ท่อปัสสาวะ ทํา หน้าที่ อะไร

Urethra (ท่อปัสสาวะ) เป็นคำมาจากภาษากรีก แปลว่า ทางผ่านของปัสสาวะ ซึ่งคือ ท่อระบายน้ำปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะสู่ภายนอกร่างกาย โดยท่อปัสสาวะในผู้หญิงและในผู้ชายจะต่างกัน

  • ท่อปัสสาวะในผู้หญิง: ทำหน้าที่เป็นท่อระบายปัสสาวะเพียงอย่างเดียว จะมีขนาดสั้นกว่าในผู้ชายมาก คือมีขนาดยาวเพียงประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 มิลลิเมตร เปิดออกสู่ภายนอกเหนือต่อปากช่องคลอด โดยอยู่ถัดจากปากช่องคลอดไปทางด้านหลัง คืใกล้ปากทวารหนัก ดังนั้น ท่อปัสสาวะในผู้หญิงจึงติดเชื้อได้ง่ายกว่าในผู้ชายมาก โดยเป็นเชื้อโรคที่มาจากช่องคลอด และจากทวารหนัก
  • ท่อปัสสาวะในผู้ชาย: จะมีทั้งส่วนที่อยู่ในร่างกาย คือ อยู่ด้านในตรงกลางของต่อมลูกหมาก (ดังนั้นโรคของต่อมลูกหมากจึงส่งผลให้มีอาการผิดปกติทางปัสสาวะได้ เช่น ปัสสาวะบ่อยจากต่อมลูกหมากอักเสบ จึงก่อการระคายเคืองต่อท่อปัสสาวะ หรือปัสสาวะไม่ออก/ปัสสาวะขัด จากต่อมลูกหมากโตแล้วเบียดอุดกั้นท่อปัสสาวะ) และส่วนที่อยู่ภายนอกร่างกาย คือ อยู่ตรงกลางอวัยวะเพศชาย (องคชาต) ซึ่งนอกจากทำหน้าที่เป็นทางระบายของปัสสาวะแล้ว ท่อปัสสาวะในผู้ชายยังทำหน้าที่เป็นทางระบายออกของน้ำอสุจิ (น้ำกาม, Semen) เมื่อมีเพศเพศสัมพันธ์

ท่อปัสสาวะของเพศชาย มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 มิลลิเมตร ความยาวส่วนที่อยู่ในร่างกายจะประมาณ 3-5 เซนติเมตร ส่วนความยาวของส่วนที่อยู่นอกร่างกายในอวัยวะเพศจะยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร

อนึ่ง ท่อปัสสาวะทั้งของเพศหญิงและเพศชาย เป็นอวัยวะที่ติดเชื้อได้บ่อย โดยเฉพาะจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ส่วนโรคอื่นๆพบได้น้อยมาก เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น

ระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นระบบสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปของของเหลวออกจากร่างกาย เช่น น้ำ ยูเรีย กรดยูริก ครีเอตินีน เม็ดเลือดแดงที่สลายตัว โดยแบ่งอวัยวะในระบบออกเป็น 2 ส่วน ส่วนบนประกอบด้วย ไต (Kidney) กรวยไต (Renal pelvis) และท่อไต (Ureter) และส่วนล่างประกอบด้วย กระเพาะปัสสาวะ (Bladder) และท่อปัสสาวะ (Urethra)

 

โดยท่อปัสสาวะในเพศหญิงจะมีความยาวประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร โดยจะอยู่ภายในร่างกายและมีหน้าที่นำปัสสาวะออกสู่ภายนอกอย่างเดียว ส่วนท่อปัสสาวะในเพศชาย มีความยาวประมาณ 18 – 20 เซนติเมตร แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกมีความยาว 2 – 3 เซนติเมตร อยู่ต่อจากกระเพาะปัสสาวะและมีต่อมลูกหมากห่อหุ้มอยู่ ส่วนที่สองมีความยาว 1 – 2 เซนติเมตร อยู่ต่อจากส่วนที่หุ้มด้วยต่อมลูกหมาก ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่บางและแคบถูกหุ้มด้วยกล้ามเนื้อหูรูด ส่วนสุดท้ายมีความยาว 14 – 20 เซนติเมตร และอยู่บริเวณตอนปลายขององคชาติ

ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis) เป็นภาวะที่เกิดจากการบาดเจ็บหรืออักเสบบริเวณเซลล์เยื่อเมือกบุท่อปัสสาวะ โดยเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สามารถพบได้ทุกช่วงอายุด้วยกัน ในช่วงวัยเจริญพันธ์มักพบอาการของโรคนี้ร่วมกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายเนื่องจากมีรูเปิดท่อปัสสาวะ (Urethral opening) อยู่ใกล้กับช่องคลอด (Vagina) และทวารหนัก (Anus) จึงมีโอกาสสัมผัสและติดเชื้อได้ง่าย ขณะที่เพศชายมีท่อปัสสาวะที่ยาวและมีต่อมลูกหมากช่วยหลั่งสารต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงพบโรคนี้ได้น้อยกว่าในเพศหญิง

