หากจะกล่าวว่า ‘เงินออม คือ จุดตั้งต้นของความสำเร็จทางการเงิน’ ก็คงจะเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงนัก เพราะหากเราได้ศึกษาชีวิตของเศรษฐีหรือคนที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน เกือบทุกคนมีพื้นฐานความร่ำรวยมาจาก ‘การประหยัด อดออม’ นั่นเอง
แล้วเงินออม หมายถึงอะไร
เงินออม หมายถึง เงินที่เก็บสะสม เพื่อให้พอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ตามเวลา และควรเป็นเงินก้อนแรกที่หักออกจากรายได้ที่มีเข้ามาทันที ก่อนที่จะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ (หรือเก็บก่อนใช้) ซึ่งสามารถแสดงสมการเงินออมได้ดังนี้
รายได้ - เงินออม = รายจ่าย
แม้ทุกคนจะรู้ว่าการออมเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่จากสถิติการออมของคนไทยจะพบว่า ในปัจจุบันมีคนไทยร้อยละ 77.4 เท่านั้นที่มีการออมเงิน ในขณะที่อีกร้อยละ 22.6 ไม่มีเงินออม และเมื่อพิจารณาข้อมูลเชิงลึก จะพบว่า รูปแบบการออมเงินของคนไทยส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบของบัญชีฉุกเฉิน หรือบัญชีเงินเก็บระยะสั้น มากกว่าการออมเงินเพื่อใช้หลังเกษียณ ซึ่งจากผลสำรวจของนิด้าโพลพบว่าจุดมุ่งหมายของการออมเงินของคนไทย คือ
ใช้ในยามฉุกเฉิน 41.35%
เพื่อการศึกษาบุตร 26.08%
เพื่อการเกษียณอายุ 23.81%
ซื้อบ้านและรถ 6.50%
การศึกษาของตนเอง 2.26%
นอกจากนี้เมื่อถามถึงระยะเวลาที่สามารถออมเงินได้ พบว่าสามารถออมเงินได้
มากกว่า 5 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี 44.74%
ระหว่าง 1 – 5 ปี 32.23%
น้อยกว่า 1 ปี 11.85%
เท่ากับว่าเรานิยมออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะสั้นและระยะปานกลางเท่านั้น ยังไม่ตระหนักและให้ความสำคัญในการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะยาว นั่นก็คือ เป้าหมายเพื่อการเกษียณอายุ ซึ่งน่าเป็นห่วงมากจริงๆ ที่คนยังไม่ตระหนักว่า หากไม่รีบวางแผนเกษียณอายุให้เร็วที่สุด โอกาสที่เราจะไม่สามารถเกษียณอายุได้ยิ่งมีมากเท่านั้น
แล้วยิ่งเมื่อเทียบเงินออมเพื่อการเกษียณอายุต่อ GDP ของเรากับประเทศอื่นๆ ก็จะยิ่งเห็นว่าเรามีการออมเพื่อเกษียณอายุที่น้อยมากจริงๆ
นอกจากนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักวิธีการบริหารเงินออม โดยพบว่าคนส่วนใหญ่จะนำเงินออมไปฝากไว้ในบัญชี หรือผลิตภัณฑ์การเงินที่ไม่ได้ทำให้เงินออมนั้นงอกเงย
แน่นอนว่า ‘การออม เป็นจุดตั้งต้นของความสำเร็จทางการเงิน’ แต่ยุคนี้ สมัยนี้ แค่ออมเงินอย่างเดียว ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เราต้องรู้จักบริหารให้เงินออมงอกเงยด้วย
เคล็ดลับบริหารเงินให้งอกเงย คือ ออมให้มาก อย่างน้อยให้ได้ 20 - 30% ของรายได้ กันเงินออกมาเพื่อเป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน มีการบริหารความเสี่ยงด้วยการซื้อประกันอย่างเหมาะสม เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะเป็นตัวการทำลายเงินออม และนำเงินไปลงทุนให้งอกเงยผ่านการลงทุนหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ การลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวมต่างๆ สิ่งที่สำคัญที่สุด อย่าลืมลงทุนในการเพิ่มพูนความรู้ของตัวเองด้วย เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง สิ่งที่เสี่ยงกว่าคือการที่เราไม่เริ่มลงทุน แต่สิ่งที่เสี่ยงที่สุด คือการลงทุนในสิ่งที่เราไม่มีความรู้
ขอยกตัวอย่างวิธีการออม ให้มีกินมีใช้ตลอดชีวิต สมมติคุณมีเงินเดือน 25,000 บาท คุณควรจัดสรรเงินของคุณดังนี้
- เก็บในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1,250 บาท / เดือน
- ฝากระยะสั้นหรือกองทุนรวมตลาดเงิน 2,500 บาท / เดือน
- กันไว้จ่ายประกันชีวิตรายปี 1,250 บาท / เดือน
- ซื้อกองทุนรวม 3,750 บาท / เดือน (หากมีการเสียภาษีแนะนำให้ซื้อ LTF และ RMF)
- จับจ่ายใช้สอย 16,250 บาท / เดือน
หากออมเงินและลงทุนได้อย่างนี้ มีสุขภาพทางการเงินที่ดีก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
บทความโดย นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP® นักวางแผนการเงินอิสระ
หากคุณไปขอคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์หรือประสบความสำเร็จในชีวิตด้านการเงิน ว่าคุณต้องการมีอิสรภาพทางด้านการเงินหรืออยากมีชีวิตที่สุขสบายไม่เดือดร้อน แน่นอนว่าหนึ่งในคำตอบที่คุณจะได้รับก็คือต้องมี “เงินออม” เนื่องจากเงินออมเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยเบิกอิสรภาพของชีวิตการเงินคุณได้
แต่หลายคนอาจจะยังสับสนว่าเงินออมคืออะไร รวมถึงไม่รู้วิธีการวางแผนการเงินที่ถูกต้อง บทความนี้มีคำตอบมาฝาก April 27,2022
เงินออมคืออะไร ต้องวางแผนอย่างไรให้ชีวิตสุขสบาย?
