* รูปหนังสือส่วนใหญ่เป็นรูปแทนค่ะ*
จำนวนผู้เข้าชม 3557 ครั้ง
หนังสือทุกเล่มมีประกันการสูญหายค่ะ
ผู้แต่ง :Shinjo mayuผู้แปล/เรียบเรียง :-สำนักพิมพ์ :บงกชเรื่องย่อ :-รหัส :VB034052หมวด :การ์ตูนชนิดปก :ปกอ่อนจำนวนหน้า :- หน้าพิมพ์ครั้งที่ / พศ. :-/-ขนาด :- x - ซม.ประเภท :หนังสือมือสองสภาพ :(95) % (สภาพดีมาก)สภาพเพิ่มเติม :-อัพเดทล่าสุด :21 ธันวาคม 2565สถานะสินค้า :❗[สินค้าหมด]ราคาปกติ : 140 บาท
ราคาขาย สินค้าหมด บาท
รับสิทธิ์ฟรีค่าจัดส่งเมื่อสั่งเกิน 800 บาท !!
สินค้าหมดหากมีปัญหาการสั่งซื้อสามารถติดต่อทางไลน์ : @welovebookธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัลพระราม 3 ออมทรัพย์ นันรณา จำลอง 404-xxxxxx-3
พร้อมเพย์ สาขา- - นันรณา จำลอง 095-xxxxxx-5
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาตลาดประชาอุทิศ 61 ออมทรัพย์ นันรณา จำลอง 258-xxxxxx-1
บมจ. ธนาคารกรุงไทย สาขาพลัสมอล อมตะนคร ออมทรัพย์ นันรณา จำลอง 982-xxxxxx-1
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัลบางนา ออมทรัพย์ นันรณา จำลอง 213-xxxxxx-5
บมจ. ธนาคารกสิกรไทย สาขาโลตัสพระราม 4 ออมทรัพย์ นิติธร จำลอง 710-xxxxxx-1
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาราษฎร์บูรณะ ออมทรัพย์ นิติธร จำลอง 186-xxxxxx-7
เ็ม.ปลายที่เื่อในวามรั ยอมทำและเสียสละทุอย่าเพื่อนที่นเอรั ที่ริแล้วนารูโะเป็นลูรึ่ที่แม่เป็นนาฟ้าพ่อเป็นมนุษย์
-โปร่วยทำให้วามรัอผมสมหวัะไ้มั้ย-
Uchiha Sasuke
เ้าายาาน้วยวามที่แ็แรและเ่าึทำให้ไม่มีใรล้าหือ ้วยวามไรปราีอบระาวินามนุษย์ที่ยัไม่ถึา เพราะไม่เื่อในเรื่ออวามรัและิว่าวามรัทำให้มนุษย์อ่อนแออยู่ไป็ไม่มีวามหมาย ึถูส่มาพิศูรว่าวามรัเอานะทุอย่าไ้แม้ระทั้วามายที่โลมนุษย์
-้าะทำในสิ่ที่เ้าปรารถนา...แ่เ้าะ้อแล้วยวามบริสุทธิ์-
Sabakuno Gaara
เป็นลูรึ่เทวาับอสูรเลือที่ะอยู่ับแม่บนสวรร์ เาึลายเป็นเทวภูบนสวรร์ ถูแบ่ั้นวรระ้วยวามแ็แร่และเ่าพอๆับาสึเะ ที่มีารยอมรับาเหล่าภูอสูร
-้าะปป้อเ้า...นว่าะถึวินาทีสุท้ายอีวิ-
Inusuka Kiba
เป็นเพื่อนอนารูโะ ที่รัและเป็นห่วนารูโะอยู่เสมอ เป็นนที่เื่อในวามรัและยอมทำทุอย่าเพื่อมันเหมือนัน
#5 ปีศักราชเอลีออนที่ 276 เคปรันที่อยู่ระหว่างทางไปเซเรนเดียตกเป็นแพะรับบาปตัวแรก แต่ไฮเดลนั้นมีคลิฟและอาร์มสตรอง สองนักเดินทางลือชื่อ ไม่ว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นกี่ครั้ง ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะสองผู้กล้านี้ได้เลย กาย เซริคได้รวบรวมทหารอาสากว่า 300 คนและมุ่งหน้าไปยังบาเลนอสเพื่อทำสงคราม แม่น้ำที่เชื่อมระหว่างบาเลนอสและเซเรนเดีย ไหลผ่านปราสาทไฮเดล เหล่าทหารไฮเดลที่ล่องเรือมาแสนไกลต่างหมดเรี่ยวแรงและอ่อนกำลังลง แม้ว่าคลิฟจะนำทหารมาอย่างรวดเร็ว แต่ปราสาทกลับถูกเผาไหม้เสียแล้ว กาย เซริคไม่อยู่ที่นั่น
#6 ปีศักราชเอลีออนที่ 277 ทันทีที่ปราสาทไฮเดลเผาไหม้ การโจมตีของคาลเพออนก็เริ่มขึ้นบริเวณใกล้ๆ กับหอสังเกตการณ์ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือกษัตริย์คลูซีโอ กาย เซริคได้จับกษัตริย์ไฮเดลไว้ และได้สั่งให้ผู้ส่งสารไปบอกแก่คลิฟว่าหากยอมทำตามเงื่อนไขสามข้อ ก็จะปล่อยตัวกษัตริย์ให้ และจะไม่ปล่อยค่ายทหารขนาดใหญ่บริเวณหอสังเกตการณ์ไว้ พร้อมทั้งจะแต่งตั้งให้คาลเพออนเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการฑูต ส่วนผลึกดำของเซเรนเดีย ก็จะตกอยู่ในอำนาจการดูแลของคาลเพออนเท่านั้น
#7 ปีศักราชเอลีออนที่ 278
แต่คำว่าพันธมิตรไม่มีอีกต่อไป ถ้าไม่มีกองกำลังอันแข็งแกร่งของไฮเดลช่วยสนับสนุน ก็คงจะไม่สามารถเอาชนะเมเดียที่เข้มแข็งได้ ทั้งๆ ที่คาดการณ์เช่นนั้นไว้ กาย เซริคก็ยังคงคิดที่จะมุ่งหน้ารวบรวมกองกำลังมหาศาลอยู่ดี ปัญหาก็คือค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ไม่มีความอดทนพอที่จะรอให้รวบรวมผลึกดำได้อีกต่อไป เรื่องที่ห้ามทำสุดท้ายกษัตริย์ก็ทำลงไป เพื่อจัดการค่าใช้จ่ายในการทำสงครามภาษีที่ไม่เคยมีก็เกิดขึ้น ชนชั้นล่างที่เพิ่งจะมีความมั่นคงก็เหมือนถูกฟ้าผ่า สถาบันเอลีออนเองก็ถูกเรียกเก็บภาษี เหล่าทหารชั้นสูงก็ตกอยู่ในอำนาจของกษัตริย์
#8 ปีศักราชเอลีออนที่ 281 ความฝันของกษัตริย์ไม่ย้อนคืนอดีตที่ผ่านมาได้ ระบบศักดินาหมดความน่าเชื่อถือมาตั้งนานแล้วเพราะความตายสีดำ ชนชั้นล่างต่างยืนหยัดในเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเอง ทำให้ช่วงนั้นกลายเป็นยุคสมัยแห่งการค้าขาย เหล่าชนชั้นสูง, นักบวช และชนชั้นล่าง ต่างไม่ปล่อยให้กษัตริย์ตัดสินใจกระทำการใดๆ ด้วยพระองค์เอง สุดท้ายแล้วกษัตริย์จึงต้องยุติความฝันของตนไว้ และจบชีวิตลงด้วยเหล้าพิษ สมาคมที่บ่งบอกถึงยศฐาบรรดาศักดิ์ต่างๆ ในคาลเพออนถูกแต่งตั้งขึ้น และเริ่มการปกครองแบบแบบรัฐสภา
ตำนานเซเรนเดีย
ตำนานเซเรนเดีย
คลูซีโอ โดมอนกัทท์ไม่สามารถหาเหตุผลของสงครามได้ ต่างจากกษัตริย์องค์ก่อน เขาไม่ปลอบประโลมความโกลาหลของชนชั้นล่างที่มีสาเหตุมาจากสงคราม นอกจากนั้นเขายังไม่พอใจที่กษัตริย์ดาฮาร์ด เซริก แห่งคาลเพออนที่กระทำกับเขาราวกับว่าเขายังอ่อนต่อโลก #1 ปีศักราชเอลีออนที่ 265 คลูซีโอกษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์ไฮเดลประกาศต่อคาลเพออนว่าจะไม่มีการออกร่วมเดินทางไปเพื่อสงครามอีก เหล่าสาวกคาลเพออนต่างพากันอึดอัด
เหตุการณ์การล้มเลิกการร่วมขบวนเดินทางไปสงครามในครั้งนี้ ทำให้อำนาจของเหล่านักบวชตกอยู่ในอันตราย ทั้งๆ ที่คิดไว้ว่าจะสร้างโบสถ์ในระหว่างทางไปสงคราม ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์พวกเขาอาจจะเผยแพร่คำสอนของเอลีออนไปได้ถึงบาเลนเซียแท้ๆ เหล่าสาวกต่างประกาศเตือนคำกล่าวของคลูซีโอ และดาฮาร์ดเองก็ออกมาเกลี้ยกล่อม คลูซีโอตกอยู่ในสถานที่ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก สงครามกับคาลเพออนนั้นเป็นเรื่องที่สมควรหลีกเลี่ยง ตามที่เหล่าทหารกองทัพไฮเดลว่า เหล่าผู้ติดตามเอลีออนนั้นมีมาก หลังจากคิดทบทวนมานานคลูซีโอก็ประกาศเข้าร่วมเพื่อเดินทางไปทำสงครามอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เขาต้องเสี่ยงทั้งๆ ที่ไม่มีความมั่นใจ เบาะแสสุดท้ายก็คือ การเห็นชอบจากดาฮาร์ด ดาฮาร์ดนั้นประกาศก้องว่า ถ้าไม่อยากให้คนรุ่นหลังหัวเราะเยาะอย่างน้อยๆ ก็ต้องไปให้เห็นถึงปราสาทบาเลนเซีย การรวบรวมผู้คนเพื่อสงครามครั้งนี้ใช้เวลาร่วม 2 ปี
