FF คือ ตัวย่อของคำว่า... Front-engine Front-wheel drive หรือ แปลกันตรงตัว คือ รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์วางด้านหน้า และขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งคนใช้รถใช้ถนนในยุคปัจจุบันน่าจะคุ้นเคยกันดี เพราะแทบจะถือว่าเป็นมาตรฐานของรถยนต์ทั่วไปที่ไม่ใช่ระดับหรูหรา
ส่วน FR ย่อมาจาก... Front-engine Rear-wheel drive หรือ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์วางด้านหน้า แต่ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งในปัจจุบันหายากเต็มทนแล้ว นอกจากปิกอัพในบ้านเรา หรือไม่ก็รถยนต์รุ่นใหญ่ๆ ระดับหรูหรา และรถสปอร์ตระดับไฮเอนด์
คำว่า FR บางทีถูกใช้แทนที่ด้วยคำว่า RWD หรือ Rear-Wheel Drive ซึ่งตรงนี้ทางมอเตอร์ทริเวีย กลับไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร เพราะ FR มีความหมายที่เฉพาะ และให้นิยามที่ชัดเจน ขณะที่ RWD ยังไม่ชัดเจนเท่าไร เพราะอาจจะหมายถึง รถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลาง หรือ วางท้าย และขับเคลื่อนล้อหลัง ก็ได้...น่าจะเป็นคำที่มีความหมายกว้างๆ มากกว่า
สำหรับเลย์เอาท์ในการวางของเครื่องยนต์ เกียร์ และเพลาขับของรถยนต์แบบ FR อาจไม่จำเป็นจะต้องเป็นแบบวางขวาง หรือ Traversely-Mount เหมือนกับรถยนต์ในปัจจุบันก็ได้ (ซึ่งเครื่องยนต์ เกียร์ และเพลาขับจะวางต่อกันเป็นแนวขวางตามด้านกว้างของตัวรถ) แต่อาจจะเป็นแบบวางตามยาว หรือ Longitudinally-Mount (เครื่องยนต์ เกียร์ และเพลากลางวางเรียงต่อกันในแนวตามยาวจากด้านหน้าไปด้านหลัง) เหมือนกับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังก็ได้ ซึ่งในอดีตรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าแต่ใช้เครื่องยนต์แบบวางตามยาว ก็มีทั้งแลนเซีย ฟุลเวีย และฟอร์ด ทอรัส 12M ส่วนในปัจจุบันก็มีทั้งซูบารุ อิมเพรซาในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และออดี้ เอ4, เอ6
นอกจากนั้น ในอดีตยังพบว่ามีรถยนต์ที่ใช้ระบบเครื่องยนต์วางกลางลำ หรือ Mid-Engine แต่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าทำตลาดอยู่ด้วย เช่น ซีตรอง แทร็กชัน อวันท์ หรือรถยนต์ของเรโนลต์บางรุ่นที่ผลิตในช่วงปี 1960-1980 แต่จากรูปแบบที่ซับซ้อน และไม่มีประโยชน์อะไรเลย จึงทำให้รถยนต์ประเภทนี้หายไปจากตลาดโดยอัตโนมัติ
นปัจจุบัน จากการที่มีเอสยูวีที่ถูกต่อยอดโดยใช้พื้นฐานจากรถยนต์นั่ง เลย์เอาท์แบบ FR จึงอาจไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นแบบขับเคลื่อนล้อหน้าเพียงอย่างเดียว เพราะใน SUV ส่วนใหญ่ เช่น ฮอนด้า ซีอาร์-วี, โตโยต้า ราฟโฟร์ หรือ มาสด้า ทริบิวต์ ต่างก็มีรูปแบบการวางเหมือนกับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ก็สามารถแปรผันการทำงานของระบบขับเคลื่อนจากแบบ 2 ล้อมาเป็น 4 ล้อตลอดเวลาได้โดยอัตโนมัติ หากระบบตรวจพบว่าล้อใดล้อหนึ่งมีการลื่นไถลหรือหมุนเร็วกกว่า และต้องการการยึดเกาะที่เพิ่มขึ้น
ในกรณีของรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง หรือ FR บางทีเราอาจจะได้ยินคำว่า Front-Midship engine Rear-wheel drive ซึ่งบางที่เรียกว่า FMR โดยเฉพาะในกลุ่มของพวกรถสปอร์ต หรือรถยนต์ระดับหรูบางรุ่น ซึ่ง Front-Midship Engine คือ เครื่องยนต์ยังวางอยู่ด้านหน้า แต่มีการร่นตำแหน่งการวางของเครื่องยนต์ให้ถอยมาด้านหลังให้มากที่สุด โดยด้านหน้าของเครื่องยนต์ จะวางอยู่หลังแนวของเพลาล้อหน้า ส่วนจะต้องห่างเป็นระยะเท่าไรไม่มีการเปิดเผย เพื่อประโยชน์ในเรื่องของอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักระหว่างด้านหน้าและหลังให้ได้สมดุล หรือใกล้เคียงกันมากที่สุด ซึ่งความจริงแล้วคำนี้ก็ไม่ใช่ของใหม่อะไร เพราะฟอร์ด โมเดล T และ A ใช้กันมาตั้งนานแล้ว
ส่วน ME เป็นตัวย่อมาจาก Mid-Engine หรือเครื่องยนต์วางกลาง และแน่นอนว่า การวางกลางไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่แบ่งออกเป็น 2 แบบเหมือนกับ FR คือ แบบวางขวาง เครื่องยนต์เกียร์ และเพลาขับวางเรียงกันตามแนวกว้างของตัวรถ เช่น โตโยต้า เอ็มอาร์ทู, ฮอนด้า NSX ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง หรือไม่ก็บล็อกวี แต่ไม่ค่อยมีแบบ 6 สูบเรียงให้เห็น
แบบวางตามยาว ส่วนใหญ่จะเป็นซูเปอร์คาร์ เช่น เฟอร์รารี่, ลัมบอร์กินี ซึ่งระบบนี้ก็มีทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ 4 ล้อให้เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับแนวทางของผู้ผลิตแต่ละราย และถ้าเป็นเครื่องยนต์วางกลางแบบขับเคลื่อนล้อหลัง บางทีก็เรียกว่า RMR หรือ Rear Mid-engine Rear-wheel drive
นอกจากนั้น ยังมีเลย์เอาท์อีกแบบ คือ เครื่องยนต์วางด้านท้าย หรือ RE - Rear-Engine ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นเอกลักษณ์ของ ปอร์เช่ 911 โดยในรูปแบบการจัดเรียงเครื่องยนต์จะถูกวางไว้ท้ายสุดโดยมีเกียร์อยู่ด้านหน้า ดังนั้นเลย์เอาท์การวางในลักษณะนี้ จึงถูกจำกัดวงอยู่กับ เครื่องยนต์ไม่กี่ประเภท เพราะเครื่องยนต์ที่ใช้จะต้องมีขนาดกะทัดรัด เช่น สูบนอน หรือบ็อกเซอร์ แทนที่จะเป็นแบบวี หรือแบบแถวเรียง •
เอามาฝากกัน คับ
เชื่อว่าคนใช้รถมือสอง หลายๆ คน ต้องเคยได้ยินคำว่า “ขับเคลื่อนล้อหน้า”, “ขับเคลื่อนล้อหลัง”, “FF”, “FR” หรืออะไรทำนองนี้ มาก่อนแล้วแน่ๆ และรู้ไหมว่า ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลังนั้น นอกจากจะมีข้อดี ข้อเสีย ที่แตกต่างกันแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้ราคารถมือหนึ่ง และรถมือสองแต่ละรุ่น สูงต่ำต่างกันอีกด้วย!