ทำความเข้าใจ เงินออมคืออะไร?
เงินออมก็คือ เงินที่เกิดจากการเก็บสะสมหรือแบ่งออกจากรายได้ แล้วจัดสรรเป็นส่วนต่างๆ เพื่อใช้จ่ายในอนาคตหรือเพื่อความมั่นคงของชีวิต ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการสะสมสิ่งของที่มีค่าเป็นตัวเงินอีกด้วยโดยเงินออมถือเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวที่ดีมาก ดังนั้นทุกคนจึงควรเรียนรู้และหมั่นออมเงินอย่างสม่ำเสมอ
เทคนิควางแผนเงินออม
- ตั้งเป้าหมายในการออม
สิ่งแรกที่ควรทำก่อนเริ่มต้นออมเงินคือ การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการจะเก็บออมไปเพื่ออะไร เพราะหากคุณไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน ก็จะทำให้การออมประสบความสำเร็จได้ยากนั่นเอง โดยเป้าหมายของคุณอาจจะเริ่มจากสิ่งง่ายๆ ใกล้ตัว เช่น การอยากซื้อบ้านซื้อรถ การอยากเรียนต่อ หรือคุณอาจตั้งเป้าหมายใหญ่ๆ ระยะยาวก็ได้เช่นเดียวกัน อย่างเช่น การเก็บออมเพื่อชีวิตวัยเกษียณ การสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตและครอบครัว เป็นต้น
- ออมก่อนใช้
อีกหนึ่งวิธีเบสิคของการมีเงินออมก็คือ การออมก่อนใช้ ถือเป็นเทคนิคที่ฟังดูง่ายแต่หลายคนก็ไม่สามารถทำได้ คนส่วนใหญ่เมื่อมีรายได้เข้ามาก็มักจะนำเงินไปใช้จ่ายส่วนต่างๆ ก่อน พอถึงสิ้นเดือนเหลือเงินเท่าไหร่ก็ค่อยเก็บออม ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้คุณเผลอใช้จ่ายเกินตัวจนทำให้มีเงินเหลือเก็บน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ได้ ดังนั้นทางที่ดีคือคุณควรหักออมก่อนนำเงินไปใช้จ่ายจะดีกว่า
- แยกบัญชี แบ่งสัดส่วนเงินออม
เมื่อมีรายได้เข้ามา คุณควรแบ่งสัดส่วนและแยกบัญชีของเงินให้ชัดเจน เช่น บัญชีสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และบัญชีสำหรับเก็บเงิน โดยเงินออมที่หักเก็บแต่ละเดือนก็ควรได้รับการจัดสรรให้ดี โดยคุณควรแบ่งเงินออมออกเป็น 3 ส่วน คือ เงินออมเพื่อการใช้จ่ายหรือเป้าหมายที่ต้องการ เงินออมสำรองฉุกเฉินซึ่งควรมีอย่างน้อย 6 เดือน และเงินออมสำหรับการลงทุนให้งอกเงย
- ติดตามรายรับรายจ่าย
อีกหนึ่งเทคนิคสุดท้ายที่มีความสำคัญไม่แพ้กับเทคนิคข้ออื่นๆ ก็คือการติดตามรายรับรายจ่ายของตัวเองหรือที่หลายคนคุ้นเคยในคำว่า “การทำบัญชีรายรับรายจ่าย” นั่นเอง โดยคุณสามารถจดบันทึกลงสมุดหรือใช้แอปพลิเคชันต่างๆ เข้ามาช่วยก็ได้ การติดตามหรือบันทึกรายรับรายจ่ายนี้ จะช่วยให้คุณรู้ว่ามีเงินเข้าออกค่าอะไรบ้าง และจะทำให้คุณสามารถนำมาวิเคราะห์และอุดรอยรั่วรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อเพิ่มเงินออมให้กับตัวเองอีกทางหนึ่ง
สำหรับใครที่อยากมีเงินออม เทคนิคที่เราแนะนำไปข้างต้นคือเทคนิคที่เป็นประโยชน์และสามารถนำไปทำตามได้ไม่ยาก หากอยากมีชีวิตที่สุขสบายคุณควรเริ่มต้นออมเงินตั้งแต่วันนี้
331 1140