การเดินทางข้ามทะเลทรายสีดำนั้น กลายเป็นเรื่องที่คุ้นเคย จนโดมอนกัทท์แทบจะหลับตาเดินข้ามไปได้ง่ายๆ แต่โลกนี้ไม่มีอะไรง่ายๆ เพราะตั้งแต่เริ่มการเดินทัพพายุก็พัดมาจากเมเดีย กระแสน้ำเริ่มแปรทิศทาง ทะเลทรายนั้นยังอยู่อีกไกล เหล่าทหารมาตั้งค่ายอยู่ที่ด้านล่างของกำแพงปราสาท เพื่อเฝ้ารอลมที่จะพัดมา และหลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ทิวทัศน์ของเมเดียถึงได้ปรากฏขึ้นให้เห็น
ขณะนั้นเองมีใครบางคนเห็นธงสีแดง แล้วตะโกนขึ้น มีธงสีแดงปักอยู่ที่อาณาเขตของบาเลนเซีย นั่นหมายความว่าเหล่าพันธมิตรเข้ามาที่ทะเลทรายสีดำแล้ว เหล่าสาวกแห่งเอลีออนที่เดินทางไปที่สนามรบต่องเริ่มสวดอ้อนวอน เวลานั้นผ่านไปเพียงไม่นานความมืดก็คลืบคลานเข้ามา พายุฝุ่นขนาดใหญ่ได้พัดเข้ามา คลูซีโอที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งใต้โพรงทราย ดาฮาร์ดก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อได้เห็นว่าธงสีแดงล้มลงมาข้างๆ ก็รู้ได้ว่าฝ่ายบาเลนเซียนั้นเสียหายมากมาย
การเดินทางเพื่อไปรบ ? การมีชีวิตเหลือรอดอยู่นั้นสำคัญยิ่งกว่า เมฆดำคลืบคลานเข้ามาปกคลุมจากทั่วทุกทิศทางนั้นช่างไม่ปลอดภัย พายุฝุ่นยังคงพัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเดินมาต่อมาเรื่อยๆ ก็ถูกแม่น้ำเดมิที่มีขนาดใหญ่ขวางทาง หลังจากที่รออยู่เป็นเดือนปลายแม่น้ำก็เปิดออก และหลังจากที่เดินข้ามไปคลูซีโอก็เรียกสติกลับมาได้ เหล่าขณะเดินทางต่างผิดหวัง คณะนักบวชแห่งคาลเพออน ได้มอบรางวัลขนาดใหญ่ให้แก่เหล่าทหาร ชัยชนะอันใหญ่หลวงที่ทำให้บาเลนเซียไม่อาจลุกขึ้นมาได้ เหตุผลอะไรก็ได้ที่สามารถนำมาปลอบใจผู้ที่ประสบกับหายนะอันใหญ่หลวง โชคดีที่หายนะครั้งนี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากนักต่อปราสาทไฮเดล หรือที่ราบเซเรนเดีย แต่ทางตอนใต้มีหนองน้ำเพิ่มมากขึ้น
สงครามที่มนุษย์ไม่สามารถหยับยั้งได้ จบลงด้วยฝีมือของธรรมชาติ และแล้วความสงบก็เข้ามา กาย เซริคกษัตริย์หนุ่มก็ได้กลับมาครองบัลลังก์
#2 ปีศักราชเอลีออนที่ 275 สมาคมการค้าไฮเดลเริ่มมุ่งหน้าสู่เมเดีย นับเป็นเวลาถึง 7 ปีที่ไม่ได้มาพบเห็น เมเดียในตอนนี้ได้พัฒนาไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง กลุ่มการค้าได้รายงานเรื่องความเจริญก้าวหน้านี้ และโดมอนกัทท์ก็สั่งให้สืบหาสาเหตุที่ทำให้เมเดียเจริญรุ่งเรืองขึ้น จนสืบได้ว่าทุกอย่างเป็นเพราะผลึกดำ
และหลังจากที่ได้รับรายการว่าแท้จริงแล้วเศษหินที่พวกนากาถืออยู่ในมือคือผลึกดำ โดมอนกัทท์ก็เร่งเดินทางไปที่หนองน้ำทันที นี่จะเป็นกุญแจในการแก้ไขปัญหากับคาลเพออน แต่โดมอนกัทท์ที่น่าสงสาร ไม่สามารถเพียงที่จะเริ่มต้นทำอะไร
เพราะคาลเพออนเองก็ทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหาผลึกดำ แต่ที่ดินแดนของคาลเพออนเองก็ไม่มีผลึกดำ แต่ทันทีที่ได้ยินข่าวลือว่ามีการค้นพบผลึกดำที่เหมืองหินเคปรันของเซเรนเดีย กษัตริย์หนุ่มกาย เซริคก็ไม่รอช้า
