ภาษา หมายถึง เสียงที่เป็นคำพูดหรือถ้อยคำสำนวนที่ใช้พูดกัน รวมทั้งกิริยาอาการที่แสดงออกมาแล้วสามารถทำความเข้าใจกันได้ถูกต้องตรงกัน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ
๑. ภาษาที่เป็นถ้อยคำ หรือ วัจนภาษา หมายถึงภาษาที่ใช้เสียงพูด หรือตัวอักษรที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาโดยตกลงกันให้ใช้เรียกแทนสิ่งของ ความคิด หรือมโนภาพของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มนุษย์รับรู้จากประสาทสัมผัส
๒. ภาษาที่ไม่เป็นถ้อยคำ หรือ อวัจนภาษา หมายถึง ภาษาที่เกิดจากกิริยาอาการต่างๆ ที่แสดงออกมาทางร่างกาย หรือสัญลักษณ์ที่มองเห็นแล้วผู้อื่นเกิดความเข้าใจความหมายได้โดยไม่ต้องอาศัยภาษาพูดหรือภาษาเขียนเป็นสื่อ
ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อความคิดระหว่างมนุษย์มาแต่โบราณ ถ้าไม่มีภาษาสังคมมนุษย์ย่อมไม่สามารถพัฒนามาจนถึงปัจจุบันได้ ในโลกนี้มีภาษาอยู่ประมาณ ๔,๐๐๐ ภาษา ลักษณะที่ถือว่าเป็นธรรมชาติของภาษามีดังนี้
๑. ภาษาใช้เสียงสื่อความหมาย
มนุษย์แต่ละชาติมีการกำหนดเสียงที่ใช้สื่อสารกันเพื่อสื่อความหมาย ภาษาจึงเป็นสิ่งที่สังคมร่วมกันกำหนดขึ้นที่จะให้เสียงใดมีความหมายอย่างใด เสียงในภาษาแต่ละภาษาจึงต่างกัน เช่น เสียงในภาษาไทยประกอบด้วย เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ ในขณะที่เสียงในภาษาอังกฤษจะไม่มีเสียงวรรณยุกต์ เป็นต้น
๒. หน่วยในภาษาประกอบกันเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้นได้
ภาษาประกอบด้วยหน่วยต่างๆ เรียงจากหน่วยที่เล็กไปเป็นหน่วยที่ใหญ่ได้ดังนี้
๒.๑ เสียง เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในภาษา แบ่งเป็น เสียงพยัญชนะ เสียงสระ เสียงวรรณยุกต์
๒.๒ พยางค์ เกิดจากการนำหน่วยเสียงในภาษามาประกอบกัน อาจมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
๒.๓ คำ เกิดจากพยางค์ที่ได้กำหนดความหมาย เมื่อกำหนดความหมายให้พยางค์นั้นก็จะกลายเป็นคำใช้สื่อสารได้
๒.๔ กลุ่มคำหรือวลี เกิดจากการนำคำมาประกอบกันตามหลักการใช้ถ้อยคำของแต่ละภาษา เช่น เสื้อยืดสีดำ เป็นกลุ่มคำ ประกอบด้วยคำ ๒ คำ คือ เสื้อยืดและสีดำ
๒.๕ ประโยค เกิดจากการนำคำมาเรียงลำดับกันตามระบบทางภาษาแต่ละภาษาแล้วได้ใจความสมบูรณ์ ประโยคสามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้โดยการเติมคำขยาย
๓. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง
ภาษาที่ไม่มีการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเราเรียกว่า “ภาษาตาย” ซึ่งจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษาละติน การศึกษาภาษาที่ตายแล้วเป็นการศึกษาเพื่อหาความรู้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรู้เรื่องราวที่เขียนด้วยภาษานั้นๆ มิใช่เพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน สำหรับภาษาที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวันย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเพราะการใช้ของมนุษย์นั่นเอง การเปลี่ยนแปลงจะค่อยเป็นค่อยไปและใช้ระยะเวลานาน เราจึงไม่ค่อยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง สาเหตุที่ทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลง เช่น
๓.๑ ธรรมชาติของการออกเสียง การพูดในชีวิตประจำวันทำให้เกิดลักษณะต่างๆ ได้ เช่น
ก. การกลมกลืนเสียง เช่น
อย่างนี้ เป็น ยังงี้
อย่างไร เป็น ยังไง
ข. การกร่อนเสียง เช่น
ฉันนั้น เป็น ฉะนั้น
หมากพร้าว เป็น มะพร้าว
ค. การตัดเสียง เช่น
อุโบสถ เป็น โบสถ์
ศิลปะ เป็น ศิลป์
ง. การกลายเสียง เช่น
สะพาน เป็น ตะพาน
