����ԹԾ�ҹ ��оط��������ʷӹͧ������¡Ѻ����ҹ������ ����;��ͧ���ԹԾ�ҹ��ǧ�Ѻ����� �����ç����ԡ���ٻ�᷹���ͧ�� �ҡ������Ǿط���������ִ��и����Թ������ʴ�᷹���ͧ�� �����оط�������� "�� �� �ҹ�ڷ ��Ҹ���� � �Թ�� � ���� ��ڭ��� �� �� ���ڨ�¹ ʵڶ�" ����� �١� �ҹ��� ��������Թ��㴷��������ʴ�������кѭ�ѵ��������ͷ������ ��������Թ�¹�� ����ʴҢͧ�ͷ������ �¡�ŷ�������ǧ�Ѻ�
��оط��������ʴ���������� ��и����Թ�� ����繤������ͧ��оط���� �֧��ҡѺ��ͧ������ʴ�����繵��᷹��оط���ʹ� ��о�и����Թ�·�����¹����ǹ������������ ����ûԯ� ������
�Ҩ���������� ����ûԯ� �դ����Ӥѭ�ѧ��� ���
�. �繷���Ǻ�������觾�оط����� ��ͤ���觢ͧ��оط����
�. �繷��ʶԵ�ͧ�����ʴҢͧ�ط���ʹԡ�� �������ö��Ҿ�оط���� �������ѡ��оط������ҡ����ûԯ�
�. �����觵����������躷㹾�оط���ʹ�
�. ���ҵðҹ��Ǩ�ͺ�����Т�ͻ�Ժѵ�㹾�оط���ʹ� �����Т�ͻ�Ժѵ��� ���ж������繤����Т�ͻ�Ժѵ�㹾�оط���ʹ��� �е�ͧ�ʹ���ͧ�Ѻ��и����Թ��㹾���ûԯ�
�. �繤��������������ѡ�ҹ�ҧ����ѵ���ʵ�����繻���ª��ҧ�Ԫҡ��
�تҴ� ���˾ѹ��, �Զո����Զ���, ˹�� ��-�� ��������ٻ�Ѿ�� ����� "����ûԮ�" ����� � ������� ������¡�繤� � ��� ���+��+�Ԯ� ����� ��� �繤��ʴ�������þ����¡��ͧ ����� �� ����� � ����� �Ԯ� ���� � ���ҧ �������� ����������͵������ҧ˹�� ����� ��ШҴ���͵С������ҧ˹�� �������ҡ�ШҴ���͵С��� ���¤������ �繷���Ǻ����������ͧ��оط����������Ǵ���� �������ШѴ��Ш�� ����¡�ШҴ���͵С����ѹ���Ҫ�����ͧ�й��
พระไตรปิฎก
คือคัมภีร์ที่บรรจุคำสอนของพระศาสดา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือว่าเป็นคัมภีร์สูงสุดในพระพุทธศาสนา โดย คำว่าพระไตรปิฎก มาจากภาษาบาลีคือ ติปิฏก แปลว่า ตะกร้าสามใบ หรือคำสอนสามหมวด (ติ หมายถึง สาม ปิฏก หมายถึง ตำรา คัมภีร์ หรือกระจาด) แบ่งออกเป็น ๓ ปิฎก คือ
๑. พระวินัยปิฎก หรือ พระวินัย ได้แก่ประมวลระเบียบข้อบังคับของบรรพชิตที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้สำหรับภิกษุและภิกษุณี
๒. พระสุตตันตปิฎก หรือ พระสูตร ได้แก่ประมวลพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยังที่ต่างๆ ให้เหมาะกับบุคคล สถานที่ และเหตุการณ์ มีเรื่องราวประกอบ
๓. พระอภิธรรมปิฎก หรือ พระอภิธรรม ได้แก่ประมวลคำสอนที่เป็นหลักวิชาการล้วนๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุการณ์ ไม่มีเรื่องราวประกอบ
โดยเนื้อความทั้งหมดของพระไตรปิฎกจัดแบ่งเป็นหมวด ๆ หรือ ขันธ์ มีจำนวน ๘๔, ๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และพระอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งในการจัด พิมพ์ฉบับพิมพ์ภาษาไทยนิยมจัดแยกเป็น ๔๕ เล่ม หมายถึงระยะเวลา ๔๕ พรรษาแห่งพุทธกิจ แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๘ เล่ม พระสุตตันตปิฎก ๒๕ เล่ม พระอภิธรรมปิฎก
พระวินัยปิฎก