#3 ปีศักราชเอลีออนที่ 276
และแล้ว กาย เซริคก็ได้เปลี่ยนความคิดขึ้น เนื่องจากสิ่งที่เขาต้องการคือผลึกดำ จึงได้ทำสนธิสัญญาขึ้นมาและได้อ้างถึงการยุติสถานการณ์การนองเลือดนี้ ทำให้โดมอนกัทท์ลังเลใจอยู่ไม่น้อย แต่ตราบใดที่เขาไม่ยอมแพ้ โอกาสที่จะเป็นฝ่ายชนะก็สามารถมาเยือนได้ทุกเมื่อ ในที่สุดสนธิสัญญานี้ก็ถูกปรับใช้ตามข้อตกลงของโดมอนกัทท์ และมีระยะเวลายาวนานมากกว่า 1 ปี หลังจากนั้นโดมอนกัทท์ก็ถูกปล่อยตัวกลับมายังไฮเดล ซึ่งชาวไฮเดลเองก็เข้าใจการกระทำของเขาเป็นอย่างดี เขาได้สร้างศูนย์กลางขึ้นมาใหม่ที่บริเวณทุ่งหญ้าใกล้กับหอสังเกตการณ์ และคลิฟกับอาร์มสตรองที่ต้องย้ายค่ายไปยังภาคตะวันตกนั้น ก็เคารพต่อการตัดสินใจของโดมอนกัทท์เช่นกัน แต่ก็ยังมีบางคนที่รู้สึกกังวลและหวาดกลัวต่อการตัดสินใจนี้ แต่โดมอนกัทท์ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะสิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดในตอนนี้ คือการมองเห็นที่โรงสกัดคาลเพออนที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาบริเวณหนองน้ำแห่งเซเรนเดีย และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับการที่คลูซีโอเริ่มติดเชื้อโรคร้ายขึ้น
#4 ปีศักราชเอลีออนที่ 281
#5 ปีศักราชเอลีออนที่ 283 เหล่าชาวไร่ต่างออกมาต่อต้าน เนื่องจากภาษีของปีที่ผลผลิตตกต่ำนั้นไม่ลดลงเลย และเผ่ายามาญก็ดุร้ายมากขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อผลผลิตมากขึ้นไปอีก พวกชาวไร่จึงได้ส่งตัวแทนคือ อาล รูนดี้ไปยังปราสาทเพื่อแก้ไขปัญหานี้ แต่เขาก็กลับโดนเจ้าปราสาทอาละวาดกลับมา รวมทั้งถูกทารุณต่างๆ นานา จนสุดท้ายต้องโดนเนรเทศไปยังเขตสันติภาพ ชาวไร่ทั้งหลายโกรธมากแต่ก็ไม่สามารถต่อกรกับเหล่าทหารที่กำลังเตรียมทำสงครามได้ และผู้ที่กล้าเผชิญหน้ากับเหล่าทหารก็ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตดังเดิมได้สักคน อาล รูนดี้จึงตัดสินใจเป็นกบฏและหาทางลักลอบเข้าไปในปราสาทและรวบรวมผู้คนที่กำลังทุกข์ยาก ซึ่งทำให้จอร์ดีนเกิดความทุกข์ใจในการเรียกเก็บภาษีเพิ่ม และในระหว่างที่จอร์ดีนกำลังแก้ปัญหาพวกกบฏชาวไร่ ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งแทรกขึ้นมา อยู่ๆ ก็มีแสงประหลาดสาดส่องฝ่าความมืดลงมาจากท้องฟ้า เหตุการณ์นี้ทำให้เผ่ายามาญมีความดุร้ายมากขึ้น และเหล่ามอนสเตอร์ก็เริ่มออกอาละวาด ชาวบ้านบางคนก็บอกว่าพบเห็นก้อนหินที่มีชีวิตขึ้นมา และเริ่มเรียกเหตุการณ์นี้ว่า 'เหตุการณ์ของหอคอยแห่งความมุ่งมั่น'
เพราะว่าในสมัยก่อนที่คนโบราณได้ก่อสร้างหอคอยแห่งความมุ่งมั่นขึ้น ก็มีเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้เช่นเดียวกัน
#6 ปีศักราชเอลีออนที่ 285 ได้ยินข่าวลือว่าที่เวเรียมีผู้มาเยือนเพิ่มมากขึ้น
ตำนานเมเดีย
ตำนานเมเดีย
เมเดียล่มสลาย วิญญาณของวิญญาณ มีผู้พลีชีพนับไม่ถ้วนในสงครามระหว่างคาลเพออนและบาเลนเซีย เมเดียซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างประเทศทั้งสอง และพระเจ้าบาเรสที่ 3 แห่งเมเดียเป็นผู้ที่ไร้ความสามารถและครองราชย์สั้นที่สุดในประวัติศาตร์ #1 ปีศักราชเอลีออนที่ 235