สภาวะ เป็น สภาพ
จ. การเพิ่มเสียง เช่น
ผักเฉด เป็น ผักกระเฉด
ลูกดุม เป็น ลูกกระดุม
ฉ. การสลับเสียง เช่น
ตะกร้า เป็น กะต้า
ตะไกร เป็น กะไต
๓.๒ การเรียนภาษาของเด็ก เด็กที่เริ่มเลียนแบบเสียงพูดของผู้ใหญ่มักออกเสียงไม่ตรงกับผู้ใหญ่ เช่น พ่อมักออกเสียงเป็นป้อ คุณลุงมักออกเสียงเป็นจุนลุง
๓.๓ ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมสภาพวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปทั้งความเป็นอยู่ อาชีพ การคมนาคม การศึกษา ทำให้เกิดคำต่างๆ ขณะเดียวกันคำที่คนรุ่นใหม่ไม่ได้ใช้เพราะไม่เกี่ยวกับวิถีชีวิตก็เริ่มสูญหายไป เช่น การประกอบอาหารที่มีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้ามาอำนวยความสะดวกทำให้คุณรุ่นใหม่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ดงหม้อ
๓.๔ อิทธิพลของภาษาอื่น การติดต่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร การพัฒนาทางการศึกษา การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ความก้าวหน้าทางวิชาการ วิชาชีพใหม่ๆ ทำให้มีการยืมคำภาษาต่างๆ มาใช้ เช่น คนรุ่นก่อนไม่รู้จักคำว่า หน่วยกิต เกรด สอบซ่อม รู้แต่เพียง คะแนน สอบได้ สอบตก
๔. ภาษาต่างๆ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แม้ว่าแต่ละภาษาจะมีความแตกต่างกัน แต่ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้างหลายประการ ดังนี้
๔.๑ สามารถสร้างศัพท์ใหม่จากศัพท์เดิมได้ โดยอาจเปลี่ยนแปลงศัพท์เดิมหรือนำศัพท์คำอื่นมาประสมกับศัพท์เดิม เช่น ภาษาไทยมีการประสมคำ ซ้อนคำ ซ้ำคำ ภาษาอังกฤษมีการเติม Prefix Suffix Infix เป็นต้น
๔.๒ มีสำนวนและมีการใช้คำในความหมายใหม่ เช่น ในภาษาไทยมีการใช้คำว่า “สีหน้า” ซึ่งมิได้หมายถึง สีของหน้า แต่หมายถึงการแสดงออกทางดวงหน้า หรือในภาษาอังกฤษมีคำว่า “hot air” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าอากาศร้อน แต่หมายถึงเรื่องไม่จริง
๔.๓ มีชนิดของคำคล้ายกัน เช่น คำนาม คำขยายคำนาม คำกริยา คำขยายกริยา
๔.๔ มีวิธีการขยายประโยคให้ยาวออกไปได้เรื่อยๆ
๔.๕ มีวิธีแสดงความคิดคล้ายกัน เช่น ทุกภาษาต่างมีประโยคที่ใช้ถาม ปฏิเสธ หรือใช้สั่ง
๔.๖ มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
๕. ภาษาย่อมมีส่วนประกอบที่เป็นระบบ มีระเบียบแบบแผน ภาษาทุกภาษาจะต้องมีระบบระเบียบแบบแผน
โดยทั่วไปแล้วภาษามีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ สัญลักษณ์ คำ ประโยค และความหมาย ทุกส่วนประกอบเหล่านี้ ต้องอยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตามระเบียบแบบแผนของภาษาจึงจะทำให้เกิดเป็นภาษาที่สมบูรณ์
Credit >> //krunitty.wordpress.com/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2/
ตัวอย่างวรรณคดีไทย
- มหาชาติคำหลวง หรือ มหาเวสสันดรชาดก
เดิมเป็นภาษามคธหนึ่งพันคาถา แปลเป็นไทยมาแต่กรุงสุโขทัย เป็นหลักของหนังสือไทยเรื่องหนึ่ง สำคัญกว่าชาดกอื่นๆ ด้วยปรากฎบารมีของพระโพธิสัตว์บริบูรณ์ทั้ง ๑๐ อย่าง ยาว ๑๓ กัณฑ์ สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดให้นักปราชญ์ ราชบัณฑิตในกรุงศรีอยุธยา ร่วมกันแปลแต่งมหาชาติขึ้นโดยวิธีตั้งสลับภาษามคธบาทหนึ่ง
แปลเป็นไทยวรรคหนึ่ง เป็นฉันท์บ้าง โคลงบ้าง เพื่อความไพเราะและใกล้เคียงภาษาเดิม จึงเป็นหนังสือซึ่งนับถือว่า แต่งดีมาแต่ครั้งกรุงเก่า
- ลิลิตพระลอ
- สังข์ทอง
- กากี
- มโนห์รา หรือ พระสุธนคำฉันท์
- พระอภัยมณี
- เงาะป่า
- มัทนะพาธา หรือ ตำนานแห่งดอกกุหลาบ
- สาวิตรี
- สกุนตลา
- กนกนคร
- กามนิต - วาสิฎฐี
Credit >> //pioneer.netserv.chula.ac.th/~boonnart/literat.html