 

อาการ 

อาการที่พบบ่อยมีดังนี้

  • ปวด แสบ ขัดเวลาถ่ายปัสสาวะ โดยเฉพาะบริเวณปลายท่อปัสสาวะในเพศชายหรือปากช่องคลอดในเพศหญิง
  • ปัสสาวะบ่อย แต่ครั้งละไม่มาก อาจมีเลือดหรือหนองปน ปัสสาวะอาจขุ่น มีกลิ่นฉุนผิดปกติ
  • อาจมีไข้ ทั้งไข้สูงหรือไข้ต่ำ รู้สึกหนาวสั่น รวมถึงการอ่อนเพลีย อ่อนแรง
  • อาจมีอาการปวดท้องน้อย ปวดอุ้งเชิงกรานในเพศหญิง และปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ทั้งในหญิงและชาย โดยเฉพาะช่วงที่มีการหลั่งอสุจิในเพศชาย
  • นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการตามสรีระร่างกายที่แตกต่างกันในหญิงและชาย
  • เพศหญิง อาจมีอาการบวมแดงที่บริเวณช่องคลอด ปากช่องคลอด ช่องปัสสาวะ มีอาการคันบริเวณอวัยวะเพศ มีตกขาวที่ผิดปกติ อาจมีสีค่อนข้างเขียวและมีกลิ่นเหม็น
  • เพศชาย อาจมีอาการปวดที่ถุงอัณฑะ มีน้ำสีขุ่นออกจากอวัยวะเพศ อาจพบต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณขาหนีบซึ่งอาจมีอาการข้างเดียวหรือทั้งสองข้างได้

อาการที่ควรไปพบแพทย์
ควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการท่อปัสสาวะอักเสบตั้งแต่เริ่มแรก โดยเฉพาะในรายที่อาการไม่ดีขึ้นหลังผ่านไปไม่กี่วัน หรือในกรณีที่เคยเป็น รู้วิธีการดูแลตนเองขั้นต้น แต่มีอาการรุนแรงกว่าเดิม เช่น มีเลือดหรือหนองปนมากับปัสสาวะ มีไข้สูง ปวดมาก

 

สาเหตุ 

ท่อปัสสาวะอักเสบเกิดจากสาเหตุสำคัญ 2 สาเหตุ คือ สาเหตุจากการติดเชื้อทั้งจากโรคที่ใช่และไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และสาเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ

  1. สาเหตุจากการติดเชื้อ พบสูงถึงร้อยละ 80 – 90 โดยเป็นการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งจากการติดเชื้อจากโรคหนองใน (Gonococcal Urethritis) และจากการติดเชื้อที่ไม่ใช่โรคหนองใน (Non Gonococcal Urethritis) เช่น โรคเริม ซิฟิลิส โรคหนองในเทียม โรคเอดส์ เป็นต้น
    .
    สำหรับการติดเชื้อที่ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้ออีโคไล (Escherichia coli), เชื้อสแตฟีโลค็อกคัส (Staphylococcus) หรือเชื้อสูโดโมแนส (Pseudomonas) โดยเชื้อสามารถแพร่ผ่านจากทวารหนัก ผ่านจากกระเพาะปัสสาวะและแพร่ผ่านจากไต
  1. สาเหตุจากการติดเชื้อที่ไม่ใช่จากโรคติดต่อ พบร้อยละ 10 – 20 โดยสามารถเกิดได้จากการระคายเคืองจากสารเคมีต่าง ๆ ที่ใช้ดูแลอวัยวะเพศ เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลจุดซ่อนเร้น การใช้ผ้าอนามัยที่มีน้ำหอม เป็นต้น การสอดเครื่องมือแพทย์เข้าไปในท่อปัสสาวะ เช่น การสอดท่อในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ เป็นต้น การเกิดอุบัติเหตุหรือมีการถูกระแทกอย่างรุนแรง รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์หลาย ๆ ครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ โดยมักจะเกิดในเพศหญิง ช่วงของการฮันนีมูน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค
ผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ชอบเปลี่ยนคู่นอน รักร่วมเพศ ไม่ใช้ถุงยางอนามัยหรือใช้ซ้ำ ชอบใช้อุปกรณ์เสริม มีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ เคยเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์มาก่อน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องอื่น ๆ เช่น หญิงสูงวัย หญิงตั้งครรภ์ ชายต่อมลูกหมากโต ป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่ทำให้ภูมิต้านทานต่ำ ได้รับการกระแทกจากอุบัติเหตุ เป็นต้น

 

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการซักประวัติ อาการป่วย เช่น อาการที่เกิดขึ้นในผู้ป่วย ระยะเวลาในการเป็นโรค โรคประจำตัว ลักษณะของการมีเพศสัมพันธ์ การขับปัสสาวะและลักษณะของปัสสาวะ ประวัติโรคทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น ร่วมไปกับการตรวจร่างกาย การตรวจภายในของเพศหญิง ในบางกรณีอาจต้องมีการการเพาะเชื้อจากปัสสาวะอีกด้วย ในกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคเอดส์อาจมีการตรวจเลือดเพิ่มเติม