#2 ปีศักราชเอลีออนที่ 266 แม้เมเดียจะเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมจำนนให้กับภัยจากธรรมชาติ ผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น และความแห้งแล้ง ทำให้ชนเผ่ายามาญต้องเร่งฝีเท้าเดินทาง ข้ามเขาข้ามทะเลทราย มาตั้งถิ่นฐานยังเมเดีย ที่ซึ่งได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติน้อยที่สุด หลังจากนั้นไม่นาน ถ้ำหินภูเขาไฟโอมาร์ และเหมืองแร่ก็ถูกปิดไป เพราะพายุทราย และปัญหาจากชนเผ่ายามาญ
#3 ปีศักราชเอลีออนที่ 273 สมาคมนักขายเมเดียเริ่มลงทุนจำนวนมหาศาลจากการค้าระหว่างคาลเพออนกับบาเลนเซีย เพื่อสร้างเมืองหลวง นั่นเป็นช่วงที่อัลทิโนว่าถือกำเนิดขึ้นในเมเดียที่ไม่เคยมีเมืองหลวงเป็นจุดศูนย์กลางมาก่อน เมื่อสร้างกำแพงเมืองอัลทิโนว่าแล้ว เหล่านักการค้าและชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ก็มารวมตัวกัน และนั่นทำให้เผ่ายามาญที่เคยเข้ามารุกรานค่อยๆ หายไป ที่นี่ทำให้รู้สึกได้ถึงความสงบสุขเช่นกัน
และพวกศัตรูที่คอยเข้ามาบุกรุกเมเดีย ต่างก็ไม่คาดคิดว่าเมืองไร้กฏหมายอย่างเมเดียนั้น จะกลับมาแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
#4 ปีศักราชเอลีออนที่ 268
ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับหนังสือคาร์เทียนก็ไม่สามารถรับมือกับพลังนี้ไหว และต้องจบลงด้วยการสูญเสียสติไปตามๆ กัน ต่อมาได้มีการร่างหนังสือคาร์เทียนขึ้นมาใหม่ และผนึกหนังสือเล่มเดิมไว้ ผู้นำแต่ละคนได้ผนึกมนตราของตนเองไว้ที่หนังสือดังกล่าว เพื่อไม่ให้มีผู้ใดสามารถเปิดผนึกและนำพลังร้ายของหนังสือคาร์เทียนไปใช้สร้างความเสียหายได้อีก
#5 ปีศักราชเอลีออนที่ 273 ผู้นำคนถัดไปของหมู่บ้านทารีฟต่อจากอาฮอนคีรุส คืออิลเลซรา เธอมีความสนใจในหนังสือคาร์เทียนที่ถูกผนึกไว้เป็นอย่างมาก จึงได้พยายามเปิดผนึกและฝ่าฝืนข้อห้ามทั้งหมด อิลเลซราได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการพยายามเปิดหนังสือนี้ แต่ก็สามารถรับพลังอันร้ายแรงของหนังสือคาร์เทียนสำเร็จ และตัดสินใจหนีออกจากหมู่บ้านทารีฟไป เธอได้ยั่วยุคนคลั่งศาสนาแอลริคจนสามารถกำจัดเผ่ายามาญสำเร็จ และสร้างหอคอยไว้ที่ภาคใต้ของเมเดีย แต่ทันทีที่สร้างหอคอยสูงนั่นขึ้นมา จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นและความมืดได้เข้ามาครอบงำไปทั่วทุกพื้นที่
#6 ปีศักราชเอลีออนที่ 277
#8 ปีศักราชเอลีออนที่ 281 และก็ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นในอัลทิโนว่าที่อยู่มาอย่างสงบ เนื่องจากการมาเยือนของสมาคมนักขายเมเดีย ที่ไม่อาจจะต้อนรับหรือขับไล่ออกไป การอยู่รวมกันอย่างแออัดก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ตำนานบาเลนเซีย
ตำนานบาเลนเซีย
บาเลนเซีย (Valencia), ราชวงศ์เนเซล
ผู้ผ่านความตายคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น แล้วพาเด็กสาวคนหนึ่งไปที่ห้องหินโบราณ ทันใดนั้น ประตูทั้งหมดที่ถูกปิดตายก็เปิดออก ทุกคนล้วนคุกเข่าคำนับและพาดบันใดเพื่อเชื่อมต่อไปยังห้องหิน เมื่อมาถึงห้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยทองคำนานาชนิด เด็กสาวยื่นมือไปหยิบมงกุฏจากกองสมบัติเหล่านั้น และนับจากนั้นเป็นต้นมา ราชินีแห่งบาเลนเซียก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นับเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์ของอีมูร์ เนเซล กษัตริย์บาเลนเซียองค์ที่ 4 จากนั้นมา ชาวบาเลนเซียทุกคนได้ใช้ชีวิตโดยลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ทั้งความตายสีดำที่ครอบงำทะเลทราย และนักสังหารอาร์คมานที่เป็นประวัติศาสตร์อันเลวร้ายของบาเลนเซีย..... #1 ปีศักราชเอลีออนที่ 233 ความบาดหมางระหว่างชนเผ่าอาร์คมานและราชวงศ์เนเซลเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ชนเผ่าอาร์คมานที่อยู่ในบาเลนเซียมาตั้งแต่อดีตต่างเรียกตนเองว่า <ผู้พิทักษ์อารยธรรมโบราณ> พวกเขาปะทะกับเหล่าราชวงศ์เรื่องห้องหินโบราณและวัตถุโบราณต่างๆ ที่ปรากกฏในทะเลทรายบาเลนเซีย ทำให้อีมูร์ เนเซล กษัตริย์บาเลนเซียองค์ที่ 4 ได้ประกาศคำสั่งให้รวบตัวเผ่าอาร์คมาน
#2 ปีศักราชเอลีออนที่ 234
และเมื่อเผ่าอาร์คมานถูกกำจัด หายนะอันยิ่งใหญ่ก็เข้ามากลืนกินแผ่นดินทิศตะวันตกทันที ความมืดสีดำที่มาจากกลุ่มการค้าบาเลนเซีย ทำให้กษัตริย์อีมูร์ต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไป ผู้คนต่างล่ำลือกันว่าการที่กษัตริย์อีมูร์ได้กำจัดเผ่าอาร์คมาน เป็นการทำให้เทพเจ้าโกรธแค้นจึงได้รับการลงโทษเช่นนี้ และผู้คนส่วนมากต่างมองว่าอีมูร์เป็นอสูรชั่วร้าย ทั้งๆ ที่บาเลนเซียใช้ก้อนหินสีดำและสร้างหายนะเหล่านี้ขึ้น นักบวชศาสนาเอลีออนแห่งคาลเพออน ต่างต้องการครอบครองทะเลทรายที่มีก้อนหินสีดำเหล่านี้ พร้อมกับอ้างว่าเป็นการทำเพื่อยุติหายนะทั้งปวง
#3 ปีศักราชเอลีออนที่ 236
#4 ปีศักราชเอลีออนที่ 270 ฮอร์เมร์ เนเซล เป็นกษัตริย์ผู้มีความรู้ปราดเปรื่อง บาเลนเซียภายใต้การปกครองของฮอร์เมร์นั้น รุ่งเรื่องทั้งในด้านโหราศาสตร์, ดาราศาสตร์ และศาสนศาสตร์ และมีความมั่งคั่งจากการค้าผลึกดำในทะเลทรายเป็นอย่างมาก บาเลนเซียในตอนนั้นเสมือนเป็นเมืองใหญ่ที่แข็งแกร่งจนไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้ แต่ภายหลังชาวเมืองต่างละทิ้งอดีตอันเรืองรองเหล่านั้น แล้วหันมานับถือเทพเจ้าอาลล์ เพื่อแสวงหาความสุขที่มากขึ้นให้แก่ตนเอง
#5 ปีศักราชเอลีออนที่ 282
ตำนานคามาซิลเวีย
ตำนานคามาซิลเวีย
คามาซิลเวีย (Kamasylvia) ยุคกำเนิดโลกที่บันทึกในประวัติศาสตร์ ณ. ที่ที่สูงที่สุดในใจกลางของป่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้แพร่รากลงไป ที่แห่งนั้นเองที่เทพธิดาซิลเวีย ได้ลงมาพร้อมกับวิญญาณธรรมชาติ
พร้อมกับตั้งชื่อให้ต้นไม้นั้นว่า คามาซิลฟ์ เธอรับพลังงานของอาทิตย์และพระจันทร์ แล้วให้กำเนิดคาเนลและเวดิล ที่ได้รับคำอวยพรจากแสงสีเขียวของป่าและนางฟ้าฟัน