ว่าคือหมวดประมวลพุทธบัญญัติที่ว่าด้วยวินัย หรือข้อปฏิบัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิธีดำเนินการต่าง ๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ โดยแบ่งเป็นสองส่วนคืออาทิพรหมจริยกาสิกขา และ อภิสมาจาริกาสิกขา
พระสุตตันตปิฎก
คือประมวลพุทธพจน์ ที่ว่าด้วยพระธรรมเทศนา หรือธรรมบรรยาย ต่างๆ ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เหมาะสมแก่บุคคล เหตุการณ์ ในโอกาส เวลาและสถานที่ต่างกัน โดยเป็นรูปคำสนทนาโต้ตอบบ้าง ในรูปร้อยกรองบ้าง ร้อยแก้วบ้าง ร้อยแก้วผสมร้อยกรองบ้าง ตลอดถึงธรรมเทศนาของ พระสาวก และพระสาวิกาที่กล่าวตามแนวพระพุทธพจน์ในบริบทต่างๆ ด้วย
พระอภิธรรมปิฎก
ว่าด้วยหลักธรรมต่าง ๆ ที่อธิบายในแง่วิชาการล้วน ๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคล หรือเหตุการณ์ ส่วนมากเป็นคำสอนด้านจิตวิทยา และอภิปรัชญาในพระพุทธศาสนา
//oknation.nationtv.tv/blog/arthur04/2011/04/01/entry-1
พระไตรปิฎกคืออะไร ? มีความเป็นมาอย่างไร ? เชิญชาวพุทธมาอ่านพระไตรปิฎกกันเถอะ
พระไตรปิฎกคืออะไร ? มีความเป็นมาอย่างไรศาสนาทุกศาสนา มีคัมภีร์หรือตำราทางศาสนาเป็นหลักในการสั่งสอน แม้เดิมจะมิได้ขีดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อมนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือ ก็ได้มีการเขียน การจารึกคำสอนในศาสนานั้น ๆ ไว้ //winne.ws/n3476
โดย Pansasiri
14 พ.ค. 2559 - 15.18 น. , แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 2560 - 10.48 น.
แวดวงสงฆ์
4.2 หมื่น ผู้เข้าชม
share
Tags :
ความหมายของคำว่า พระไตรปิฎก
พระไตรปิฎกคืออะไร ?
ศาสนาทุกศาสนา มีคัมภีร์หรือตำราทางศาสนาเป็นหลักในการสั่งสอน แม้เดิมจะมิได้ขีดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อมนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือ ก็ได้มีการเขียน การจารึกคำสอนในศาสนานั้น ๆ ไว้ เมื่อโลกเจริญขึ้นถึงกับมีการพิมพ์หนังสือเป็นเล่ม ๆ ได้ คัมภีร์ศาสนาเหล่านั้นก็มีผู้พิมพ์เป็นเล่มขึ้นโดยลำดับ
พระไตรปิฎก หรือที่เรียกในภาษาบาลีว่า ติปิฎกหรือเตปิฎกนั้น เป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับไตรเวท เป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ ใบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ อัล กุรอานของศาสนาอิสลาม
กล่าวโดยรูปศัพท์ คำว่า "พระไตรปิฎก" แปลว่า ๓ คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นคำ ๆ ว่า พระ+ไตร+ปิฎก คำว่า พระ เป็นคำแสดงความเคารพหรือยกย่อง คำว่า ไตร แปลว่า ๓ คำว่า ปิฎก แปลได้ ๒ อย่าง คือแปลว่า คัมภีร์หรือตำราอย่างหนึ่ง แปลว่า กระจาดหรือตะกร้าอย่างหนึ่ง ที่แปลว่ากระจาดหรือตะกร้า หมายความว่า เป็นที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหวดหมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของฉะนั้น
พระไตรปิฎกแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง ?