เพื่อให้การเลือกซื้อรถมือสองของคุณง่ายกว่าเดิม และตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานมากที่สุด บทความนี้จึงช่วยรวบรวมรายละเอียดของระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลัง รวมถึงเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อย เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อรถมือสองของคุณ
มาดูกันว่า ระบบขับเคลื่อนของรถมือสองแบบไหน ที่จะตรงใจ และตรงตามการใช้งานของคุณมากที่สุด!
ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD: Front Wheel Drive)
เป็นระบบขับเคลื่อนแบบที่พบมากที่สุดในบรรดารถยนต์ที่ผลิตออกมาในปัจจุบันก็ว่าได้ โดยเฉพาะรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ รถตลาด และอีโคคาร์รุ่นต่างๆ รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า จะมีจุดสังเกตตรงที่เพลาขับเคลื่อน จะต่อกับชุดเกียร์โดยตรงแล้วเชื่อมกับล้อหน้าทั้งสองข้าง ทำให้เพลาหน้าของรถมีหน้าที่ในการบังคับเลี้ยว และรับกำลังที่ส่งผ่านมาจากเกียร์ด้วย
นอกจาก FWD ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่ใช้เรียกกันแบบสากลแล้ว หลายคนน่าจะเคยเห็นอักษรย่อ FF (Front Engine Front Wheel Drive) มาก่อน FF คือรูปแบบการวางเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้า ขนานกับส่วนหน้าของรถยนต์ และใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้หลายคนอุปมาว่า ระบบส่งกำลังแบบนี้ ก็เหมือนกับการออกแรงดึงรถให้เคลื่อนไปข้างหน้านั่นเอง
ตัวอย่าง รถมือสองขับเคลื่อนล้อหน้าที่คุ้นเคยกันดีในแวดวงรถมือสอง ที่ได้รับความสนใจอย่างมากบนเว็บไซต์สื่อกลางซื้อขายรถยนต์มือสองคาร์โร ก็คือรถญี่ปุ่นรุ่นยอดนิยมอย่าง Honda Civic, Toyota Corolla Altis, Honda Accord ฯลฯ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นเลย ที่รถญี่ปุ่นจะต้องเป็นรถขับหน้าทุกรุ่น เพราะรถเก๋งขนาด Full-Size หรือรถกระบะ ก็ยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังอยู่ และรถยุโรปบางรุุ่น (มักจะเป็นรถเล็ก) ก็นิยมผลิตรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้าออกมาขายเช่นกัน เช่น Mercedes Benz A-Class และ Mini Cooper เป็นต้น นอกจากนี้รถ SUV ส่วนใหญ่ ก็มักเป็นรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า แต่จะสามารถเปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อได้โดยอัตโนมัติ เช่น Honda CR-V เป็นต้น
ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD: Rear Wheel Drive)
เราจะพบว่า รถมือสองขับเคลื่อนล้อหลังที่เห็นได้ตามท้องถนนในประเทศไทย ส่วนใหญ่มักจะเป็นรถยุโรป และสปอร์ตคาร์ รวมถึงรถกระบะเป็นส่วนใหญ่ รถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง อาจจะแบ่งตามตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ได้ดังนี้
– FR (Front Engine Rear Wheel Drive) คือรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่มีการวางเครื่องยนต์ตามยาวไว้ด้านหน้า แล้วส่งกำลังผ่านเพลากลางไปยังเฟืองท้าย กระจายกำลังไปยังล้อหลังทั้งสองข้าง มักพบได้ในรถยุโรปรุ่นใหญ่ๆ และหรูหรา เช่น Mercedes Benz C-Class, E-Class และ S-Class เป็นต้น