#1 ปีศักราชเอลีออนที่ 274 กาย เซริค กษัตริย์แห่งคาลเพออน ได้ชื่นชมคามาซิลเวียว่าเปรียบเสมือน ‘ป้อมธรรมชาติเพื่อปกป้องธรรมชาติ’ ทั้งต้นไม้ที่สูงตระหง่าน และความเป็นอยู่ที่แสนสงบร่มเย็น รวมไปถึงกองทหารที่คอยปกป้อง คามาซิลเวียก็น่าทึ่งมากเช่นกัน พวกเขามีทักษะธนูที่ทหารคาลเพออนไม่สามารถทัดเทียมได้ และถือเป็นโอกาสดีต่อทหารคาลเพออนที่จะได้เรียนรู้ทักษะธนูด้วยเช่นกัน ในที่สุดคามาซิลเวียก็ตอบตกลงเป็นพันธมิตรทางทหารหลังจากที่กาย เซริคใช้เวลาโน้มน้าวอยู่นาน จากนั้นมา ทหารคามาซิลเวียจึงได้มาประจำการอยู่ที่ป้อมซาวนิลแห่งคาลเพออนภาคใต้ และฐานป้องกันโทรลล์ นักบุญเนลลี่ดอร์มินพร้อมกับนักบวชคนอื่นๆ ก็ถูกส่งไปอยู่ที่เขตลาดตระเวนต้นไม้ใบยาว ดูเหมือนว่าผลประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรครั้งนี้จะตกเป็นของคาลเพออนเสียส่วนใหญ่ โดยที่ไม่มีใครรู้ถึงสงครามที่เกิดขึ้นภายในคามาซิลเวียและการสู้รบกันของเหล่าลูกหลานนางฟ้าซิลเวีย เนื่องจากเหตุการณ์เหล่านี้ถูกปิดบังโดยนโยบายแห่งคามา-กราน่า ที่ต้องการปกป้องความงดงามของผืนป่านั่นเอง
#2 ปีศักราชเอลีออนที่ 276
มิหนำซ้ำ ยังมีคำทำนายแห่งหายนะถัดไปว่า ป่าจะต้องถูกปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าสีขาว ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่ลูกหลานซิลเวียเป็นอย่างมาก และในตอนนั้นเอง เหล่าเวดิลได้ค้นพบพลังที่เหนือกว่าเหล่าวิญญาณแห่งความมืด หลังจากที่พยายามค้นหาพลังอันแข็งแกร่งอยู่นาน แต่ก็ไม่พบพลังใดที่อยู่เหนือพลังแห่งคามาซิลฟ์ได้เลย ทำให้มีหนึ่งในเวดิลเสนอแนวคิดที่จะเผาต้นคามาซิลฟ์ แล้วดูดซึมพลังที่ได้จากการมอดไหม้นั้น ซึ่งแนวคิดที่ว่าก็ดูเหมือนจะเริ่มเป็นจริงขึ้นมา ในที่สุดพลังแห่งคามาซิลฟ์ก็ถูกเผาไหม้และพลังแห่งชีวิตก็ปรากฏขึ้น ซึ่งพลังดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูงกว่าพลังใดๆ สุดท้าย ก็ไม่มีใครสามารถปกป้องคามาซิลฟ์ไว้ได้ เหล่าลูกหลานคามาซิลฟ์ต่างโศรกเศร้าเสียใจที่มารดาแห่งธรรมชาติต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย แต่ไม่นานบทเพลงแห่งป่าก็บรรเลงขึ้น ทำให้ธรรมชาติถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง บทเพลงนี้แฝงไปด้วยท่วงทำนองแห่งการปลุกคามาซิลฟ์ให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล
นับวัน ความอวดดีของเหล่าอาฮีฟก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ากันว่าพวกนั้นกำลังทำพฤติกรรมแปลกๆ ที่บริเวณภูเขาคาบัว จุดกำเนิดของป่าไม้บิดเบี้ยว กลุ่มองครักษ์อาเคลจึงออกลาดตระเวนตามสถานที่ต่างๆ ในป่าเพื่อป้องกันการบุกรุกของเหล่าอาฮีฟ แน่นอนว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อาฮีฟโกรธแค้น ก็คือการประกาศสันติภาพของดาร์คไนท์ที่ถือตนเป็นเวดิล แต่เหล่าอาเคลเองก็มิได้เริ่มจู่โจมพวกอาฮีฟก่อน แต่ได้มุ่งเป้าหมายไปยังเหล่าเวดิลแทน เหล่าอาเคลต่างไม่ได้หวาดกลัวการทำสงคราม เนื่องจากรู้อยู่เต็มอกว่าพวกเวดิลมีจำนวนน้อย จึงไม่สามารถเอาชนะอาเคลที่มีจำนวนมากกว่าได้แน่นอน เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ดาร์คไนท์ตัดสินใจเดินทางออกจากคามาซิลเวียไปในตอนรุ่งสางของวันหนึ่ง หลังจากที่ดาร์คไนท์จากไป เหล่าอาเคลก็เริ่มจดจ่อกับการกวาดล้างพวกอาฮีฟมากขึ้น อาฮีฟพ่ายแพ้ต่อการโจมตีของอาเคล และหลบหนีไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่อาศัยของชนเผ่าหมีซาลูน โดยที่อาเคลเองไม่สามารถติดตามเหล่าอาฮีฟเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าวได้