 

การรักษา

เนื่องจากสาเหตุของการเกิดโรคส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ การรักษาจึงเป็นการใช้ยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อนั้น ๆ หากเป็นสาเหตุอื่นก็จะแก้ที่สาเหตุนั้น ๆ โดยแพทย์อาจรักษาในแบบประคับประคอง เช่น การให้ยาแก้ปวด ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นหากสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคได้รับการแก้ไข

 

ข้อแนะนำในการรักษาโรค

  • ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อดื้อยา และเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบนและอวัยวะบริเวณใกล้เคียง
  • ควรไปพบแพทย์พร้อมกับคู่นอนหรือสามี โดยหากเป็นเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แพทย์อาจพิจารณาวางแผนการรักษาทั้ง 2 คน เนื่องจากเป็นโรคติดต่อ
  • ควรดื่มน้ำมาก ๆ งดดื่มแอลกอฮอล์ งดการมีเพศสัมพันธ์ ในขณะทำการรักษาเพื่อให้ผลการรักษาที่ดี
  • รับประทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุดยาเองแม้ว่าอาการดีขึ้นแล้ว ทั้งนี้เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา

 

ข้อแนะนำในการป้องกัน 

  • ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ถี่ ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่ควรใช้อุปกรณ์เสริมที่อาจทำให้เกิดการกระแทก ไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่นและควรทำความสะอาดอุปกรณ์เสริมทุกครั้งก่อนและหลังการใช้งาน
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งในขณะมีเพศสัมพันธ์ ไม่ใช้ถุงยางอนามัยซ้ำ
  • ควรดื่มน้ำ และปัสสาวะทั้งก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์
  • ดูแลอวัยวะเพศไม่ให้อับชื้น เลือกใช้ชุดชั้นในที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ชุดชั้นในที่เป็นผ้าฝ้าย และไม่ควรใช้ชุดชั้นในร่วมกับผู้อื่น ไม่ควรใส่ชุดชั้นในนอน
  • เพศหญิงการทำความสะอาดช่องคลอดควรทำจากด้านหน้าไปด้านหลังเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ขณะมีประจำเดือนควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ และควรหลีกเลี่ยงผ้าอนามัยที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพศชายควรรักษาความสะอาดบริเวณปลายท่อปัสสาวะอยู่เสมอ

    ท่อปัสสาวะของผู้หญิงทำหน้าที่อะไร

    ท่อปัสสาวะในผู้หญิง: ทำหน้าที่เป็นท่อระบายปัสสาวะเพียงอย่างเดียว จะมีขนาดสั้นกว่าในผู้ชายมาก คือมีขนาดยาวเพียงประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 มิลลิเมตร เปิดออกสู่ภายนอกเหนือต่อปากช่องคลอด โดยอยู่ถัดจากปากช่องคลอดไปทางด้านหลัง คืใกล้ปากทวารหนัก ดังนั้น ท่อปัสสาวะในผู้หญิงจึงติดเชื้อได้ง่ายกว่าในผู้ชายมาก ...

    ท่อปัสสาวะมีลักษณะเป็นอย่างไร

    ท่อปัสสาวะ เป็นท่อนำน้ำปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะไปสู่ภายนอก ในชาย ท่อปัสสาวะยาว 20 เซนติเมตร นำน้ำปัสสาวะจาก กระเพาะปัสสาวะไปสู่ภายนอกที่ปลายลึงค์ ท่อปัสสาวะในชาย ยังเป็นทางผ่านของน้ำอสุจิด้วย ท่อปัสสาวะในชายคดเคี้ยว คล้ายตัวเอส (S) และแบ่งได้เป็น 3 ส่วนคือ Urethra.

    ระบบปัสสาวะมีหน้าที่อะไร

    ระบบขับถ่ายปัสสาวะทำหน้าที่กรองของเสียที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายออกจากเลือด และกำจัดน้ำ เกลือ และสารพิษในร่างกายในรูปปัสสาวะ ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ดังนี้ ไตมี 2 ข้าง อยู่บริเวณด้านหลังช่องท้องใต้ซี่โครง มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วแดง ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและสร้างปัสสาวะ

    ท่อน้ำอสุจิทำหน้าที่อะไร

    ก่อนอื่นเรามารู้จักท่ออสุจิของคุณผู้ชายกันก่อนครับ ท่อนำอสุจิ (Vas deferens) คือ ท่อที่นำตัวอสุจิ (sperm) ซึ่งถูกสร้างจากลูกอัณฑะ ไปผสมกับน้ำกามหรือน้ำอสุจิ (semen) เข้าสู่ท่อปัสสาวะและหลั่งออกสู่ภายนอกครับ นอกจากนี้ท่อนำอสุจิยังเป็นที่เก็บตัวอสุจิอีกด้วยครับ

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก