราชประเพณี พระศพและพระบรมศพจะถูกบรรจุในพระโกศชั้นใน ครอบด้วยพระโกศอิสริยยศ ประดับตกแต่งด้วยวัตถุมีค่าอย่างสมพระเกียรติ โดยในขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะถวายพระเพลิงบนพระจิตกาธาน พระโกศอิสริยยศชั้นนี้จะถูกเปลื้องออกและเปลี่ยนครอบด้วยพระโกศจันทน์ ซึ่งสร้างจากไม้จันทน์หอมสลักตัดแต่งอย่างวิจิตรบรรจงตามจิตนาการของผู้ออกแบบในแต่ละยุคสมัยให้สมพระเกียรติ พระโกศไม้จันทน์นี้จะถูกเผาไปพร้อมกับพระโกศชั้นใน การใช้ไม้จันทน์หอมสำหรับพระโกศที่ต้องไหม้ไฟในชั้นสุดท้ายนี้ ก็เพื่อให้กลิ่นหอมตามธรรมชาติของไม้จันทน์กลบกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในระหว่างการเผาไหม้ และเนื่องจากถูกเผาไหม้ไปพร้อมกับพระบรมศพ จึงไม่มีพระโกศจันทน์ในสมัยโบราณหลงเหลือถึงปัจจุบัน ต่างกับพระโกศทองใหญ่ พระโกศอิสริยยศที่ตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
อย่างไรก็ดี เมื่อครั้งงานพระราชทานเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชีนีในรัชการที่ 7 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริว่าควรเก็บพระโกศจันทน์ไว้เพื่อเป็นตัวอย่างเชิงการศึกษาและประวัติศาสตร์แก่คนรุ่นหลัง ประกอบกับวิทยาศาสตร์ในการดูแลพระศพได้พัฒนาจนไม่ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ขณะเผาไหม้ ไม่มีความจำเป็นต้องเผาไม้จันทน์เป็นจำนวนมากอีกต่อไป จึงมีการฉีดน้ำเลี้ยงพระโกศจันทน์ไว้เพื่อมิให้ไหม้ไฟ นับแต่นั้นจึงกลายเป็นคตินิยมในงานพระราชพิธีพระศพในกาลต่อมาที่จะเก็บพระโกศจันทน์ และพระหีบจันทน์ (ถ้ามี) ไว้ให้แก่ชนรุ่นหลัง
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok
เมื่อครั้งงานพระบรมศพสมเด็จย่า สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อปี พ.ศ. 2538 มีการปรับเปลี่ยนพระราชนิยมการพระศพอย่างหนึ่งคือมีการจัดสร้างพระหีบเพื่อบรรจุพระบรมศพฯ ในขณะทีพระโกศยังคงมีอยู่เพื่อตั้งเป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศ จึงมีการจัดสร้างพระหีบจันทน์เพิ่มเติมครั้งงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิสาสราชนครินทร์ ที่มีการบรรจุพระศพลงในพระหีบแทนที่จะเป็นพระโกศ ก็มีการจัดสร้างพระหีบจันทน์ด้วยเช่นกัน
สำหรับงานพระราชทานเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็ยังใช้ธรรมเนียมเช่นเดียวกับพระชนนีและพระเชษฐภคินี คือมีการจัดสร้างทั้งพระโกศจันทน์และพระหีบจันทน์ ซึ่งออกแบบโดยนายช่างศิลปกรรม สำนักช่างสิบหมู่ นายสมชาย ศุภลักษณ์อำไพพร โดยนอกเหนือจากลวดลายดอกไม้มงคล ยังเป็นครั้งแรกที่มีการออกแบบให้พระโกศประดับด้วยเทพพนม 64 องค์เพื่อถวายความเคารพแก่พระบรมศพฯ และออกแบบให้พระหีบจันทน์ประดับด้วยครุฑ 132 ตน โดยตามคติความเชื่อโบราณ ครุฑคือพาหนะของพระนารายน์ จึงเปรียบเสมือนเป็นพาหนะนำพาพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งเปรียบเสมืออวตารของพระนารายณ์กลับสู่สรวงสวรรค์ ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่มีการออกแบบเพิ่มการปิดทองลงบนรายละเอียดบางส่วน เพื่อเพิ่มความงดงามให้สมพระเกียรติมากยิ่งขึ้น (ในอดีตใช้เพียงไม้จันทน์เพราะพระโกศจันทน์ต้องออกแบบให้ไหม้ในกองเพลิงได้ง่าย)
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok
อาจารย์พิจิตรและสองผู้ช่วยมือเอก ใช้ท้องพระโรงกรมศิลปากรเป็นที่ทำงานมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ใช้เวลากว่าแปดเดือนร่วมกับช่างฝีมือช่างสิบหมู่ และอาสาสมัครจากหลากหลายสาขาอาชีพกว่าร้อยคน กลั่นเอาความรักและความจงรักภักดีผ่านผลายนิ้วมือ ใบเลื่อย และอุปกรณ์งานช่าง แปรรูปท่อนไม้จันทน์ยืนต้นตายขนาดยักษ์จากอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้กลายเป็นแผ่นไม้ชิ้นเล็ก บางชิ้นบางเพียงแค่สองมิลลิเมตร กว่า 40,000 ชิ้น เพื่อประกอบรูปร่างขึ้นเป็นพระโกศจันทน์และพระหีบจันทน์ เครื่องประกอบอิสริยยศสุดท้ายตามโบราณราชประเพณีแห่งพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok
Sereechai Puttes/Time Out Bangkok
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระบรมโกศ , พระโกศ และ โกศ คือที่ใส่พระบรมศพ พระมหากษัตริย์ พระบรมราชินี และพระบรมวงศ์ กับโกศที่พระราชทานสำหรับศพข้าราชการผู้มีบรรดาศักดิ์สูง ตามคตินิยมของพราหมณ์ที่เชื่อว่า ต้องตั้งพระบรมศพ ,พระศพ และ ศพที่มีบรรดาศักดิ์สูง ในท่ายืน, นั่ง, คุกเข่า หรือกอดเข่าประสานมือ เพื่อส่งดวงพระวิญญาณ /วิญญาณกลับสู่สรวงสวรรค์[1][2] ในสมัยปัจจุบันโกศมักจะเป็นเพียงเครื่องยศเท่านั้นเพราะส่วนมากจะเชิญลงหีบ[ต้องการอ้างอิง]
ประเภท[แก้]
พระโกศเป็นภาชนะเครื่องสูงมีรูปทรงเป็นกรวยมียอดแหลม อาจแยกตามวัตถุประสงค์การใช้งานเป็น 2 ประเภทคือ พระโกศสำหรับทรงพระบรมศพหรือพระศพ และ พระโกศพระบรมอัฐิหรือพระอัฐิ ซึ่งพระโกศพระบรมศพมี 2 ชั้น คือชั้นนอกเรียกว่า "ลอง" ทำด้วยโครงไม้หุ้มทองปิดทอง ประดับกระจกอัญมณี และ ชั้นใน เรียก "โกศ" ทำด้วยเหล็ก ทองแดงหรือเงิน ปิดทอง ลองชั้นนอกใช้ประกอบปิดโครงชั้นในสำหรับลอง หรือ พระลอง ที่ประดับอยู่ภายนอกของโกศ ต่อมานิยมเรียกพระลอง เป็นพระโกศแทน จนเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน เช่น เรียกพระลองทองใหญ่ ว่าพระโกศทองใหญ่ เป็นต้น[3]
พระโกศและโกศแบ่งตามลำดับยศมีอยู่ 14 อย่าง ดังนี้[1]
ลำดับที่ 1 | พระโกศทองใหญ่ | - พระมหากษัตริย์ - พระอัครมเหสี - พระยุพราช / สยามมกุฎราชกุมาร / สยามบรมราชกุมารี - พระบรมราชชนก / พระบรมราชชนนี - พระบรมราชวงศ์ที่ทรงโปรดเกล้าพระราชทานเป็นพิเศษ | รัชกาลที่ 1 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลาย ทรง 8 เหลี่ยม หุ้มด้วยทองคำตลอดองค์ ประดับดอกไม้เอว ฝายอดมงกุฎ มีดอกไม้เพชรพุ่มข้าวบิณฑ์ประดับยอด มีดอกไม้ไหวประดับชั้นฝาพระโกศ และฝาพระโกศประดับเฟื่องและพู่เงิน |
ลำดับที่ 2 | พระโกศทองรองทรง (นับเสมอพระโกศทองใหญ่) | - พระมหากษัตริย์ - พระอัครมเหสี - พระยุพราช/ สยามมกุฎราชกุมาร / สยามมกุฎราชกุมารี - พระบรมราชชนก / พระบรมราชชนนี - พระบรมราชวงศ์ที่ทรงโปรดเกล้าพระราชทานเป็นพิเศษ | รัชกาลที่ 5 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลาย ทรง 8 เหลี่ยม หุ้มด้วยทองคำตลอดองค์ ฝายอดมงกุฎ |
ลำดับที่ 3 | พระโกศทองเล็ก | - สมเด็จเจ้าฟ้า (ชั้นเอก) | รัชกาลที่ 5 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรง 8 เหลี่ยม หุ้มด้วย ทองคำทั้งองค์ |
ลำดับที่ 4 | พระโกศทองน้อย | - สมเด็จเจ้าฟ้า (ชั้น โท - ตรี) - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้า (กรมพระยา) - สมเด็จพระสังฆราชเจ้า | รัชกาลที่ 4 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลาย ทรง 8 เหลี่ยม ยอดมงกุฎปิดทองทองประดับกระจก มีดอกไม้เพชรพุ่มข้าวบิณฑ์ประดับยอดพระโกศ และฝาพระโกศประดับเฟื่องและพู่เงิน |
ลำดับที่ 5 | พระโกศกุดั่นใหญ่ | - สมเด็จพระสังฆราช | รัชกาลที่ 1 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลาย ทรง 8 เหลี่ยม ฝายอดทรงมณฑปปิดทองล่อง ชาดประดับ |
ลำดับที่ 6 | พระโกศกุดั่นน้อย | - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า -
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่เสียชีวิตขณะดำรงตำแหน่ง - ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ - ขุนนางชั้น สมเด็จเจ้าพระยา หรือ เทียบเท่า | รัชกาลที่ 1 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลาย ทรง 8 เหลี่ยม ฝายอดทรงมณฑปปิดทองประดับกระจกสี |
ลำดับที่ 7 | พระโกศมณฑปใหญ่ | - พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าขึ้นไป หรือ ทรงกรม | รัชกาลที่ 4 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรง 4 เหลี่ยม ฝายอดทรงมณฑปปิดทองประดับกระจกสี ลองในเป็นสี่เหลี่ยม |
ลำดับที่ 8 | พระโกศมณฑปน้อย | - พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า - ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ปฐมจุลจอมเกล้า - ประธานองคมนตรี / องคมนตรี ที่เสียชีวิตขณะดำรงตำแหน่ง - ขุนนางชั้น เจ้าพระยา (ชั้น สุพรรณบัฎ) หรือ เทียบเท่า | รัชกาลที่ 4 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรง 4 เหลี่ยม ฝายอดทรงมณฑปปิดทองประดับกระจกสี |
ลำดับที่ 9 | พระโกศไม้สิบสอง | - พระองค์เจ้าฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคล / สถานภิมุข - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เสียชีวิตขณะดำรงตำแหน่ง | รัชกาลที่ 1 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายย่อมุม ทรงพระศพหักเหลี่ยมทรงไม้สิบสอง ฝายอดทรงมงกุฎปิดทอง ประดับกระจกสี |
ลำดับที่ 10 | พระโกศราชวงศ์ (มีอีกชื่อว่าพระโกศพระองค์เจ้า เดิมเรียกว่า โกศลังกา) | - พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า - หม่อมเจ้า ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ขึ้นไป / เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทุติยจุลจอมเกล้า | รัชกาลที่ 4 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรง 4 เหลี่ยม ฝายอดทรงชฎาพอกปิดทองล่องชาดประดับ ลองในเป็น 4 เหลี่ยมสีขาวคล้ายหีบศพตั้งขึ้น มีฝาเป็นยอด |
ลำดับที่ 11 | โกศราชนิกุล | - ราชสกุล / ราชินิกุล ที่ได้รับพระราชทาน โกศโถ ให้เปลี่ยนมารับพระราชทาน โกศราชนิกุล แทน | รัชกาลที่ 4 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรง 4 เหลี่ยม ตัดมุมผ่าทรงชฎาปิดทองประดับกระจกสี |
ลำดับที่ 12 | โกศเกราะ | - ผู้ที่ได้รับพระราชทานโกศโถ / โกศแปดเหลี่ยม แต่ มีรูปร่างใหญ่ มิสามารถลงลองสามัญได้ ก็ให้ใช้ โกศเกราะ แทน | รัชกาลที่ 4 | มีขนาดใหญ่ มีลวดลายเกราะรัด |
ลำดับที่ 13 | โกศแปดเหลี่ยม | - พระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรอง - คุณท้าวนางสนองพระโอษฐ์ - เจ้าจอมมารดา - หม่อมเจ้าที่ไม่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ถ้าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานโกศจะได้รับพระราชทาน โกศแปดเหลี่ยม - ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประถมาภรณ์ช้างเผือก ขึ้นไป / ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ - ขุนนางชั้น พระยาพานทอง หรือ เทียบเท่า | รัชกาลที่ 1 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรง 8 เหลี่ยม ฝายอดทรงมณฑป ปิดทองล่องชาด ประดับกระจกสี |
ลำดับที่ 14 | โกศโถ | - พระราชาคณะชั้นธรรม - ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประถมาภรณ์มงกุฎไทย / ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ / ทุติยจุลจอมเกล้า - ขุนนางชั้น พระยา หรือ เทียบเท่า | รัชกาลที่ 1 | ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายรูปกลม ฝายอดปริก ปิดทองประดับกระจก |
แม้พระโกศ/โกศ มีการแบ่งลำดับตามฐานันดรศักดิ์อย่างชัดเจน แต่บางครั้งอาจมีการเลื่อนลำดับชั้นให้สูงขึ้นได้ ตามแต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อาทิเช่น
- งานพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่องานวันถวายเพลิงพระศพจึงได้รับพระราชทานพระโกศทองใหญ่
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระโกศทองน้อยทรงพระศพ ครั้นเมื่องานวันถวายพระเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวงจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระโกศทองใหญ่ เป็นกรณีพิเศษ[4]
- งานพระศพพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร พระราชทานพระโกศทองน้อยแทนพระโกศราชวงศ์
- งานศพพระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ) พระราชทานโกศโถแทนหีบทองทึบ
- งานศพท้าววนิดาพิจาริณี (บาง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) พระราชทานโกศไม้สิบสองแทนโกศแปดเหลี่ยม
- งานศพท่านผู้หญิง สุประภาดา เกษมสันต์ พระราชทานโกศมณฑปแทนโกศแปดเหลี่ยม
- งานพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) เลื่อนชั้นจาก พระโกศกุดั่นใหญ่ เป็น พระโกศทองน้อย
- งานศพ พระพรหมมงคล วิ. (ทอง สิริมงฺคโล) พระราชทานโกศไม้สิบสองแทนโกศแปดเหลี่ยม
- งานศพ สมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) เเละ สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) พระราชทานโกศมณฑปแทนโกศไม้สิบสอง
- สำหรับพระโกศของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตามอิสริยยศชั้นเจ้าฟ้า ตามแบบแผนจะได้รับพระราชทานพระโกศทองน้อย[5] แต่ด้วยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังถวายพระเกียรติสูงสุดตามโบราณราชประเพณี[6] ดังนั้นพระโกศที่ใช้ในงานพระราชพิธีครั้งนี้จึงเป็นพระโกศทองใหญ่ หรือพระลองทองใหญ่ อันเป็นพระโกศที่มีลำดับชั้นสูงสุด[7]
สำหรับพระโกศทองใหญ่ ซึ่งถือเป็นพระโกศที่ประกอบ พระอิสริยยศ ตามธรรมเนียมการประดับตกแต่งพระโกศ มีความลดหลั่นกันเป็นหลายชั้นตามพระเกียรติยศ พระบรมศพ หรือพระศพ[8]
ประวัติ[แก้]
การใช้โกศบรรจุพระบรมศพ พระศพ และ ศพขุนนางชั้นผู้ใหญ่มีธรรมเนียมทำกันมานานแล้ว โกศนั้นมีชั้นเชิงแตกต่างกัน การที่ไทยใช้โกศนี้ไม่มีผู้ใดทราบว่าเริ่มแต่สมัยใด สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ตรัสเล่าให้ว่า "น่าจะเป็นแต่สมัยที่ไทยโบราณยังเป็นชนที่ไม่มีถิ่นประจำและเร่ร่อนอยู่ จึงต้องเอาศพของพ่อเมืองขึ้นเกวียนไปด้วย และตั้งในเกวียนตั้งตามแบบโกศง่ายกว่าหีบยาว ๆ" การใช้โกศในไทยปรากฏหลักฐานชัดเจนในสมัยกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงการออกพระเมรุมาศและการบรรจุพระโกศอัฐิในวัดพระศรีสรรเพชญ์[9] ซึ่งโกศทั้งหลายเหล่านั้น น่าจะถูกทำลายตั้งแต่ครั้งการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 หมดแล้ว ส่วนโกศที่เก่าที่สุดที่พบอายุประมาณสมัยกรุงธนบุรี[10] และจากตำนานพระโกศทั้งปวงนี้ตามพงศาวดารบ้าง บอกเล่าบ้าง สันนิษฐานเอาบ้าง เรียงลำดับตามอายุดังนี้[11]
ที่ 1 โกศแปดเหลี่ยม มีอยู่ 4 โกศ มีโกศหนึ่งที่เก่าแก่มาก ไม่ทราบว่าสร้างเมื่อใด มีลวดลาย เป็นอย่างเดียวกับช่างครั้งรัชกาลที่ 1 แต่ฝีมือทำนั้นหยาบมาก ด้วยเหตุที่เวลาว่างการทัพศึกมีน้อย และโกศแปดเหลี่ยมนี้ มีลักษณะอย่างเดียวกันกับพระโกศกุดั่น ที่ปรากฏว่าสร้างครั้งแรกในรัชกาลที่ 1 แต่โกศแปดเหลี่ยมมีมาอยู่ก่อนหน้าแล้ว เข้าใจว่าโกศแปดเหลี่ยมนี้เก่าแก่กว่าโกศอื่นทั้งหมด ด้วยทำยอดเป็นหลังคา ที่แปลงมาจามเหมตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า (โกศที่เก่าแก่ที่สุด) ส่วนอีก 3 โกศนั้น สันนิษฐานว่าทำราวรัชกาลที่ 3 หรือ 4 อีกโกศหนึ่งกรมหมื่นปราบปรปักษ์ทำขึ้นในรัชกาลที่ 5 ใช้ประกอบศพหม่อมแม้น ในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ครั้งแรก อีกโกศหนึ่ง กรมหลวงสรรพศาสตร์ศุภกิจ ขอพระบรมราชานุญาตทำถวายในรัชกาลนี้ ใช้ประกอบศพเจ้าจอมมารดาสังวาล เป็นครั้งแรก
ที่ 2 โกศโถ มีอยู่ 2 โกศ โกศหนึ่งนั้นเก่ามากลวดลายและฝีมือเหมือนกับโกศแปดเหลี่ยมใบเก่า ใช้มาแต่รัชกาลที่ 1 แล้ว ซึ่งน่าจะประกอบกับฝีมือที่ทำรุ่นเดียวกับโกศแปดเหลี่ยม แต่ทำที่หลังโกศแปดเหลี่ยม ในปัจจุบันใช้สำหรับพระราชทานพระราชาคณะและข้าราชการที่มีบรรดาศักดิ์ ได้รับพระราชทานโกศเป็นชั้นต้น อีกโกศหนึ่งทำขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลังการเป็นผู้ทำ โดยรับสั่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์
ที่ 3 พระโกศกุดั่น 2 พระโกศ สร้างในรัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2342) ทรงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ และมีการเล่าขานกันว่าพระโกศองค์หนึ่งชำรุดไป สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ทรงค้นได้มาแต่ตัวพระโกศ จึงทรงทำฝาและฐานใหม่ประกอบเข้า เรียกพระโกศองค์นี้ว่า "กุดั่นใหญ่" ส่วนอีกองค์หนึ่งที่สร้างในรัชกาลที่ 1 ที่ไม่ชำรุดเรียก "กุดั่นน้อย" และถือว่าพระโกศกุดั่นใหญ่เกียรติยศสูงกว่าพระโกศกุดั่นน้อย