เนื่องจากที่นั่นมีเหล่าหมีซาลูนอันดุร้ายและสื่อสารด้วยภาษาที่แตกต่าง แม้แต่อาฮีฟเองก็ยากที่จะสื่อสารและฝึกฝนหมีซาลูนที่มีร่างอันใหญ่โตและดวงตาที่เปล่งประกายท่ามกลางความมืด ทำให้เหล่าอาเคลตัดสินใจถอยทัพกลับมายังคามาซิลเวีย และมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับมายั่งยืนอีกครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็ได้พบวิธีคืนชีพให้แก่คามาซิลฟ์ และในขณะเดียวกันก็ยังมีเวดิลบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ในคามาซิลเวีย พวกเขาได้รับพลังจากคาเนล และเป็นผู้ที่ต่อต้านการกระทำอันเลวร้ายของเหล่าเวดิลอื่นๆ ทำให้พวกอาเคลตัดสินใจต้อนรับเวดิลพวกนี้ไว้ในดินแดนของตน
#3 ปีศักราชเอลีออนที่ 283
#5 ปีศักราชเอลีออนที่ 286 ราชินีโบรลีน่าได้เปิดเส้นทางและประตูทั้งหมดสำหรับมุ่งหน้าไปยังคามาซิลเวีย รวมทั้งได้ส่งสารไปยังคาลเพออนและดรีกัน
ตำนานดรีกัน
ตำนานดรีกัน
ดินแดนแห่งมังกร, ดรีกัน (Drieghan) ราคาของการแปดเปื้อนเลือดมังกรนั้นแพงนัก
คำสาปของการฆ่ามังกรไม่ได้หายไปจาก ‘เซเรคาน’ พวกเขายังคงเตร็ดเตร่ไปตลอด เพื่อเชือดคอมังกร #1 ปีศักราชเอลีออนที่ 185
ในระหว่างที่เหล่านักรบเซเรคานต่างดิ้นรนต่อสู้ ก็มีผู้หนึ่งได้ออกมาเปิดเผยว่าหายนะในครั้งนี้ คือผลตอบแทนที่พวกเขาได้ใช้เลือดของมังกรในทางที่ผิด จุดจบของประวัติศาสตร์เซเรคานได้มาถึงแล้ว อาคุม หนึ่งในทายาทรุ่นหลังของเซเรคานผู้ปลิดชีพมังกร ได้ส่งมอบฟันของมังกรให้แก่คนรุ่นหลังก่อนที่เขาจะเสียชีวิต แล้วพูดว่า ‘จงฝังฟันมังกรนี้ไว้ในดิน และจงตั้งถิ่นฐานในที่ที่ฝนโปรยปรายลงมา’ และต่อมา ชาวเซเรคานรุ่นหลังก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำอาคุมอย่างเคร่งครัด
#2 ปีศักราชเอลีออนที่ 226
#3 ปีศักราชเอลีออนที่ 235 เหล่าลูกหลานเซเรคานต่างต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนพเนจรมาเป็นระยะเวลานานเนื่องจากบทลงโทษแห่งมังกร ผู้คนจากต่างถิ่นต่างคิดว่าดรีกันนั้นเป็นดินแดนของมังกร จึงไม่กล้าแม้แต่จะไปเยือนที่นั่น และข่าวลือเกี่ยวกับความแห้งแล้งที่ไม่มีแม้แต่พืชเจริญเติบโตนั้น ก็ยังแพร่กระจายต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าสายฝนได้โปรยปรายลงมาแล้วก็ตาม จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เมืองอื่นๆ ไม่ค่อยรู้จักเมืองหลวงเดอร์เวนครูนเท่าไหร่นัก บริเวณหัวมังกรหนึ่งในห้าส่วนของดรีกันที่ถูกแบ่งออกนั้น เป็นที่ตั้งของหลุมศพเซเรนคาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความหมายต่อชาวเซเรคานเป็นอย่างยิ่ง และเป็นสถานที่สำหรับระลึกถึงคุณงามความดีที่บรรพบุรุษเซเรคานได้ทำไว้ในอดีต