เมื่อทราบแล้วว่า คำว่า พระไตรปิฎก แปลว่า ๓ คัมภีร์ หรือ ๓ ปิฎก จึงควรทราบต่อไปว่า ๓ ปิฎก นั้นมีอะไรบ้าง และแต่ละปิฎกนั้น มีความหมายหรือใจความอย่างไร ปิฎก ๓ นั้นแบ่งออกดังนี้
๑. วินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี
๒. สุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่ว ๆ ไป
๓. อภิธัมมปิฎก ว่าด้วยธรรมะล้วน ๆ หรือธรรมะที่สำคัญ
ความเป็นมาของพระไตรปิฎก
การกล่าวถึงความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก จำเป็นต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ยังมิได้จดจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งหลักฐานเรื่องการท่องจำ และข้อความที่กระจัดกระจายยังมิได้จัดเป็นหมวดหมู่ จนถึงมีการสังคายนา คือจัดระเบียบหมวดหมู่ การจารึกเป็นตัวหนังสือการพิมพ์เป็นเล่ม
ในเบื้องแรกเห็นควรกล่าวถึงพระสาวก ๔ รูป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ
๑. พระอานนท์ ผู้เป็นพระอนุชา (ลูกผู้พี่ผู้น้อง) และเป็นผู้อุปฐากรับใช้ใกล้ชิดของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ทรงจำพระพุทธวจนะไว้ได้มาก
๒. พระอุบาลี ผู้เชี่ยวชาญทางวินัย ในฐานะที่ทรงจำวินัยปิฎก
๓. พระโสณกุฏิกัณณะ ผู้เคยท่องจำบางส่วนแห่งพระสุตตันตปิฎก และกล่าวข้อความนั้นปากเปล่าในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้รับสรรเสริญว่าทรงจำได้ดีมาก ทั้งสำเนียงที่กล่าวข้อความออกมาก็ชัดเจนแจ่มใส เป็นตัวอย่างแห่งการท่องจำในสมัยที่ยังไมมีการจารึกพระไตรปิฎกเป็นตัวหนังสือ
๔. พระมหากัสสป ในฐานะเป็นผู้ริเริ่มให้มีการสังคายนา จัดระเบียบพระพุทธวจนะให้เป็นหมวดหมู่ ในข้อนี้ย่อมเกี่ยวโยงไปถึงพระพุทธเจ้า พระสาริบุตร และพระจุนทะ น้องชายพระสาริบุตร ซึ่งเคยเสนอให้เห็นความสำคัญของการทำสังคายนา คือจัดระเบียบคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ดังจะกล่าวต่อไป
ทั้งพระพุทธเจ้าและพระสาริบุตรได้เห็นความสำคัญของการรวบรวมพระพุทธวจนะร้อยกรองให้เป็นหมวดเป็นหมู่มาแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ทำสังคายนาครั้งที่ ๑
พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย
สมัยเมื่อนครนถนาฏบุตร ผู้เป็นอาจารย์เจ้าลัทธิสำคัญคนหนึ่งสิ้นชีพ สาวกเกิดแตกกัน พระจุนทเถระผู้เป็นน้องชายพระสาริบุตร เกรงเหตุการณ์เช่นนั้นจะเกิดแก่พระพุทธศาสนา จึงเข้าไปหาพระอานนท์เล่าความให้ฟัง พระอานนท์จึงชวนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อกราบทูลแล้วพระองค์ได้ตรัสตอบด้วยข้อความเป็นอันมาก แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่สำคัญยิ่ง (ปาสาทิกสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ หน้า ๑๒๘ ถึงหน้า ๑๕๖) คือ ในหน้า ๑๓๙ พระผู้มีพระภาคตรัสบอกพระจุนทะ แนะให้รวบรวมธรรมภาษิตของพระองค์ และทำสังคายนา คือจัดระเบียบทั้งโดยอรรถและพยัญชนะเพื่อให้พรหมจรรย์ตั้งมั่นยื่งยืนสืบไป