– FMR (Front Midship Engine Rear Wheel Drive) คือรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง และเครื่องยนต์ก็ยังวางไว้ด้านหน้า แต่พยายามร่นระยะของตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ให้ถอยหลังมามากที่สุด โดยเครื่องยนต์จะถูกวางไว้หลังแนวเพลาล้อหน้า ซึ่งจะทำให้รักษาสมดุลระหว่างตัวถังด้านหน้าและด้านหลังได้มากกว่า ตัวอย่างก็เช่น Honda S2000, Mazda RX-8, Ferrari F12 Berlinetta เป็นต้น
– MR (Mid Engine Rear Wheel Drive) คือรถขับเคลื่อนล้อหลังที่เครื่องยนต์ถูกวางไว้ตรงกลาง อาจจะวางขวางหรือวางตามยาวก็ได้ เป็นรูปแบบการวางเครื่องยนต์ที่ทำให้รถกระจายน้ำหนักได้ดีที่สุด ตัวอย่างรถแบบนี้ก็คือ Toyota MR2, Honda NSX นั่นเอง
– RR (Rear Engine Rear Wheel Drive) คือรถขับเคลื่อนล้อหลังที่วางเครื่องยนต์ไว้ด้านท้าย โดยมีเกียร์อยู่ด้านหน้า เครื่องยนต์จึงมักเป็นเครื่องขนาดเล็กและไม่มากชิ้น เราจะเห็นได้จากบรรดาสปอร์ตคาร์ ที่มักจะดีไซน์ด้านหน้าให้ลาดลงสุดๆ เพื่อลดแรงเสียดทาน ตัวอย่างก็คือรถตระกูล Porsche บางรุ่น หรือ Volkswagen Beetle รุ่นเก่า เป็นต้น
รหัสย่อที่กล่าวมานี้ คือ Layout หรือโครงร่างของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งคุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบการทำงานของเลย์เอาต์แต่ละแบบได้ ที่นี่
ข้อดี – ข้อด้อย ของระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อนล้อหลัง
ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD)ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD)ราคาถูกกว่า เพราะใช้ชิ้นส่วนน้อยกว่า ทำให้รถมีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าแพงกว่า เพราะรถมีระบบส่งกำลังที่ซับซ้อนกว่า และใช้ชิ้นส่วนมากกว่า แน่นอนว่าย่อมส่งผลให้ค่าซ่อมบำรุงสูงกว่าด้วยความทนทานทนทานน้อยกว่า เพราะเพลาหน้าต้องรับหน้าที่เลี้ยว หมุน และรับกำลังที่ส่งมาจากเกียร์ จึงทำให้ทั้งเพลาและยางล้อหน้ามีโอกาสที่จะสึกหรอเร็วกว่า*ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาด้วย*
ทนทานกว่า เพราะมีการกระจายแรงไปยังส่วนต่างๆ ได้ดีกว่าการประหยัดเชื้อเพลิงประหยัดน้ำมันมากกว่า เพราะสูญเสียกำลังเครื่องยนต์น้อยกว่า และรถมีน้ำหนักเบากว่าสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า เพราะต้องส่งกำลังผ่านเพลากลาง ทำให้ต้องใช้กำลังมากการใช้พื้นที่ห้องโดยสารใช้น้อยมาก เพราะระบบเครื่องยนต์มักมีขนาดกะทัดรัดและอยู่ด้านหน้ารถทำให้เสียพื้นที่ห้องโดยสาร เพราะต้องมีอุปกรณ์เพื่อส่งกำลังไปยังล้อหลัง หากติดตั้งเครื่องยนต์ตรงกลางหรือท้ายรถก็จะยิ่งกินพื้นที่ห้องโดยสารมากความสมดุลในการเข้าโค้งสมดุลมากกว่าเพราะการวางเครื่องยนต์ไว้ที่ด้านหน้าของรถทำให้ล้อหน้ามีแรงยึดเกาะ (Traction) สูง กว่า แต่ก็อาจเกิด Understeer (หน้าดื้อ) ได้ ทำให้โค้งแล้วหลุดหรือแหกโค้งสมดุลน้อยกว่า