แนวคิดหลัก รูแบบงานทัศน์ศิลป์ของแต่ละท้องถิ่น มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับอิทธิพลจากสิ่งต่างๆ เช่น ความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณีของทิองถิ่นนั้น นอกจากนี้ วัฒนธรรมของท้องถิ่นใกล้เคียงยังเป็นอิทธิพลหนึ่งที่มีผลต่อการสร้างงานทัศนศิลป์งานทัศนศิลป์ของวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก–ศิลปะตะวันตก
ศิลปะตะวันออก มีรากฐานสำคัญจากศิลปะของอินเดียและจีน เนื่องจากทั้งสองประเทศนี้มีอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มาเป็นระยะเวลายาวนาน ส่งผลให้ท้องถิ่นใกล้เคียงได้รับอิทธิพลด้านศิลปะจากอินเดียและจีน เช่น ไทย พม่า ลาว ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปวัฒนธรรมจากอินเดีย ส่วนญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ได้รับอิทธิพลจากจีน
ลักษณะของศิลปะตะวันออกมีความเป็นอุดมคติ นั่นคือไม่ยึดหลักความเป็นจริงตามธรรมชาติทั้งหมดจะสร้างสรรค์รูปแบบตามจินตนาการผสานไว้ในงามศิลปะ
ศิลปะตะวันออกได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ เช่น ศาสนา ประเพณี ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ โดยศิลปะตะวันออกจะมีความหลากหลายกันไปในแต่ละท้องถิ่น เนื่องจากมีการนับถือ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่แตกต่างกันออกไป
ศิลปะอินเดีย
ประเทศอินเดีย เป็นประเทศที่มีอารยธรรมของตนเองและได้รับวัฒนธรรมจากชนชาติอื่นร่วม ได้แก่ เมโสโปเตเมีย อิหร่าน กรีก โรมัน วัฒนธรรมของอินเดียมีอิทธิพลแก่ชนชาติตะวันออกทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะทางด้านศิลปะ ซึ่งได้ขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางไปสู่ภูมิภาคเอเชียใต้
เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศิลปะอินเดียนั้นเกิดจากแรงบันดาลใจทางศาสนาและลัทธิความเชื่อต่างๆ เช่น ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า อินเดียเป็นประเทศที่มีการนับถือศาสนาหลากหลาย ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์–ฮินดู ศาสนาพุทธ ทำให้ศิลปะซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแรงบรรดาลใจจากศาสนา มีความแตกต่างกันไปตามความเชื่อของศาสนานั้นๆศิลปะอินเดียแบ่งออกได้ดังนี้
ศิลปะแบบสาญจี เป็นศิลปะสมัยที่เก่าแก่ที่สุด อยู่ในราชวงศ์เมาริยะ และราชวงศ์ศุงกะ (สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช) โดยเป็นช่วงที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่อง ส่งผลให้งานศิลปะเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาสถาปัตยกรรม ได้แก่ สถูปต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นรูปโอคว่ำมีฉัตรปักอยู่บนยอดและมีฐานรองรับตัวสถูปลักษณะพุทธศาสนสถานของศิลปะอินเดีย ที่สำคัญอีกออย่างหนึ่ง คือ รั้วและเสา โดยรั้วจะสร้างขึ้นล้อมรอบบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น บริเวณที่พระพุทธเจ้าประทับหรือสั่งสอนพระธรรม หรือล้อมรอบองค์สถูป ส่วนเสานั้นมีวัตถุประสงค์ที่ใช้หลายอย่าง เช่น ใช้สำหรับประดิษฐานสัญลักษณ์ของศาสนา ใช้สำหรับจารึกเรื่องราวต่างๆหรือใช้เป็นเสาโคมไฟ ประติมากรรมส่วนใหญ่จะนำมาประกอบกับสถาปัตยกรรม เช่น ภาพสลักบนรั้วและประตูล้อมรอบสถูปรูปแบบของศิลปะที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในสมัยนี้นิยมใช้สัญลักษณ์แทนรูปมนุษย์ ดังเช่นภาพสลักพระพุทธเจ้า 4 ปราง คือ ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน จะใช้รูปสัญลักษณ์แทน ได้แก่ ดอกบัว ต้นโพธิ์ ธรรมจักร พระสถูป แทนปางเหล่านั้นตามลำดับ