พระพุทธภาษิตที่แนะนำให้รวบรวมพุทธวจนะร้อยกรองจัดระเบียบหมวดหมู่นี้ ถือได้ว่าเป็นเริ่มต้นแห่งการแนะนำ เพื่อให้เกิดพระไตรปิฎกดั่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
พระจุนทะเถระผู้ปรารถนาดี
เมื่อกล่าวถึงเรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก และกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงแนะให้ทำสังคายนาก็ดี ถ้าไม่กล่าวถึงพระจุนทะเถระ ก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นความริเริ่ม เอาใจใส่ และความปรารถนาดีของท่าน ในเมื่อรู้เห็นเหตุการณ์ที่สาวกของนิครนถนาฏบุตรแตกกัน เพราะจากข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ท่านได้เข้าพบพระอานนท์ถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรกพระอานนท์ชวนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน พระพุทธเจ้าก็ตรัสแนะให้ทำสังคายนาดังกล่าวแล้วข้างต้น ครั้งหลังเมื่อสาวกนิครนถนาฏบุตรแตกกันยิ่งขึ้น ท่านก็เข้าหาพระอานนท์อีก ขอให้กราบทูลพระพุทธเจ้าเพื่อป้องกันมิให้เหตุการณ์ทำนองนั้นเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมแก่พระอานนท์ โดยแสดงโพธิปัขิยธรรมอันเป็นหลักของพระพุทธศาสนา แล้วทรงแสดงมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท ๖ ประการ อธิกรณ์ ๔ ประการ วิธีระงับอธิกรณ์ ๗ ประการ กับประการสุดท้ายได้ทรงแสดงหลักธรรมสำหรับอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก ๖ ประการ ที่เรียกว่าสาราณิยธรรม อันเป็นไปในทางสงเคราะห์ อนุเคราะห์และมีเมตตาต่อกัน มีความประพฤติและความเห็นในทางที่ดีงามร่วมกัน เรื่องนี้ปรากฏในสามคามสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ หน้า ๔๙ ซึ่งควรบันทึกไว้ในที่นี้ เพื่อบูชาคุณ คือความปรารถนาดีของพระจุนทะเถระ ผู้แสดงความห่วงใยในความตั้งมั่นยั่งยืนแห่งพระพุทธศาสนา
ที่มา://www.larnbuddhism.com/tripitaka/abouttripitaka/from.html
ประวัติคัมภีร์เถรวาท มีความเป็นมาอย่างไร
1. ความรู้พื้นฐาน ความเป็นมาของพระไตรปิฎก
เถรวาท แปลว่า "วาทะของพระเถระ" หมายถึง ถ้อยคำของพระอรหันต์ในคราวสังคายนาซึ่งสืบทอดคำสอนต่อมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คัมภีร์ในสายเถรวาท
คัมภีร์ในสายเถรวาท ส่วนใหญ่บันทึกในภาษาบาลี แบ่งเป็น 2 ชั้น คือ
ก. คัมภีร์ชั้นต้น ที่สืบทอดมาจากการสังคายนา เรียกว่า พระบาลี หรือ พระไตรปิฎก ซึ่งมีรายละเอียดการสังคายนา ดังนี้
สังคยนาครั้งที่ 1 (มุขปาฐะหรือการท่องจำ) ปฐมสังคายนาเมื่อ 3 เดือน หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยพระอรหันต์ ทั้งหมด 500 พระองค์ ดำเนินการสังคายนา
สังคายนาครั้งที่ 2 (มุขปาฐะหรือการท่องจำ) จัดทำในพ.ศ. 100 โดยพระอรหันต์ 700 พระองค์
สังคายนาครั้งที่ 3 (มุขปาฐะหรือการท่องจำ) จัดทำในพ.ศ. 234 โดยพระอรหันต์ 1,000 พระองค์
สังคายนาครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 460 เริ่มจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร
ข. คัมภีร์ขั้นรอง ได้แก่ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และคัมภีร์ปกรณ์พิเศษ เช่น วิสุทธิมรร เป็นต้น เขียนขึ้นราว พ.ศ. 900 กว่า นอกจากนี้ ยังมีคัมภีร์ที่บันทึกในบางท้องถิ่นในภายหลัง และเป็นที่นิยมใช้กันอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ เช่น คัมภีร์ที่บันทึกเกี่ยวกับวิธีการเจริญสมาธิภาวนา หรือพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นต้น
คัมภีร์ในสายเถรวาท ส่วนใหญ่แพร่หลายอยู่ในบางประเทศในเอเซียอาคเนย์ ได้แก่ พม่า ไทย ลาว เขมร เวียตนาม และเอเชียใต้ คือศรีลังกา
2. ความหมายของธรรมกายในคัมภีร์เถรวาท
ความหมายของ "ธรรมกาย" ในคัมภีร์สายเถรวาท มี 4 ความหมายหลัก คือ
2.1 กายแห่งการตรัสรู้ธรรม ซึ่งเป็นพระนามหนึ่งของพระตถาคต ธรรมกาย เปลี่ยนจากเจ้าชายสิทธัตถะโพธิสัตว์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังที่ฎีกาจารย์กล่าวว่า "ลุมพินีวเน รูปกาเยน ชาโต โพธิมณฺเฑ ธมฺมกาเยน..." (สารตฺถทีปนี วินัยฎีกาสมนฺตปาสาทิกาวณฺนา 1/154/326) "พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุบัติด้วยรูปกายที่ป่าลุมพินี และทรงอุบัติด้วยธรรมกายที่โคนต้นโพธิ์" การอุบัติด้วยธรรมกายทำให้พระพุทธองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมกาย หรือเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมที่ทำให้ตรัสรู้ ดังที่ตรัสไว้ในอัคคัญญสูตรว่า
"ตถาคตสฺสเหตํ วาเสฏฐา อธิจนํ ธมฺมกาโย อิติปิ...ธมฺมภูโต อิติปิ..." (ที.ปา.11/5/92)
"ดูก่อน วาเสฏฐะและภารทวาชะ คำว่า "ธรรมกาย" ก็ดี ..."ธรรมภูต" (ผู้เป็นธรรม) " ก็ดี...เป็นชื่อตถาคต"
โดยความหมายนี้ ธรรมกายจึงเป็นพระนามหนึ่งในหลายพระนามเหมือนคำว่า "พุทโธ" หรือ "ภควา" ที่จัดเป็น เนมิตกนาม คือพระนามที่เกิดจากธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เอง ไม่มีผู้ใดทรงตั้งให้ และเป็นวิดมกขันตินาม คือพระนามที่เกิดในที่สุดแห่งการหลุดพ้ที่ทำให้พระองค์บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์
2.2 หมวดหมู่คำสอน คือ พระธรรมวินัย หรือ พระไตรปิฎก
2.3 สภาวธรรม
2.4 สภาวธรรมที่ประกอบเป็นกาย ที่เป็น "อัตตา" มีหลักฐานปรากฏอยู่ 3 แห่ง คือ ขุ.อ.จริยา. ปรมตฺถปีปนี 52/256/324,สีลกฺขนฺธวคฺคฎีกา 9/7/81,สีลกฺขนฺธวคฺคอภินวฎีกา (ปฐโม ภาโค) 12/7/300 มีความว่า
"ปรํ วา อตฺตภูตโต ธมฺมกายโต อญฺญํ ปฏิปกฺขํ วา ตทนตฺกรํ กิเลสโจรคณํ มินาติ หิสตีติ ปรโม..."
"อนึ่ง บารมีย่อมกำจัด คือทำลายปฏิปักษ์อื่นจากธรรมกายอันเป็นอัตตา หรือ (ทำลาย) หมู่โจรคือกิเลสที่ทำความพินาศแก่ธรรมกายอันเป็นอัตตานั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า ปรมะ. สัตว์ใดประกอบด้วยปรมะ (บารมี) ดังกล่าวมานี้ สัตว์นั้นชื่อว่า มหาสัตว์ (โพธิสัตว์)."
ข้อความนี้เท่ากับบอกว่า เป้าหมายของการสร้างบารมีก็เพื่อกำจัดกิเลส ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมกายเบื้องต้นบารมีทำให้ธรรมกายพัฒนาเติบใหญ่ขึ้น เมื่อแก่กล้าก็กำจัดกิเลสในขั้นละเอียดต่อไป