อาจมีอาการ Oversteer (ท้ายปัด) ได้ ซึ่งจะควบคุมได้ยากกว่าความสมดุลเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำสมดุลดีกว่า เนื่องจากทำอัตราเร่งช่วงต้นได้เร็วกว่าและดีกว่า แต่เป็นข้อเสียด้วยเช่นกันเพราะทำให้แรงยึดเกาะช่วงออกตัวมีน้อย เพราะน้ำหนักจะถ่ายเทไปด้านหลัง (นึกภาพดึงรถจากด้านหน้า)สมดุลน้อยกว่าในเครื่องแบบ FR แต่เครื่องแบบ อื่นๆ ก็ดีพอๆ กับขับหน้า แต่อาจจะให้ความรู้สึกหนักหน่วงกว่าตอนออกตัว (นึกภาพดันรถจากด้านหลัง)ความสมดุลเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงสมดุลน้อยกว่า เพราะน้ำหนักกระจายตัวไม่ดี ซึ่งเป็นผลให้ควบคุมรถขณะเบรกได้ยากกว่าทรงตัวได้ดีกว่าเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงระบบขับเคลื่อนแบบไหน เหมาะกับใคร
จากการเปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า เหมาะกับการขับขี่ระยะสั้นด้วยความเร็วต่ำมากกว่า ดังนั้น จึงเหมาะกับผู้ขับขี่ที่อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรติดขัด เพราะรถกินน้ำมันน้อยกว่า รวมถึงสามารถใช้พื้นที่ในห้องโดยสารได้มากกว่าอีกด้วย
ส่วนรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง หากไม่ใช่รถที่ใช้ในกิจกรรมบางอย่างโดยเฉพาะ เช่น ใช้แข่งขันความเร็วในสนามแข่งรถ ก็เป็นรถที่เหมาะสมกับการขับขี่บนถนนโล่งๆ ที่สามารถทำความเร็วได้ จึงน่าจะเหมาะกับคนที่เดินทางไกลบ่อย คนต่างจังหวัดที่ไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์รถติด หรือคนรักสปอร์ตคาร์ที่มีรถไว้ขับเล่นเป็นครั้งคราว ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้รถในชีวิตประจำวัน
อย่างไรก็ตาม รถขับหลังก็เป็นรถที่สามารถใช้ขับขี่ในเมืองได้อย่างไม่เป็นปัญหา ดังที่เราเห็นได้จากรถยุโรปจำนวนมาก ที่ขับอยู่บนถนนในกรุงเทพฯ แต่คนขับต้องมีทักษะในการบังคับรถพอสมควร เพราะรถขับหลังมักมีน้ำหนักมากกว่ารถขับหน้า และอาจเกิดอาการท้ายปัดขึ้นได้เวลาเข้าโค้ง ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
รถขับหน้า – รถขับหลัง มีวิธีดูอย่างไร
หลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่ารถคันไหนขับเคลื่อนล้อหน้า หรือล้อหลัง? วิธีการดูง่ายๆ มี 2 แบบคือ
– ดูจากการวางเครื่องยนต์ ปกติแล้ว รถที่ขับเคลื่อนล้อหลังส่วนใหญ่จะวางเครื่องตามยาว ส่วนรถขับเคลื่อนล้อหน้ามักจะวางเครื่องตามขวาง ขนานไปกับส่วนหน้าของรถ (แต่ก็จะมีรถบางรุ่น ที่วางเครื่องยนต์ตามแนวยาว แต่ขับเคลื่อนล้อหน้าเช่นกัน เช่น Audi หรือ Subaru รุ่นขับหน้าบางรุ่น)
– ดูจากเพลา รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า เพลาจะต่อกับชุดเกียร์ออกสู่ล้อหน้าทั้ง 2 ข้าง ในขณะที่รถขับเคลื่อนล้อหลังจะมีเพลากลางและเฟืองท้าย เมื่อพิจารณาประกอบกับรูปแบบการวางเครื่องยนต์แบบต่างๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็จะสามารถบอกระบบขับเคลื่อนได้แน่นอนกว่า
ถือว่าครบถ้วนชัดเจนสำหรับบทความ ขับหน้า VS ขับหลัง หากท่านใดสนใจอยากหาความรู้กับบทความดีๆ เพิ่มเติม สามารถรับชมต่อได้ใน //th.carro.co/blog2/ ได้เลย