ศิลปะแบบคันธาระ (พุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 7) เป็นศิลปะที่มีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา โดยได้รับอิทธิพลศิลปะจากกรีกและโรมัน และศิลปะในยุคนี้ได้เริ่มประดิษฐ์พระพุทธรูปที่มีรูปลักษณ์ของมนุษย์แต่มีลักษณ์คล้ายชาวกรีกและโรมัน
ศิลปะแบบมถุรา (พุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 9) ประติมากรรมในยุคนี้นิยมการสลักพระพุทธรูปหรือเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาด้วยหินทราย บางผลงานมีลักษณะของศิลปะกรีกและโรมัน โดยพระพุทธรูปในยุคนี้มีลักษณะคล้ายชาวอินเดียมากขึ้น
ศิลปะแบบอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 7 ) ศิลปะในสมัยนี้มีรูปแบบอุดมคติ เน้นลักษณะแสดงการเคลื่อนไหว ประติมากรรมที่พบคือพระพุทธรูปซึ่งมีลักษณะพระพักตร์คล้ายแบบกรีกและโรมัน ห่มจีวรเป็นริ้วทั้งองค์
ศิลปะแบบคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 9 หรือ 13) จัดศิลปะสมัยใหม่ ประติมากรรมในสมัยนี้นิยมการสลักรูปนูนสูงมากกว่ารูปลอยตัว ส่วนพระพุทธรูปมีลักษณะอินเดียแท้ ศิลปะที่มีชื่อเสียงในสมัยนี้ ได้แก่ งานจิตรกรรม ซึ่งค้นพบที่ผนังถ้ำอชันตา ด้านสถาปัตยกรรมเริ่มมีการก่อสร้างด้วยอิฐ นิยมสร้างเทวสถานซึ่งมีลักษณะใหญ่โตกว่าในสมัยก่อน
ศิลปะแบบทมิฬ (พุธศตวรรษที่ 14 ) ศิลปะแบบทมิฬหรือดราวิเดียนมีประติมากรรมที่ทำจากหินสำริดและการสลักรูปจากไม้ ส่วนสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่นั้นสร้างจากหินซ้อนกันเป็นชั้นๆ และนิยมสร้างเทวส-ถาน
ศิลปะแบบปาละเสนะ (พุทธศตวรรษที่ 14–18 ) เป็นศิลปะที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาโดยมีการผสมความเชื่อของลัทธิฮินดูเข้าไป งานประติมากรรม ได้แก่ ภาพสลักจากหิน การหล่อด้วยสำริดโดยพระพุทธรูปในสมัยนี้มีลักษณะการทรงเครื่องมากขึ้น และพบประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์
โดยสรุปแล้ว ศิลปะอินเดียจะมีความเกี่ยวข้องกับศาสนา โดยส่วนมากจะนิยมการสร้างงานประติมากรรมเพื่อการบูชา สถาปัตยกรรมสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวสถานหรือประกอบพิธีทางศาสนา ส่วนจิต-กรรมมักไม่ค่อยกล่าวถึง ซึ่งจิตกรรมอินเดียโดยรวมแล้วมีความเกี่ยวข้องทางศาสนาเช่นเดียวกัน โดยเป็นภาพจิตกรรมฝาผนัง หรือภาพเขียนประกอบคัมภีร์ ซึ่งมีการใช้สีที่สดใส ไม่เน้นแสงเงา
ศิลปะจีน
ชาวจีนนับถือกราบไหว้บรรพบุรุษมาตั้งแต่โบราณกาล มีวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ของคนในสังคมกับธรรมชาติ งานศิลปะของจีนจึงมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ สังคมและธรรมชาติ ได้มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีของจีนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายอย่าง เช่น เครื่องปั้นดินเผาหม้อสามขา แสดงให้เห็นว่าสังคมชาวจีนมีรากฐานมาจากการเกษตร มีความรู้ทางฝีมือช่างมายาวนาน
ประติมากรรมของจีนที่มีมาแต่โบราณได้แก่ภาชนะต่างๆ ที่ทำด้วยสำริด ใช้สำหรับงานพิธีกรรม การเคารพบรรพบุรุษ ภาชนะนิยมตกแต่งด้วยรูปสัตว์หรือรูปเกี่ยวกับธรรมชาติ มีประติมากรรมหลายชิ้นที่พบแสดงให้เห็นถึงความเชื่อด้านศาสนา เช่น รูปสลักหินทีมีเรื่องราวเกี่ยวกับเทพนิยายตามความเชื่อของลัทธิเต๋า หรือรูปเคารพที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ ประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของจีน ได้แก่ การแกะสลักหยกเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ และเครื่องเคลือบที่มีความแข็งแรง ลวดลายสีสันสวยงาม
จิตกรรมของจีนจะสัมพันธ์กับธรรมชาติ โดยการใช้สีและเส้นอ่อนช้อยงดงาม เต็มไปด้วยพลัง นอกจากธรรมชาติแล้ว จิตกรรมจีนยังได้รับอิทธิพลจากปรัชญาทางพระพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อ จึงปรากฏภาพพุทธประวัติควบคู่ไปกับสวรรค์
สถาปัตยกรรมของจีนที่มีชื่อเสียงที่สุด คือกำแพงเมืองจีน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ๋นเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางเหนือ นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ เช่น เจดีย์ที่มีหลังคาทุกชั้น ภายในอาคาตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ
ศิลปะขอม
ชนชาติขอมเป็นชนชาติหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลรูปแบบศิลปะจากอินเดียในระยะเริ่มแรกนั้นศิลปะขอมมีลักษณะคล้ายกับศิลปะอินเดียมาก ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาเป็นรูปแบบของตนเอง ซึ่งจะพบงานด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมเป็นส่วนมาก
สถาปัตยกรรมของขอมส่วนใหญ่ได้รับแบบอย่างมาจากอินเดีย แต่มีลักษณะของศิลปะจีนร่วมด้วยและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับศิลปะของตนเอง
วิหารของขอมได้รับอิทธิพลจากอินเดีย โดยสถาปนิกได้สร้างงานสถาปัตยกรรมของตนขึ้นมาเป็นรูปแบบของขอม ส่วนหลังคาแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของจีน แต่เสาสี่เหลี่ยมที่มีหัวเสารูปครุฑยังคงเป็นรูปแบบของขอมโดยมีการประดับด้วยประติมากรรมต่างๆ
ศิลปะไทย
ชนชาติไทยเป็นชนชาติที่มีการผสมผสานกันในหลายเชื้อชาติ ทั้งมอญ เขมร มลายู ดังนั้นวัฒนธรรมไทยจึงได้รับอิทธิพลจากชนชาตินั้นด้วยโดยชนชาติเหล่านั้นเองต่างก็ได้รับอิทธิพลจาก
อารยธรรมอินเดีย ศิลปะไทยจึงมีลักษณะคล้ายกับศิลปะอินเดีย
ศิลปะไทยมีรูปแบบเฉพาะในเรื่องความอ่อนหวาน และได้สอดแทรกวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และความรู้สึกของคนไทยไว้ในงานอย่างลงตัวศิลปะไทยเริ่มต้นตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ซึ่งมีการค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่ ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี รวมถึงภาพที่เกี่ยวกับพิธีกรรมและการใช้ชีวิต
ศิลปะสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12–16)
ศิลปะสมัยทวารวดีสร้างขึ้นเพื่อพระพุทธศาสนานิกายมหายาน การสร้างพระพุทธรูปสมัยนี้ ระยะแรกเป็นการเรียนแบบศิลปะคุปตะของอินเดีย ต่อมาจึงพัฒนามาเป็นรูปแบบของตนเอง งานประติมากรรมในสมัยนี้เป็นงานสำริดดินเผาไฟ และปูนปั้น สันนิษฐานว่าศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่บริเวณ จังหวัดนครปฐม
ศิลปะสมัยศรีวิชัย(พุทธศตวรรษที่ 13–14)
สันนิฐานว่าอาณาจักรศรีวิชัยมีอาณาเขตตั้งแต่บริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ไปจนถึงเกาะสุมาตราและเกาะชวา ศิลปะสมัยศรีวิชัยได้แพร่เข้ามาพร้อมกับศาสนาพุทธแบบมหายานและศาสนาฮินดู จึงมักพบประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์
ศิลปะสมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 16–18) อาณาจักรลพบุรีหรือละโว้ มีอาณาเขตบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของงประเทศไทย ศิลปะไทยในสมัยลพบุรีได้รีบอิทธิจากขอมซึ่งเป็นศิลปะที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธนิกายมหายานกับศาสนาฮินดู ประติมากรรมมักสร้างขึ้นจากโลหะและการสลักหิน ด้านสถาปัตยกรรมนิยมสร้างประสาทหิน เช่น ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ศิลปะล้านนา
(พุทธศตวรรษที่ 18–23)อาณาจักรล้านนาหรือเชียงแสน มีศูนย์กลางอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยพบโบราณสถานและโบราณวัตถุจำนวนมากที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ ศิลปะสมัยนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ประติมากรรมที่ปรากฏ ได้แก่ พระพุทธรูปและลวดลายประดับโบราณสถาน
ศิลปะสมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19–20)อาณาจักรสุโขทัยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณจังหวัดสุโขทัย ศิลปะสุโขทัยได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ ประติมากรรมในสมัยสุโขทัยมีรูปแบบที่งดงาม นิยมหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะผสมสำริด ศิลปะประยุกต์ที่มีชื่อเสียงอีกอย่างหนึ่งคือ เครื่องสังคโลก ซึ่งเป็นเครื่องเคลือบดินเผาที่มีการเขียนสวดสายต่างๆลงบนเครื่องปั้น
ศิลปะสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 19–24)อาณาจักรอยุธยามีศูนย์กลางอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา รูปแบบทางศิลปะในสมัยนี้มีความหลากหลายเนื่องจากอาณาจักรมีระยะเวลายาวนาน โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์
ด้านประติมากรรมส่วนใหญ่จะเป็นพระพุทธรูปที่มีรูปแบบเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยพระพุทธนิยมหล่อด้วยสำริด
ในสมัยอยุธยาตอนต้นพระพุทธรูปเป็นศิลปะแบบอู่ทอง ซึ่งเป็นการผสมผสานศิลปะทวารวดีกับลพบุรี ด้านสถาปัตยกรรมซึ่งนอกเหนือจากด้านศาสนาและพระมหากษัตริย์แล้ว ได้มีสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของประชาชนด้วย สถาปัตยกรรมด้านศาสนาและพระมหากษัตริย์ที่ปรากฏในสมัยอยุธยาช่วงแรกคือ พระปรางและเจดีย์ตามแบบอย่างศิลปะของลพบุรีและสุโขทัย ด้านจิตกรรมจะมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาดก พุทธประวัติจิตกรรมที่ปรากฏ ได้แก่ การจำหลักลายเส้นบนแผ่นหิน
ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ (พุทธศตวรรษที่ 25-ปัจจุบัน)ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นศิลปะที่ถ่ายทอดมาจากศิลปะอยุธยา เริ่มต้นตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่1)ทรงสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นราชธานีจนถึงปัจจุบัน
ด้านประติมากรรม ในช่วงแรกรูปแบบงานยังคงสืบทอดมาจากสมัยอยุธยา จนถึงสมัยรัชกาลที่3ได้มีอิทธิพลจากศิลปะจีนเข้ามาจากการนำเข้ารูปสลักฝีมือช่างชาวจีนมาประดับอาคาร ในสมัยราชกาลที่4–6ได้มีการติดต่อกับชาวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศทางตะวันตก ทำให้ศิลปะตะวันตดหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย
ด้านสถาปัตยกรรม นะยะแรกเป็นการสืบทอดแบบจารึกศิลปะอยุธยาแต่มีการตกแต่งประดับประดามากขึ้น ในสมัยรัชกาลที่3 มีแบบสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “อย่างนอก” คือแบบลายจีนเข้ามา มีการตกแต่ง ศาสนสถานเป็นลวดลายแบบจีน เช่น อุโบสถวัดราชโอรส ด้านจิตกรรม มีทั้งรูปแบบของไทยและแบบร่วมสมัย ในช่วงแรกยังคงเน้นการวาดภาพประดับฝาผนังโบสถ์ วิหาร โดยใช้สีที่มีความหลากหลายมากกว่าในสมัยอยุธยา
นิยมปิดทองคำเปลวเพื่อให้ภาพดูสวยงามต่อมาได้มีการผสมผสานกับศิลปะตะวันตก ทำให้วิธีการวาดภาพ การใช้สี มีความหลากหลาย ภาพที่วาดมีความเหมือนจริงและเป็นแบบ 3 มิติ
ที่มา//www.sites.google.com/site/artsthasnsilp