ที่ 4 พระโกศไม้สิบสอง มีตำนานว่าสร้างในรัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2346) ทรงพระบรมศพ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ลอกทองจากพระโกศกุดั่นที่หุ้มไว้แต่เดิม มาหุ้มพระโกศไม้สิบสองแทน นำออกใช้ครั้งแรกประดิษฐานพระโกศไม้สิบสองในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ภายในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)
ที่ 5 พระโกศทองใหญ่ สร้างในรัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2351) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้รื้อทองที่หุ้มกระโกศกุดั่นมาทำพระโกศทองใหญ่ขึ้นไว้ สำหรับพระบรมศพของพระองค์ แต่เมื่อ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระอาลัยมาก จึงโปรดฯให้เชิญพระโกศทองใหญ่ไปประกอบพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพเป็นครั้งแรก และเป็นประเพณีในรัชกาลต่อมา ที่พระราชทานพระโกศทองใหญ่ให้ทรงพระศพอื่นเป็นพิเศษนอกจากพระบรมศพ[12]
ที่ 6 พระโกศพระองค์เจ้า มีอยู่ 2 พระโกศ เรียกกันแต่แรกว่าโกศลังกา สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริให้สร้าง แต่ครั้งยังผนวช เป็นลองสี่เหลี่ยมหุ้มผ้าขาว ยอดเป็นฉัตรระบายผ้าขวา ทรงพระศพพระเจ้าลูกเธอที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ (ก่อนมีพระโกศมณฑปน้อย) ต่อมาโกศนี้ สำหรับทรงพระศพพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 สมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงทรงคิดทำประกอบนอกขึ้น และกรมหมื่นปราบปรปักษ์ทำเติมขึ้นใหม่อีกพระโกศหนึ่ง
ที่ 7 พระโกศทองน้อย สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2394) โดยกรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ โปรดให้สร้างขึ้น สำหรับทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เวลาผลัดพระโกศทองใหญ่ ไปตั้งในงานอื่น พระโกศทองน้อยนี้ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล) สร้างเมื่อในรัชกาลที่ 5 อีกองค์หนึ่ง พระโกศทองน้อย ใช้ทรงพระศพ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เป็นพระองค์ล่าสุด
ที่ 8 พระโกศมณฑปน้อย สร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ 4 โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ พระโกศนี้หุ้มทองคำเฉพาะงาน
ที่ 9 พระโกศมณฑปใหญ่ สร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2406) โดยกรมขุนราชสีหวิกรม เอาแบบมาแต่พระโกศมณฑปน้อย ทรงพระศพกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ ด้วยเหตุที่กรมพระพิทักษ์เทเวศร์พระรูปใหญ่โต พระศพลงลองพระโกศสามัญไม่ได้ ต้องทำลองสี่เหลี่ยมขึ้นโดยเฉพาะ พระโกศมณฑปใหญ่นี้ต่อมาสร้างขึ้นอีกองค์หนึ่ง แต่จะสร้างขึ้นเมื่อใดไม่ทราบแน่
ที่ 10 โกศเกราะ สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2406) สำหรับศพเจ้าพระยานิกรบดินทร ด้วยท่านอ้วน ศพลงลองสามัญไม่ได้ ต้องทำลองสี่เหลี่ยม เรียกว่า "โกศเกราะ" เพราะลายสลักเป็นเกราะรัด
ที่ 11 โกศราชนิกุล โปรดฯ ให้กรมขุนราชสีหวิกรมสร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2406) พระราชทานให้ประกอบศพพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) ท่านแรก
ที่ 12 พระโกศทองเล็ก โปรดฯ ให้กรมหมื่นปราบปรปักษ์สร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2430) ทรงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ เป็นทีแรก แล้วได้ใช้ทรงพระศพเจ้านายต่อมา
ที่ 13 พระโกศทองรองทรง โปรดฯให้กรมหมื่นปราปรปักษ์สร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2443) พระโกศองค์นี้นับเหมือนพระโกศองค์ใหญ่ สำหรับใช้แทนที่พระโกศทองน้อย เวลาที่จะต้องหุ้มทองคำ เพื่อจะไม่ให้ต้องหุ้มเข้าและรื้อออกบ่อยๆ
สถานที่ที่ตั้งโกศ[แก้]
เมื่อบรรจุพระศพลงพระโกศตามลำดับชั้นของโกศแล้ว จึงจะเชิญพระโกศทรงพระศพ ขึ้นประดิษฐานบนสถานที่ต่าง ๆ ตามพระอิสริยยศและเกียรติยศของโกศนั้น ๆ เป็นสำคัญ โดยแบ่งเป็นการประดิษฐานพระศพภายในพระบรมมหาราชวัง และ การประดิษฐานพระศพนอกพระบรมมหาราชวัง โดยการประดิษฐานในพระราชวังแต่เดิมจะประดิษฐานบนพระแท่นสุวรรณเบญจดลภายในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท หอธรรมสังเวช หอนิเพธพิทยา หออุเทศทักษิณา
ต่อมาในรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้รื้อหอทั้งสามลงแล้วไปปลูกใหม่บริเวณริมกำแพงแก้ว โดยในปัจจุบันการประดิษฐานพระศพจะประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ศาลาสหทัยสมาคม (สำหรับพระศพ/ศพพิเศษ) โดยไม่ได้ประดิษฐานพระศพบนหอต่างๆ อีก แต่จะเชิญออกไปประดิษฐานยังพระที่นั่งหรือศาลาอื่นแทน อาทิ พระที่นั่งทรงธรรม ศาลามรุพงษ์ ศาลาบัณรศภาคย์ ฯลฯ โดยพระศพที่ประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทจะประดิษฐานเฉพาะพระบรมศพของสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราช และพระศพเจ้านายฝ่ายในเท่านั้น เว้นแต่ พระบรมศพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ส่วนการประดิษฐานพระศพนอกพระราชวังนั้น จะเป็นเจ้านายฝ่ายหน้าเสียส่วนใหญ่และจะเป็นเจ้านายที่ออกวังไปแล้วหากเจ้านายฝ่ายในบางพระองค์ที่สิ้นพระชนม์ยังวังของเจ้าพี่-เจ้าน้องก็อาจจะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประดิษฐานพระศพยังวังนั้นๆ ได้เช่นกัน แต่ละสถานที่จะมีลำดับเกียรติต่างกัน ดังนี้
ลำดับที่ 1 | พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท | พระมหากษัตริย์ พระอัครมเหสี สมเด็จพระยุพราช พระบรมวงศ์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเป็นพิเศษ | พระบรมมหาราชวัง | 5 ชั้น |
ลำดับที่ 2 | พระที่นั่งในพระราชวัง | พระมเหสี สมเด็จเจ้าฟ้า | พระราชวังดุสิต | 5 ชั้น |
ลำดับที่ 3 | พระที่นั่งทรงธรรม | พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ผู้ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเป็นพิเศษ | วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร | 3 ชั้น |
ลำดับที่ 4 | หอธรรมสังเวช หอนิเพธพิทยา หออุเทศทักษิณา | สมเด็จเจ้าฟ้า พระองค์เจ้า | พระบรมมหาราชวัง | 3 ชั้น |
ลำดับที่ 4 | วังต่าง ๆ | เจ้านายฝ่ายหน้าที่ออกวังไปแล้ว ฝ่ายในที่ทรงโปรดเกล้าพระราชทานเป็นพิเศษ | วัง | 3 ชั้น |
ลำดับที่ 5 | ศาลาสหทัยสมาคม | สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
พระวรราชชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ทรงกรม พระราชวงศ์ใกล้ชิด เสนาบดีที่เป็นราชสกุล | พระบรมมหาราชวัง | 3 ชั้น |
ลำดับที่ 5 | ศาลามรุพงษ์ | พระนางเธอลักษมีลาวัณ | วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร | 3 ชั้น |
ลำดับที่ 6 | ศาลาบัณณรศภาค | ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้น ปฐมจุลจอมเกล้า , องคมนตรี , นายกรัฐมนตรี และ ผู้ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเป็นพิเศษ | วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร | ชั้นเดียว |
ลำดับที่ 6 | ศาลาภานุรังษี | ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ | วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร | ชั้นเดียว |
ดูเพิ่ม[แก้]
- พระเมรุมาศ
- หีบศพ
- โลงหิน
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 ตำนานพระโกศ
- ↑ เล่าขานโบราณราชประเพณี เรื่องการพระราชพิธี พระศพ Archived 2008-01-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน thairath.co.th
- ↑ พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ เล่าขาน...งานพระเมรุ. (กรุงเทพฯ : บันทึกสยาม, 2539) น.10-11
- ↑ สมภพ ภิรมย์, พลเรือตรี. พระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุ สมัยรัตนโกสินทร์. น.33
- ↑ ปีย์ มาลากุล, หม่อมหลวง. "ระเบียบการศพ," ในตำนานพระโกศและหีบบรรดาศักดิ์ ระเบียบการศพ และคำเตือนการปฏิบัติราชการในราชสำนัก. น.35.
- ↑ หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551 น.10
- ↑ ปีย์ มาลากุล, หม่อมหลวง. "ระเบียบการศพ," น.35
- ↑ หนังสือพระราชทานในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร Archived 2008-11-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน posttoday.com
- ↑ นนทพร มั่งมี. "ท้ายจระนำ-ปราสาทจัตุรมุขในวัดพระศรีสรรเพชญ์," ใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 28 ฉบับที่ 5 (มีนาคม 2550) หน้า 42-47
- ↑ คือโกศแปดเปลี่ยมและโกศโถ อาจถูกสร้างในสมัยกรุงธนนบุรี ดูรายละเอียดใน กรมพระสมมตอมรพันธ์ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัตติวงศ์. "เรื่องตำนานพระโกศและหีบบรรดาศักดิ์," ใน ตำนานพระโกศและหีบบรรศักดิ์ระเบียบการศพ และคำเตือนการปฏิบัติราชการในราชสำนัก. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรี หม่อมทวีวงศ์ถวัลย์ศักดิ์ (หม่อมราชวงศ์เฉลิมลาภ ทวีวงศ์). (พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์, 2524) หน้า 2-3.
- ↑ ตำนานพระโกศ.
- ↑ เจ้าชีวิต พระนิพนธ์ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- ตำนานพระโกศ - กรมพระสมมตอมรพันธุ์ กรมพระดำรงราชานุภาพ และกรมพระนริศรานุวัติวงศ์
- ตำนานพระโกศ
- เวลาบุคคลสำคัญเสียชีวิตได้รับพระราชทานโกศ แล้วเขาเอาศพใส่ได้อย่างไร
- กรรมวิธีนำศพลงโกศ